พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 477 ความประหม่าของธีรศานติ์
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 477 ความประหม่าของธีรศานติ์
บทที่ 477 ความประหม่าของธีรศานติ์
“นี่……นี่เป็นไปได้ยังไง ฉันไม่ได้ตาฟาดไปใช่ไหม? นฤชิต กลับคุกเข่าตรงหน้ารพีพงษ์! ” ชัยภัทรพูดเองเออเอง
“นายไม่ได้ตาฝาดไปหรอก นฤชิตไม่ใช่คู่ปะทะของพี่รพีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ” ไตรทศที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยพูดขึ้นประโยคเดียว
ชัยภัทรหันไปมองไตรทศ แล้วเอ่ยถาม “งั้น……งั้นเขาใช้ท่าไม้ตายกี่ท่าโจมตีนฤชิตให้กลายเป็นสภาพแบบนี้? ”
“สามท่า เมื่อกี้นายไม่ได้ยินหรอ? ไหนๆ พี่รพีก็บอกว่าใช้แค่สามท่า ก็ต้องใช้แค่สามท่าเท่านั้น” ไตรทศเอ่ยพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย
ชัยภัทรพยายามกลืนน้ำลาย สองตาจับจ้องไปยังรพีพงษ์ แล้วพูดอะไรไม่ออกตั้งนาน
ผ่านไปสักพัก ชัยภัทรเพิ่งจะพูดขึ้น “นี่มันไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์หนิ ทำไมเขาจู่โจมธรรมนาทและถิรพุทธิ์ ถึงใช้เวลานานขนาดนั้น ส่วนจู่โจมนฤชิต กลับใช้แค่สามท่า? ”
“ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกนายแล้วหรือไง วันนี้พี่รพีมาเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนหน้านี้ถ้าเขาจู่โจมธรรมนาถและถิรพุทธิ์จนตาย แล้วจะระบายยังไงอีก หลังๆ พอได้จู่โจมนฤชิต ก็เพราะว่าได้ระบายได้พอประมาณแล้ว สามท่าก็เพียงพอแล้ว” ไตรทศอธิบายขึ้น
สีหน้าของชัยภัทรมองรพีพงษ์ที่อยู่บนเวทีประลองด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เพื่อคนๆ หนึ่งสามารถควบคุมการจู่โจมท่าไม้ตายของคู่ปะทะ งั้นคนๆ นี้ต้องแกร่งแค่ไหน?
มิน่าล่ะธฤตญาณและไตรทศ พวกเขาทั้งสองคนถึงได้เคารพนับถือรพีพงษ์ขนาดนี้ ครั้งนี้ไม่ต้องบอกว่าเรียกรพีพงษ์แล้ว ต่อให้ให้เขาเรียกคุณปู่รพีพงษ์ เขาก็จะไม่มีข้อคิดเห็นต่างใดๆ
หลังจากที่รพีพงษ์จัดการกับนฤชิตเสร็จ แค่จับจ้องไปยังเขาไม่กี่วินาที จากนั้นก็หมุนตัวลงจากเวทีประลอง
ความสามารถของนฤชิตไม่ได้อ่อนแอจริงๆ แค่ว่าถ้าเทียบกับสิบอันดับเทพเจ้าแห่งสงครามแล้ว ก็ยังด้อยกว่าเยอะ ดังนั้นนฤชิตก็ไม่มีสิทธิ์ให้เขาต้องเผชิญหน้าด้วย
คนแบบนี้ แพ้ก็คือแพ้ ในความจำของรพีพงษ์ ศัตรูที่เขา เขาแค่ใช้สามท่าก็สามารถจัดการให้พ่ายแพ้ได้แล้ว ก็ยิ่งไม่มีค่าพอให้เขาจดจำอีก
รพีพงษ์เดินไปเดินไปตรงหน้าธฤตญาณพวกเขาสามคน ชัยภัทรก็รีบเดินหน้าไป แล้วใบหน้าเคล้าด้วยรอยยิ้มพลางพูดขึ้น “พี่รพี ก่อนหน้านี้ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรสงสัยในความสามารถของพี่ พี่อย่าใส่ใจเลยนะ”
รพีพงษ์ไม่ได้สนใจเขา แค่พูดด้วยเสียงเรียบ “วันนี้ได้ระบายจนพอแล้ว กลับไปเถอะ”
ธฤตญาณและไตรทศต่างก็พยักหน้า จากนั้นก็เดินตามรพีพงษ์ออกไปข้างนอก
ชัยภัทรเห็นพวกเขาสามคนจะไป จึงรีบถามขึ้น “พี่รพี พี่ธฤต เรื่องทางนี้จะทำยังไง? ”
ธฤตญาณจึงหันไปมองเขาเพียงชั่วพริบตา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “วันข้างหน้าสนามมวยใต้ดินของเมืองแทยก ก็ให้นายเป็นคนควบคุมดูแล เรื่องที่เหลือ นายก็ตัดสินใจจัดการเองเถอะ”
ชัยภัทรได้ยินแบบนี้ ใบหน้าเลยเคล้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ ภายในใจของเขารู้ดี ถึงแม้รพีพงษ์จะไม่สนใจตัวเอง จริงๆ แล้วภายในใจของเขาก็ถือว่ายอมรับตัวเองแล้ว ไม่งั้นธฤตญาณก็คงไม่มีทางให้สิทธิ์และอำนาจทั้งหมดให้เขาได้ดูแลสนามใต้ดินของเมืองแทยกหรอก
“พี่รพีช่างเก่งเหลือเกิน ถ้าติดตามเขาทำงาน วันข้างหน้าต้องมีอนาคตที่ยาวไกลแน่นอน ผมจะต้องตั้งใจทำงาน และให้พี่รพีให้ความพยายามของผม! ”
……
สองวันผ่านไป
สถานบันเทิงสตาร์กาย รพีพงษ์นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะๆ หนึ่ง ข้างบนมีสุราหนึ่งขวดวางอยู่ เหล้าที่อยู่ข้างในดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้ว
คนของกิสนาก็มาส่งข่าวให้กับรพีพงษ์แล้ว พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของอารียาในเมืองริเวอร์และแถบเมืองชลาลัย เน้นหนักการค้นหาไปที่เกียวโตก็ยังไม่เจอแม้แต่เงาของอารียา
อารียาเหมือนระเหยไปจากโลกมนุษย์ หายไปจากสายตาของทุกคนอย่างถาวร แม้แต่เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ใหญ่หลวงอย่างกิสนา กลับยังหาเบาะแสของอารียาไม่เจอ
เพราะว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนั้น คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังก็คือโยษิตา ดังนั้นรพีพงษ์คิดว่าการหายตัวไปของอารียาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโยษิตาแน่นอน ถ้าสามารถจจับโยษิตาได้ ก็คงจะสามารถถามเบาะแสของอารียาได้
สองวันนี้คนของกิสนาก็ได้ตรวจสอบเบาะแสของโยษิตาอย่างชัดเจนแล้ว วันนี้โยษิตาอยู่ในเกียวโตจริงๆ และการเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ค้นหายาก แค่ว่ายิ่งเป็นแบบนี้ รพีพงษ์ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่าย ตามนิสัยของโยษิตา ต้องมีคนที่คอยพึ่งพาอาศัยแน่นอน ถึงช่างกล้าขนาดนี้
เธอกำลังจะทำการค้ากับนักธุรกิจลึกลับที่มาจากต่างประเทศ อุตสาหกรรมทางการผลิตของตระกูลลัดดาวัลย์ที่อยู่ในเกียวโตกำลังถูกปราบปราม นักธุรกิจลึกลับคนนี้มีภูมิหลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นตระกูลลัดดาวัลย์ พอต้องเผชิญกับการปราบปรามของเขาและโยษิตา ก็มักจะสิ้นคิด
และหลังจากนั้น ทางฝั่งคนของกิสนาก็แน่ใจชื่อของนักธุรกิจลึกลับคนนี้ จิรเวช นี่ทำให้รพีพงษ์ที่ได้คาดเดาตั้งแต่เนิ่นๆ เกี่ยวกับคนที่ช่วยเหลือโยษิตาโดยพื้นฐานแล้วก็รู้สึกมั่นใจ นักธุรกิจลึกลับคนนั้น ต้องเป็นศัตรูรายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ และเป็นคนของตระกูลนิธิวสกุล
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนของตระกูลนิธิวรสกุลมาถึงที่เกียวโต และจัดการกับตระกูลลัดดาวัลย์ รพีพงษ์อาจจะยังรู้สึกเป็นห่วง ยังไงตระกูลลัดดาวัลย์ก็แค่เป็นเพียงตระกูลต้นๆ ของในประเทศ และถ้าเทียบกับสัตว์ที่ใหญ่มหึมาอย่างตระกูลนิธิวรสกุลแล้ว ก็ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าด้อยไปกว่าเยอะ รพีพงษ์ก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถต่อต้านตระกูลนิธิวรสกุลได้ไหม
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิม รพีพงษ์มีทั้งกิสนาอยู่เบื้องหลัง ต่อให้ตระกูลนิธีวรสกุลเป็นตระกูลระดับต้นๆ ของทั่วโลก รพีพงษ์ก็คงไม่กลัวเหมือนวันนี้
คนของตระกูลนิธิวรสกุลช่วยโยษิตาทำให้อารียาหายตัวไป จารุณีก็ยังสลบไม่ฟื้น รพีพงษ์ต้องไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แน่นอน
แค่ว่าเรื่องมันเกิดแล้ว อีกอย่างคนของตระกูลนิธีวรสกุลไม่ได้จู่โจมง่ายๆ เหมือนธายุกร รพีพงษ์ต้องการปรับเปลี่ยนกำลังของกิสนาก็ร้องใช้ระยะเวลาที่ชัดเจน ดังนั้นสองวันนี้เขาไม่มีทางไปเกียวโตด้วยความเร่งรีบหรอก
รอให้กำลังของกิสนาวางแผนจัดการเสร็จที่เกียวโต รพีพงษ์ค่อยไปก็ยังไม่สาย
ถึงเวลา รพีพงษ์ต้องเซอร์ไพรส์คนของตระกูลนิธิวรสกุลที่ใหญ่มากแน่นอน กล้าแตะต้องผู้หญิงของรพีพงษ์ แล้วจะมีจุดจบที่ดีได้ยังไง
นัยน์ตาของรพีพงษ์จับจ้องไปยังขวดสุราบนโต๊ะสักพัก จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วดื่มสุราในขวดที่เหลืออยู่ให้หมด
…….
เกียวโต
อาคารTY
เขตออฟฟิศของธีรศานติ์ ตั้งเขตออฟฟิศนี้ในตอนนี้ ถูกธีรศานติ์ทำให้กลายเป็นห้องผู้ป่วยของจารุณี อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยในโรงพยาบาล ถูกเขาสั่งให้นำมาที่นี่จนหมด และแพทย์หลายๆ คนก็ได้ผลักกันเข้าเวร และกำลังดูแลจารุณีที่ยังไม่ฟื้น
ออฟฟิศของธีรศานติ์ก็อยู่ข้างห้องผู้ป่วยที่ถูกปรับเปลี่ยนนี้ เขาต้องทำงานไปด้วย และต้องคอยสังเกตดูอาการของลูกสาวตนเองไปด้วย ดังนั้นจึงต้องเลือกที่จะใช้วิธีแบบนี้
ตอนนี้ธีรศานติ์กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะ แล้วขมวดคิ้วจับจ้องเอกสารบนโต๊ะ และในตอนนี้ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาในออฟฟิศ แล้วทำสีหน้าที่ไม่ค่อยดี
ธีรศานติ์เงยหน้ามองคนๆ นั้น แล้วเอ่ยถาม “เรื่องที่ฉันให้แกไปทำเป็นยังไงบ้างแล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้บริษัทที่โยษิตาอยู่ในตอนนี้ล่มสลายไหม? ”
คนๆ นั้นส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “เราเคยลองมาแล้ว และได้ทุนเงินทุนไปมากมาย ทว่าบริษัทของพวกเขามีเงินทุนที่เยอะจนทำให้คนตกใจ และไม่กลัวการรบกวนของพวกเรา อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังจะเล่นเกมส์นี้ต่อไปกับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ท่านประธาน ตามความเห็นของผม เราควรหยุดการลงไม้ลงมือกับบริษทนั้นชั่วคราว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งหอการค้าคงจะพลอยลำบากไปด้วย”
ธีรศานต์จึงโยนเอกสารที่อยู่ในมือของตนเองทิ้งลงบนโต๊ะ แล้วก่นด่าขึ้น “ไอ้จิราเวชที่สมควรตายมันคือใครกันแน่! ทำไมถึงแม้แต่หอการค้าสมน.ของฉันยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ หรือว่าแค้นของลูกสาวฉัน ก็ไม่ได้แก้ได้แล้วหรอ?! ”
ช่วงนี้ ธีรศานติ์รู้ว่าลูกสาวของตนเองถูกชนจนไม่ฟื้น คนร้ายจริงๆ คือโยษิตา จึงเริ่มที่จะแก้แค้นโยษิตา เขาเคยสั่งให้คนติดตามโยษิตาอยู่ลับๆ ทว่าข้างๆ โยษิตามียอดฝีมือมากมาย คนพวกนั้นที่เขาส่งไปไม่มีใครกลับมาสักคน
รู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล ธีรศานติ์ก็คิดจะทำให้บริษัทที่โยษิตาอยู่นั้นล่มสลาย และสูญเสียความสามารถทางการเงินขั้นพื้นฐานไป งั้นโยษิตาก็คงจะทนไม่ไหว
ทว่าที่ทำให้ธีรศานติ์นึกไม่ถึง บริษัทนั้นที่โยษิตาอยู๋กลับใหญ่และแกร่งมาก แม้กระทั่งหอการค้าสมน. ก็ยังไม่สามารถต่อต้านกำลังของพวกเขา
เมื่อกี้ตอนที่ลูกน้องรายงาน ก็ยิ่งทำให้เขาสัมผัสถึงความน่ากลัวของบริษัทนี้ และบริษัทนี้น่ากลัวขนาดนี้ ก็เพราะว่าคนๆ นั้นที่ชื่อจริเวช
“ตอนนี้ตระกูลลัดดาวัลย์ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ได้ยินว่าภายในตระกูลลัดดาวัลย์มีเสียงบางอย่างปรากฏ มีคนไม่น้อยเริ่มเผื่อทางออกให้ตนเอง ตระกูลลัดดาวัลย์ที่ควบคุมสถานการณ์ในเกียวโตมาหลายปีแบบนี้ กลับตกอับถึงขั้นนี้ ดูๆ แล้วเกียวโตในวันนี้ ก็เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ ” หลังจากที่รู้สึกเคร่งเครียด ภายในใจของธีรศานติ์ก็รู้สึกประหม่ามากขึ้น
“ท่านประธาน ยังมีข่าวจะบอกท่านครับ” ลูกน้องพูดขึ้น
“ว่ามา”
“เมื่อกี้ได้รับข่าว รพีพงษ์กลับเมืองริเวอร์แล้วครับ”
ธีรศานติ์ได้ยินคำพูดนี้ ในมือจึงหยุดชะงักไป แล้วหรี่ตาลง