พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 615 นายแพ้แล้ว
บทที่ 615 นายแพ้แล้ว
การแข่งขันเริ่มขึ้น
รพีพงษ์กับบริวัตรวางแขนไว้บนโต๊ะ และจับมือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้
ตอนที่บริวัตรจับมือของรพีพงษ์ เขาแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “กระดูกของนายช่างอ่อนเหลือเกิน หรือว่าก่อนหน้านี้นายเอาแต่เกาะผู้หญิง ฉันเห็นนายสนิทกับหนึ่งในสองสาวสวยนั่นด้วยนิ”
“เธอเป็นภรรยาของผม” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
บริวัตรหัวเราะออกมาทันที จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อนายมีภรรยาแล้ว จะมายุ่งเรื่องของฉันทำไม หรือว่านายเป็นชู้กับผู้หญิงอีกคนงั้นเหรอ”
“อันที่จริง การที่ผมทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการช่วยคุณนะ คุณอย่าไปแตะต้องผู้หญิงคนนั้น” รพีพงษ์พูดขึ้น
บริวัตรส่งเสียงหึออกมา จากนั้นก็พูดขู่ออกมาว่า “บนเกาะพระจันทร์ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่บริวัตรไม่สามารถแตะต้องได้ ฉันจะบอกให้นะ การที่ยุ่งเรื่องคนอื่น มันมีราคาที่ต้องจ่ายนะ”
รพีพงษ์ไม่ได้สนใจบริวัตร เขารอฟังพิธีกรพูด
พิธีกรเห็นว่าทั้งสองคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว จึงพูดเริ่มการแข่งขัน
ทั้งสองคนงัดแรงของตัวเองออกมา เดิมทีรพีพงษ์อยากจะจบเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือแรงของบริวัตรไม่ได้ด้อยเลย เมื่อครู่เขาใช้แรงไปประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ คิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถกดให้แขนของอีกฝ่ายล้มลงได้
แต่ตอนนี้คนที่ตกตะลึงยิ่งกว่ารพีพงษ์ก็คือบริวัตร เมื่อครู่เขาคิดจะเอาชนะรพีพงษ์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าไอ้หมอนี่มันไม่เอาไหนขนาดไหน
แต่ทว่าหลังจากที่เขาใช้แรง คิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถทำให้แขนของรพีพงษ์ขยับได้เลยแม้แต่น้อย นี่มันเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก
“ก็มีของเหมือนกันนิ แต่แรงแค่นี้ คิดว่าจะเอาชนะฉันได้เหรอ”
บริวัตรแสยะยิ้ม แล้วเพิ่มแรงลงไปที่แขนอีก
รพีพงษ์ก็เพิ่มแรงลงไปที่แขนเหมือนกัน เขาต่อกรกับบริวัตรอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้!” บริวัตรพูดขึ้นในใจ แววตาที่มองรพีพงษ์เปลี่ยนไป
หลังจากที่คนที่อยู่ข้างล่างได้ยินเสียงประกาศเริ่มการแข่งขัน ก็เห็นแขนของทั้งคู่วางอยู่บนโต๊ะ โดยไม่ขยับไปไหน ไม่มีใครกดแขนของอีกฝ่ายให้ล้มลงได้
“ดูเหมือนว่าคุณชายบริวัตรยังไว้หน้าไอ้หมอนั่น ถึงไม่ได้จัดการไอ้หมอนั่นในทีเดียว”
“ใช่ คุณชายบริวัตรยังมีความเกรงใจ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะทำให้มันขายหน้าในทันทีเลยล่ะ”
“คุณชายคงอยากล้อมันเล่น ถ้าเขาเอาจริงขึ้นมา ไอ้หมอนั่นต้องแพ้แน่ๆ”
……
พิธีกรเห็นว่าไม่มีฝ่ายใดสามารถกดแขนของอีกฝ่ายลงได้ เขาจึงอยากพูดให้บริวัตรมีแรงใจขึ้น พิธีกรยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณชายของพวกเราจะไม่อยากชนะเจ้าหนุ่มนี่ในทันที นี่ถือว่าเป็นการเคารพอีกฝ่ายมากเลยนะครับ จากที่ผมดูแล้ว คุณชายใกล้จะเอาชนะได้แล้วครับ ผมเชื่อว่าอีกเดี๋ยวผู้เข้าแข่งขันคนนี้คงจะซาบซึ้งต่อคุณชาย เพราะคุณชายทำให้เขาแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี”
บริวัตรได้ยินสิ่งที่พิธีกรพูดก็ก่นด่าขึ้นมาในใจ เขาคิดในใจว่าดูยังไงว่าเขากำลังจะชนะ คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ธรรมดาเลย ถ้าเขาแพ้ขึ้นมา คำพูดของพิธีกรจะย้อนกลับไปตบหน้าตัวเขาเอง
รพีพงษ์มองบริวัตรอย่างมีเลศนัย สีหน้าของเขาราบเรียบ แต่ทว่าตอนนี้บริวัตรกำลังกัดฟันจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาตรงหน้าผาก
“นี่คือแรงทั้งหมดของคุณเหรอ ถ้ามีแรงแค่นี้ การแข่งขันก็ควรจะจบแล้วล่ะ” รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดขึ้น
“เลิกอวดเก่งเหอะ ฉันยังไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด ถ้าฉันใช้แรงทั้งหมด นายตายแน่!” บริวัตรกัดฟันพูดออกมา
จากนั้นรพีพงษ์สัมผัสได้ถึงแรงที่เพิ่มขึ้นจากมือของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันรพีพงษ์ก็ได้ยินเสียงเครื่องมือบางอย่างดังขึ้นมาเบาๆ
รพีพงษ์ประหลาดใจและมองไปที่แขนของบริวัตร เหมือนจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของบริวัตร
เมื่อเขาพอจะเดาได้ว่าของที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของบริวัตรคืออะไร ก็ยกยิ้มมุมปากออกมาอย่างร้ายกาจ
จากนั้นรพีพงษ์ก็เพิ่มแรงขึ้นอีก ทันใดนั้นบริวัตรก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาไม่มีทางสู้แรงของรพีพงษ์ได้อีก แขนของเขาถูกกดจนจะล้มลงไปบนโต๊ะ
เขากัดฟันขืนเอาไว้ แต่รพีพงษ์ที่ได้ใช้แรงออกมาถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าคนทั่วไปไม่สามารถสู้ได้แน่นอน แขนของบริวัตรค่อยๆ เอนลงไปทีละนิด จนเกือบจะถูกโต๊ะ
ผู้ชมที่ดูอยู่ข้างล่างพากันอึ้งปากค้าง คิดไม่ถึงว่าบริวัตรจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ยอมแพ้เถอะ ถึงคุณจะใช้วิธีสกปรกแบบนั้น ก็ไม่สามารถเอาชนะผมได้หรอก” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
“พูดอะไรไร้สาระ ฉันจะแพ้นายได้ยังไง!” บริวัตรกัดฟันกรอด ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรจู่ๆ ก็ใช้แรงขึ้นมาอย่างมาก เหมือนจะทำให้แขนของอีกฝ่ายล้มลงไป
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว เขาไม่อยากยืดเยื้ออีกต่อไป เขาใช้แรงเพิ่มขึ้นอีก จู่ๆ ก็มีควันขึ้นมาบนแขนของบริวัตร จากนั้นมีเสียงเหมือนไฟฟ้าลัดวงจรดังขึ้น ทันใดนั้นแขนเสื้อของบริวัตรก็ละลายในทันที
เขาตกใจจนลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดแขนเสื้อของตัวเอง จากนั้นเขาก็เอาเครื่องมือบางอย่างที่ติดกับแขนโยนลงบนพื้น
เครื่องมือนั่นลุกเป็นไฟ และมีเสียงดังเหมือนไฟช็อต
คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็ตกใจ พวกเขาอ้าปากค้างมองเครื่องมือที่เหมือนปลอกแขนกำลังติดไฟ คิดไม่ถึงว่าบริวัตรจะใช้สิ่งนี้ในการเอาชนะการแข่งขันครั้งนี้
ปลอกแขนนั่นคือเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเพิ่มแรง เมื่อใส่มันไว้ที่แขนจะทำให้มีแรงขึ้นถึงกว่าสิบเท่า แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ บริวัตรก็ยังคงไม่สามารถเอาชนะรพีพงษ์ได้ แถมยังทำให้เครื่องมือที่ใส่ไว้บนแขนทำงานเกินขนาดจนพังเสียหาย
ผู้หญิงที่พากันชื่นชมบริวัตรต่างพากันรู้สึกว่าไอดอลของตัวเองล้มไม่เป็นท่า พวกคนที่เคยหัวเราะเยาะรพีพงษ์ต่างพากันแสดงสายตารู้สึกผิด
บริวัตรยืนอยู่บนเวที สีหน้าของเขาตึงเครียดมาก เขาจะไปคิดได้ยังไงว่าเรื่องที่เขาโกงการแข่งขัน จะถูกเปิดเผยต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ ครั้งนี้ชื่อเสียงคุณชายแห่งตระกูลเชาวกรกุลคงพังย่อยยับ
รพีพงษ์ลุกขึ้นยืน แล้วมองไปยังบริวัตร จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “คุณแพ้แล้ว”
จากนั้นเขาก็เดินลงจากเวที
พิธีกรยืนมองเหตุการณ์อยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
บริวัตรมองแผ่นหลังของรพีพงษ์อย่างเคียดแค้น แววตาของเขาฉายแววอาฆาตออกมา
“สมควรตายจริงๆ แกทำให้ฉันขายหน้าขนาดนี้ ฉันไม่ยอมปล่อยแกไปแน่!”
“คุณ คุณชาย ตอนนี้เราจะทำยังไงดีครับ” พิธีกรมองบริวัตร
บริวัตรตบหน้าพิธีกรไปหนึ่งฉาด จากนั้นก่นด่าออกมาว่า “จะทำอะไรได้อีกล่ะ รีบประกาศยุติการแข่งขัน แกจะให้ฉันขายหน้าต่อเหรอ”
พิธีกรตกใจและรีบหยิบไมค์ขึ้นมาประกาศยุติการแข่งขัน ให้ทุกคนรีบแยกย้าย
รพีพงษ์เดินมาตรงหน้าของอารียากับฝนสุดา อารียาแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากของรพีพงษ์ แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “สุดยอดเลยคุณสามี”
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างฝนสุดา มองอย่างอิจฉา เธอเอาลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง
เธอก็อยากจูบรพีพงษ์เหมือนกัน แต่เธอรู้ดีว่ารพีพงษ์คงไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นแน่นอน
“ขอบใจจริงๆ นะรพีพงษ์ คิดไม่ถึงว่าคุณชายนั่นจะโกง น่ารังเกียจจริงๆ ถ้านายไม่ช่วยฉันไว้ ไม่แน่ฉันอาจจะโดนคุณชายนั่นข่มเหงก็ได้” ฝนสุดายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
รพีพงษ์พยักหน้าเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ทั้งสามเดินเล่นตรงลานกว้างอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าดึกแล้ว รพีพงษ์จึงบอกอารียาว่าควรจะกลับกันได้แล้ว
ขณะนั้นฝนสุดากลอกตาไปมา เธอยิ้มแล้วพูดว่า “อารี คืนนี้พวกเธอสองคนนอนกับฉันไหมล่ะ ฉันจองห้องเพรสซิเดนเชียลเอาไว้ที่โรงแรมหรู ห้องใหญ่มาก แต่ฉันอยู่คนเดียว อันที่จริงฉันกลัวนิดหน่อย แถมวันนี้รพีพงษ์ยังช่วยฉันไว้ ฉันควรจะขอบคุณพวกเธอ เธอว่ายังไง”
รพีพงษ์เหลือบมองฝนสุดา แล้วพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ไป”