พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 46
บทที่ 46 เปลี่ยนทัศนคติของทุกคน
ความลำบากใจทั้งหมดบนใบหน้าของ เจตนิพัทธ์แทบจะ ค้นออกมาเป็นน้ำอยู่แล้ว เพิ่งจะโม้จบ ท่านประธานก็โทรมา ตำหนิเขาแล้ว ใบหน้าแก่ๆนี้ไม่มีที่จะวางแล้ว
“ครับท่านประธาน จะไปเดี่ยวนี้” เจตนิพัทธ์เอ่ยตอบด้วย น้ำเสียงนอบน้อม
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นผู้จัดการสาขาของกรุ๊ป ก็ไม่ กล้าท้าทายคำสั่งของท่านประธาน และยังต้องตอบกลับ อย่างพินอบพิเทา ไม่กล้ามีความไม่พอใจเลยสักนิด
วันนี้เป็นวันที่ตกต่ำ ย่ำแย่ในแปดชั่วโคตรแล้ว คิดจะทำ อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง เจตนิพัทธ์ แอบด่าในใจ บวกกับที่เขาพบว่ารพีพงษ์จ้องมองเขาอย่างล้อเลียน คิด
ในใจว่าต้องเป็นเพราะได้พบกับ รพีพงษ์เทพเจ้าแห่งภัย
พิบัติองค์นี้แน่ๆ
บุษบากรและ อารียาต่างก็รู้สึกค่อนข้างอับอายแทน เจต นิพัทธ์ ที่เมื่อกี้เพิ่งจะพูดจาโอ้อวดเสร็จ ตอนนี้คนเขาโทร มากลิ้งเดียว เขาก็ต้องรีบแจ้นไปทันที ความขัดแย้งชนิดนี้ ยังค่อนข้างน่าขัน
แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดออกมา เพื่อไว้หน้า เจตนิพัทธ์สัก หน่อย
“เอ่อ ท่านประธานของพวกเรามีเหตุฉุกเฉินหาผม วันนี้คง อยู่เป็นเพื่อนพวกคุณไม่ได้แล้ว เดี๋ยวผมจะไปเช็กบิลแล้ว พวกคุณกินต่อไปเถอะนะ” เจตนิพัทธ์ พูดอย่างขาดความ มั่นใจอยู่บ้าง
“คุณมีธุระก็ไปก่อนเถอะ” บุษบากรเปิดปาก อารียาจึงพยักหน้าตาม
“โอ้? เมื่อกี้ไม่ได้บอกว่า ต่อให้ไม่ไปทำงาน ก็ไม่มีใครว่า คุณไม่ใช่หรือ?” เวลานี้รพีพงษ์พูดแทรกขึ้นประโยคหนึ่ง
ทันใดนั้นสีหน้าของเจตนิพัทธ์ ก็กลายเป็นสีดำแล้ว คิด ในใจว่าไอ้โง่ตัวนี้จริงๆเลยเปิดหม้อไหนไม่เปิด หาเรื่องจี้ หัวใจเขาแท้ๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้ท่านประธานหาเขา เขาจะต้องอยู่ ต่อแน่ๆ และจะเล่นกับรพีพงษ์ให้ดีๆ
“เป็นท่านประธานของพวกเราที่หาผม เพราะมีเรื่อง สำคัญ ปกติทั่วไปแล้วไม่ใช่แบบนี้” เจตนิพัทธ์ ยังอธิบาย อีกประโยคหนึ่ง
โอ้” รพีพงษ์พูดอย่างเย็นชา
ถ้าเจตนิพัทธ์รู้ว่าเป็นเพราะรพีพงษ์รำคาญเขา จึงให้ เธียรวิชญ์โทรเรียกเขาไป เกรงว่าจะโมโหจนกระอักเลือด เดี๋ยวนั้น
“คุณไม่พูดจะตายหรือไงจ๊ะ อีคิวต่ำใกล้ตายจริงๆ หัวหน้าห้องคนเขายังไงก็เป็นผู้จัดการของ บริษัท คุณเป็น คนเร่ร่อนว่างงานว่างงานคนหนึ่ง แถมยังกินข้าวนิ่ม มี คุณสมบัติอะไรมาพูดจาสามหาวในนี้?” บุษบากรพูดดูถูก
เจตนิพัทธ์ เห็นด้วยเป็นอย่างมากกับคำพูดของ บุษบากร เขาก็ดูถูก รพีพงษ์อยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน เขาจึงไม่สนใจรพีพงษ์อีก แต่หันไปมอง อารียาแล้วเปิด
ปากพูดว่า “อารียาอีกสองวันจะถึงงานรวมรุ่นคุณต้องไปให้
ได้นะ เพื่อนร่วมชั้นหลายคนต่างก็คิดถึงคุณ บอกว่าอยาก
เจอคุณในงานรวมรุ่น”
อารียาพยักหน้า เปิดปากพูดว่า: “ได้สิ ฉันจะพยายามหา เวลาแวะไป”
เจตนิพัทธ์เห็นว่า อารียารับปาก ก็ไม่รั้งอยู่ต่ออีก ลุกขึ้น ไปเช็กบิล แล้วจึงออกไปจากที่นี่
เมื่อเห็นว่า เจตนิพัทธ์จากไปแล้ว บุษบากรก็หันไปมอง รพีพงษ์พูดอย่างไม่พอใจว่า: “คุณนี่ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ เจตนิพัทธ์คนเขาใจดีเชิญพวกคุณกินข้าว คุณยังจงใจพูด ขัดคอคนเขาแบบนั้นอีก”
“ฉันก็แค่พูดความจริง” รพีพงษ์เปิดปากเบาๆ
“ห์ พูดจริงพูดจังอะไรกัน ฉันคิดว่าคุณก็แค่อิจฉาคนเขา กลัวว่าคนเขาจะแย่งแคลร์ไปจากข้างตัวคุณ” บุษบากรจีบ ปากจีบคอพูด
“อย่างเขา? เกรงว่าจะยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ” ครั้งนี้ แน่นอนว่ารพีพงษ์พูดจริงจังเป็นอย่างมาก
“ชิ พูดคำใหญ่หน้าไม่แดงเลยนะ ฉันคิดว่าคุณนอกจาก จะขี้โม้แล้ว อะไรอื่นล้วนทำไม่ได้ ตอนนั้น แคลร์ยังจะบอก ว่าเสียงของคุณคล้ายกับเจ้าชายรูปงามของฉันอีก ตอนนี้ดู สิ คุณแม้แต่ขนหน้าแข้งเส้นหนึ่งของเจ้าชายรูปงามของฉัน ก็เทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ” บุษบากรพูดโกรธๆ
รพีพงษ์หัวเราะร้องไห้ไม่ได้ เมื่อได้ยินบุษบากรเปรียบ เทียบตัวเขาเองกับตัวเขาเอง ก็มักจะรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง
“เอาล่ะ พวกคุณสองคนไม่ต้องเถียงกันแล้ว รีบกินข้าว เถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเย็นหมดแล้ว” อารียาปรายตามองพวก เขาทั้งสองแวบหนึ่ง
ทั้งสองคนด้วยเหตุนี้จึงหยุดเถียงกันแล้ว
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ทั้งสามคนก็เดินออกจาก ภัตตาคารสปริงแยงซีมาพร้อมกันอารียาก้มลงมองนาฬิกา บนข้อมือของเธอ ก็ชอบมันมาก
อารียาเมื่อเห็นว่าบุษบากรชอบนาฬิกาที่รพีพงษ์ให้มาก จริงๆ จึงโฉบไปเปิดปากถามทันทีว่า “แคลร์เธอคงจะไม่ได้ ยอมรับสวะคนนี้แล้วจริงๆใช่ไหม”
อารียาไม่ได้ตอบรับเธอ แต่เปิดปากพูดว่า: “ช่วงนี้ฉันรู้สึก ว่าพฤติกรรมของรพีพงษ์ค่อนข้างใช้ได้ ทำสิ่งที่น่าเชื่อถือ มาก ทำให้ฉันมีความรู้สึกอุ่นใจ”
“เขาเนี่ยนะ? ยังจะน่าเชื่อถือ ฉันคิดว่าที่ไม่น่าเชื่อถือ ที่สุดในโลกก็คือเขานี่แหละ เธอดูนาฬิกาเรือนนี้ที่เธอสวม ในมือสิ เขาต้องซื้อมาจากแผงลอยข้างถนนแน่ๆ อาจจะแค่ ไม่กี่สิบหยวนเท่านั้นแหละ”บุษบากรพูดอย่างดูแคลน
“ฉันรู้สึกว่าใช้ได้อยู่นะ” อารียาเปิดปากพูด H
บุษบากรถอนหายใจอย่างจนใจ เปิดปากพูดว่า “หมด
ทางช่วยเธอจริงๆ แต่เธอต้องรับปากฉัน ว่าวันงานรวมรุ่น
จะต้องห้ามพารพีพงษ์ไปด้วยเด็ดขาด” อารียามองรพีพงษ์แวบหนึ่ง เปิดปากพูดว่า “ทำไมจะพา ไปด้วยไม่ได้ อีกทั้งไม่ได้บอกว่าห้ามพาครอบครัวไปด้วย
แล้วในกรณีที่ฉันเมามาก เขายังพาฉันกลับบ้านได้ด้วย”
บุษบากรรู้สึกจริงๆว่า อารียากำลังถูกอาคมของรพีพงษ์ จึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปพักหนึ่ง
ทั้งสามคนแยกจากกันเมื่อถึงสี่แยก บุษบากรกลับบ้าน ของตัวเอง รพีพงษ์และ อารียากลับไปด้วยกัน
บนมือของทั้งสองคนต่างก็สวมนาฬิกาข้อมือของวาเชอ รองคอนสแตนติน ดูไปแล้วเข้ากันดีทีเดียว
“จะพาผมไปงานรวมรุ่นของคุณ คุณไม่กลัวว่าพวกเพื่อน ร่วมชั้นของคุณจะหัวเราะเยาะคุณเหรอ?” รพีพงษ์เปิดปาก ถาม
อารียาหัวเราะขึ้นมา เปิดปากพูดว่า: “ไม่กลัวหรอก ฉัน อยากจะเปิดเผยอยู่แล้ว ฉันไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ ท่ามกลางทัศนคติของคนอื่นได้ ตราบเท่าที่ฉันรู้ว่าคุณไม่ ได้เป็นอย่างที่พวกเขาพูด”
รพีพงษ์ในใจหวั่นไหวเป็นอย่างมาก พูดอย่างหนักแน่น ว่า: “ผมจะทำให้ทุกคนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผมให้หมดให้ ได้ และจากนี้ไปผมจะไม่ให้คุณต้องถูกหัวเราะเยาะเพราะ
ผมอีก”
อารียาไม่พูด เดินไปตามทางข้างหน้าเงียบ ๆ
เมื่อมาถึงทางเข้าชุมชน รพีพงษ์ก็มองร้านขายเครปจีน ทางนั้นแวบหนึ่งตามจิตใต้สำนึก แล้วจึงพบว่ารถขายเครป จีนคันนั้นล้มอยู่บนพื้น ไข่แตกเต็มพื้น ชัดเจนว่ามีร่องรอย ของการต่อสู้
รพีพงษ์ใจหาย รีบเร่งเดินไปทางนั้น เขามองดูบนพื้น ก็พบว่ามีคราบเลือดอยู่ด้วยจริงๆ เขารีบถามคนที่อยู่แถวนั้นคนหนึ่ง “ลุงใหญ่ พี่ชายที่ขาย เครปจีนคนนั้นล่ะ ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนนั้นคนกลุ่มหนึ่งจู่ๆก็วิ่งเข้ามา ไล่ตีคนขายเครปจีน คนนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนขายเครปจีนคนนั้นสู้ กับพวกมันอยู่สักพัก จากนั้นก็วิ่งหนีไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีใคร รู้ว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง” ลุงใหญ่กล่าวตอบ
รพีพงษ์พยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นจึงกลับบ้านพร้อม
กับ อารียา
หลังจากที่มาถึงบ้าน เขาก็ส่งข้อความถึงไตรทศทันที ให้ ไตรทศตรวจสอบดูว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
สำหรับพี่ใหญ่ที่ขายเครปจีนคนนั้น รพีพงษ์มีความรู้สึกดี ด้วยเป็นอย่างมาก แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น เช่นนั้น แต่ถึงอย่างนั้นคราวที่เจอกันล่าสุดเขาก็เอ่ยเตือน รพีพงษ์บนความตั้งใจดีครั้งหนึ่ง รพีพงษ์จึงนึกอยากจะ ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเช่นกัน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น รพีพงษ์ก็ได้รับข่าวของไตรทศแล้ว
“พี่รพีตรวจสอบชัดเจนแล้ว ตอนนี้คนน่าจะยังมีชีวิตอยู่ สถานการณ์เฉพาะรอให้พี่มาถึงแล้วผมจะบอกกับพี่ดีๆอีก
ที่”