พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 619 ผมเคยให้โอกาสเขาแล้ว
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 619 ผมเคยให้โอกาสเขาแล้ว
บทที่ 619 ผมเคยให้โอกาสเขาแล้ว
ภายในห้องรับแขกที่บ้านตระกูลเชาวกรกุล บรรยากาศน่าอึดอัดเล็กน้อย
รพีพงษ์กับฝนสุดานั่งอยู่บนโซฟา พวกเขามองสิรวิชญ์กับบริวัตรที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ขอโทษจริงๆ ครับ ถ้าผมรู้ว่าไอ้เด็กเวรนี่จะไปหาเรื่องคุณกับภรรยา ผมคงตีขามันให้หักไปตั้งนานแล้ว คุณใจเย็นก่อนนะครับ ผมอธิบายได้”
สิรวิชญ์พูดกับรพีพงษ์ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด จากนั้นเขาก็หันไปหาบริวัตร แล้วยกขาถีบลูกชาย “แกนี่มีตาหามีแววไม่ ไปหาเรื่องนายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ได้ยังไง แกอยากให้ตระกูลล่มจมหรือไง!”
ขณะนี้บริวัตรเริ่มสงบลงมาก เขาดูจะไม่กล้าสบตาสิรวิชญ์ ใครจะไปคิดล่ะว่าไอ้หนุ่มคนที่ทำให้เขาขายหน้าเมื่อวาน จะเป็นนายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์
“ลูกชายของคุณไม่เพียงแต่จะหาเรื่องรพีพงษ์ เขายังจะทำมิดีมิร้ายกับฉันด้วย คุณสิรวิชญ์ ถ้าคุณอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้ สามีของฉันคงไม่นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้แน่นอน” ฝนสุดาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
รพีพงษ์ได้ยินดังนั้นก็หันไปจ้องฝนสุดา ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เพราะอยู่ที่บ้านตระกูลเชาวกรกุล เขาถึงทำได้เพียงส่งสายตาตักเตือนฝนสุดา
ฝนสุดายิ้มอย่างมีเลศนัย ราวกับว่าเธอไม่สนใจการตักเตือนของรพีพงษ์ แถมยังหรี่ตามองอย่างซุกซน
เมื่อสิรวิชญ์ได้ยินสิ่งที่ฝนสุดาพูด เขากำหมัดแน่นแล้วหันไปจ้องบริวัตร จากนั้นจึงพูดว่า “คุณนายวางใจเถอะครับ ผมจะหาสิ่งที่เหมาะสมให้พวกคุณ”
รพีพงษ์ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถอธิบายเรื่องที่ฝนสุดาเป็นภรรยาของเขาได้อีกแล้ว
“ไอ้ลูกอกตัญญู ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษคุณรพีพงษ์กับภรรยาอีก!” สิรวิชญ์หันไปตวาดใส่บริวัตร
บริวัตรมองสิรวิชญ์อย่างไม่ค่อยพอใจ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “พ่อ ผมก็แค่…”
“ก็แค่อะไร ฉันให้แกคุกเข่าก็คุกเข่าสิ เลิกพูดอะไรไร้สาระได้แล้ว” สิรวิชญ์ตบหน้าลูกชาย
บริวัตรเอามือกุมหน้าตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้ารพีพงษ์กับฝนสุดา
“ขอโทษ!” สิรวิชญ์เอ่ยขึ้น
“ขอโทษ” บริวัตรพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
สิรวิชญ์ถีบไปที่ตัวของบริวัตรอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็แผดเสียงออกมาว่า “เสียงแค่นั้นใครจะได้ยิน!”
“ขอโทษ” ครั้งนี้บริวัตรพูดดังขึ้น แต่น้ำเสียงของเขาดูหงุดหงิด
“คุณรพีพงษ์ ไอ้ลูกชายคนนี้ถูกผมตามใจจนเสียคน มันถึงทำเรื่องไม่ดีแบบนี้ เห็นแก่ที่มันขอโทษคุณ คุณให้อภัยมันสักครั้งเถอะ ต่อไปผมจะสั่งสอนไม่ให้มันทำผิดแบบนี้อีก” สิรวิชญ์พูดอ้อนวอน
จู่ๆ รพีพงษ์ก็แสยะยิ้มออกมา “คุณสิรวิชญ์ คำขอโทษของลูกชายคุณไม่มีแม้แต่ความจริงใจ ผมคงจะให้อภัยเขาไม่ได้หรอก”
สิรวิชญ์มีสีหน้าลำบากใจ จากนั้นจึงพูดออกมาว่า “คุณพูดถูกครับ ไอ้ลูกคนนี้ขาดการอบรมสั่งสอน คุณพูดมาได้เลยครับว่าจะสั่งสอนไอ้ลูกอกตัญญูคนนี้ยังไง คุณถึงจะยอมให้อภัย ผมจะทำตามที่คุณบอกครับ”
“ก่อนหน้านี้ผมให้โอกาสเขาแล้วครั้งหนึ่ง ให้เขาคุกเข่าขอโทษ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมทำ ผมเป็นคนที่มีหลักการ ในเมื่อให้โอกาสแล้วไม่ยอมรับไว้ ผมก็จะไม่สนใจไยดีอีก”
“แต่ผมเห็นแก่หน้าคุณ ผมจะลงโทษเขาเบาลงสักหน่อย”
“หักแขนทั้งสองข้างของเขา แล้วผมจะไม่เซ้าซี้อีก”
รพีพงษ์พูดความต้องการของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สีหน้าของสิรวิชญ์กับบริวัตรเปลี่ยนไปในทันที คิดไม่ถึงว่าบทลงโทษของรพีพงษ์จะน่ากลัวเช่นนี้
ฝนสุดาเห็นท่าทีสุขุมในการตัดสินจุดจบของคนคนหนึ่งของรพีพงษ์ เขามีเสน่ห์มาก เธอมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
“คุณรพีพงษ์ การหักแขนทั้งสองข้าง ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงเกินไป ตระกูลเราสามารถชดใช้ด้วยเงิน ขอแค่คุณพูดจำนวนเงินออกมา ผมจะชดใช้ให้ครับ” สิรวิชญ์เอ่ยขึ้น
“ผมไม่ได้ขาดแคลนเงิน เมื่อกี้ผมยื่นคำขาดออกไปแล้ว ถ้าคุณทำไม่ลง ผมจะจัดการด้วยตัวเอง” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง
บริวัตรแววตาเคียดแค้น เขาลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดกับผู้เป็นพ่อว่า “พ่อก็เห็นแล้วว่ามันทำเกินไป ทำไมเราต้องเกรงใจมันอีก มันเป็นนายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ก็จริง แต่เกาะพระจันทร์เป็นถิ่นของเรา มันทำขนาดนี้ ถึงเราฆ่ามันก็ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นคนทำ”
“แกพูดอะไรออกมา! หุบปากไปเลยนะ!” สิรวิชญ์มองลูกชายด้วยความตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าลูกชายของตัวเองจะพูดแบบนี้ออกมา
“พ่อ แต่มันจะหักแขนของผม อย่าบอกนะว่าจนถึงขนาดนี้แล้วพ่อยังจะพูดแทนมันอีกเหรอ”
บริวัตรพูดด้วยความโมโห
สิรวิชญ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
บริวัตรมองรพีพงษ์อย่างเกลียดชัง เขาหยิบมือถือออกมา จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “แกรอก่อนเถอะ ฉันจะโทรเรียกคนมา ในเมื่อแกไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร….”
บริวัตรยังไม่ทันพูดจบ รพีพงษ์ก็ลุกขึ้นมา แล้วพุ่งเข้าไปหาบริวัตรด้วยความรวดเร็ว และเอามือถือของบริวัตรโยนลงบนพื้น จากนั้นเขาจึงใช้แรงจับไหล่ของบริวัตร เสียงกระดูกดังขึ้น บริวัตรร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนบริวัตรยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นความเจ็บก็แล่นเข้ามาที่แขนของเขา
สิรวิชญ์ยืนมองอย่างอึ้งๆ ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที เขาถึงจะตั้งสติได้
“คุณรพีพงษ์ คุณทำอะไร รีบปล่อยลูกชายผมนะ ทำไมแขนของเขาถึงเป็นแบบนั้น” สิรวิชญ์พูดด้วยความตื่นตระหนก
“พ่อ แขนของผมหักแล้ว รีบเรียกคนมาสิ!” บริวัตรตะโกนออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด
สิรวิชญ์มีสีหน้าร้อนรน ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว ต้องรีบเรียกคนมา
รพีพงษ์พูดอย่างช้าๆ ว่า “ไม่จำเป็น เมื่อกี้คุณก็เห็นแรงของผมแล้วนิ ก่อนที่คุณจะเรียกคนมา ผมสามารถเอาชีวิตของพวกคุณสองคน แถมยังไม่ให้คนอื่นจับได้ด้วย ถึงผมจะอยู่เที่ยวที่นี่ต่อสักสองสามวัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา และออกไปจากที่นี่อย่างง่ายดายด้วย”
สิรวิชญ์ชะงักไป เขาไม่สงสัยในพละกำลังของรพีพงษ์เลยแม้แต่น้อย คนที่เป็นนายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ คงไม่ใช้คำพูดพวกนี้มาหลอกเขาหรอก
“คุณรพีพงษ์ ได้โปรดเมตตาด้วย ลูกชายผมมันไม่ได้ความ คุณให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ถ้าแขนทั้งสองข้างของเขาพิการ ชีวิตเขาต้องพังทลายไปทั้งชีวิตแน่นอน!” สิรวิชญ์พูดอ้อนวอน
รพีพงษ์เหลือบมองบริวัตร แล้วพูดว่า “ผมพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเคยให้โอกาสเขาแล้ว แต่เขาไม่รับเอาไว้เอง การที่เขาไม่ได้ความ มันไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะยกโทษให้เขา ผมหวังว่าการที่ผมหักแขนสองข้างของเขา จะช่วยทำให้เขาจำมันเอาไว้”
เมื่อรพีพงษ์พูดจบ เขาก็เอามือไปวางไว้บนไหล่อีกข้างของบริวัตร เมื่อเขาใช้แรงออกไป แขนของบริวัตรก็หัก และแนบลงไปข้างลำตัว