พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 620 ฉันชื่ออนันยช
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 620 ฉันชื่ออนันยช
บทที่ 620 ฉันชื่ออนันยช
เมื่อออกมาจากบ้านตระกูลเชาวกรกุล ก็ค่ำแล้ว ทุกที่บนเกาะพระจันทร์เต็มไปด้วยสีสันจากแสงไฟ พระจันทร์ดวงกลมอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงลงมาทำให้บนเกาะงดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้
“รพีพงษ์ เมื่อกี้ตอนที่อยู่ข้างในนายเท่มาก ฉันนี่ใจเต้นตึกตักเลยอะ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ชายที่ฝนสุดาชอบ” ฝนสุดาพูดพลางกระโดดโลดเต้น
รพีพงษ์ปรายตามองฝนสุดา แล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไปไกลๆ”
ฝนสุดากำหมัดแน่น เธอพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิดว่า “ทำไมนายหยาบคายกับฉันขนาดนี้ นายคิดว่าฉันโกรธไม่เป็นเหรอ”
รพีพงษ์หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ในเมื่อผมทำให้คุณโกรธขนาดนี้ คุณก็รีบไปซะสิ จะดีมากถ้าต่อจากนี้คุณไม่มาหาผมอีก คุณจะได้ไม่ต้องมาโมโหผมอีกไง”
ฝนสุดากลอกตาไปมา แล้วเงยหน้าขึ้นพูดว่า “หึ อย่าคิดว่าฉันมองวิธีสกปรกของนายไม่ออกนะ นายจงใจทำให้ฉันโกรธ แล้วก็จะใช้โอกาสนี้หลุดพ้นจากฉัน ฉันไม่โดนหลอกหรอก”
รพีพงษ์ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ คิดย้อนกลับไปถึงความน่ากลัว ตอนที่จารุณีมาบังคับเขา
ใครจะไปคิดกันว่ากว่าที่จะพูดโน้มน้าวจารุณีได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ยังมีฝนสุดาโผล่มาอีก เขาปวดหัวจริงๆ
เขาไม่สนใจฝนสุดาและมุ่งหน้าเดินต่อไป
ฝนสุดารีบเดินตามเขาไปทันที เธอไม่ได้พูดอะไร หญิงสาวซึมซับความเงียบและความรู้สึกดีที่ได้เดินไปกับรพีพงษ์
สิ่งที่เธอไม่เหมือนกับจารุณีก็คือบางครั้งฝนสุดาจะทำตัวซน และพูดล้อเล่นกับรพีพงษ์ แต่นิสัยแท้จริงของเธออ่อนโยน ขณะเดียวกันเธอก็สามารถควบคุมมันได้ นี่เลยทำให้รพีพงษ์ไม่รู้จะทำอย่างไร และนี่ก็มันได้ทำให้เขาโกรธด้วย
แต่สำหรับจารุณี เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่รู้จักโต มีนิสัยดื้อรั้น อยากได้อะไรก็ต้องได้ ถึงแม้ว่าฝนสุดาจะมีเป้าหมายเหมือนกับจารุณี แต่เธอไม่ได้บังคับให้รพีพงษ์อยู่กับเธอ นอกจากเรื่องที่เอาแต่พูดล้อเล่นแล้ว เธอยังมักจะบริหารเสน่ห์ของตัวเองเมื่อได้อยู่กับรพีพงษ์
เธออยากอยู่ในใจของรพีพงษ์ และไม่ได้อยากจะแย่งรพีพงษ์มา
เมื่อเธอมีพื้นที่ในใจของรพีพงษ์ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถตามติดรพีพงษ์ เขาก็คงไม่ให้ไล่เธอไปไหน
ตอนที่เธอเดินผ่านหน้าผา จู่ๆ รพีพงษ์ก็หยุดเดิน แล้วหันมองขึ้นไปบนหน้าผา มีใครบางคนอยู่บนนั้น ถึงแม้จะเห็นแค่ลักษณะของเขา แต่รพีพงษ์สัมผัสได้ว่าคนคนนั้นก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
รพีพงษ์สัมผัสถึงความอันตรายจากคนคนนั้น เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสในอดีต
ฝนสุดาก็หยุดเดินเช่นกัน เธอมองขึ้นไปบนหน้าผาด้วยความสงสัย จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไร” รพีพงษ์หันกลับมา แล้วเดินต่อไป
ขณะนั้นเองมีใครคนหนึ่งมาหยุดอยู่หน้าทั้งสองคน เขายืนขวางทางทั้งสองคนเอาไว้
“ในเมื่อเห็นแล้ว สู้ขึ้นไปเจอกันหน่อยดีกว่า” คนนั้นพูดขึ้น
“พวกนายเป็นใคร” รพีพงษ์ถามอย่างระแวง
“ตระกูลนิธิวรสกุล” คนคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ใจของรพีพงษ์กระตุกขึ้นทันที เขาหรี่ตาลง คิดไม่ถึงว่าคนตระกูลนิธิวรสกุลจะตามเขามาถึงที่นี่
เขาหันไปมองฝนสุดาที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “คุณรีบไปหาอารี แล้วพาเธอออกจากเกาะพระจันทร์ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมขอร้องคุณและผมเป็นหนี้บุญคุณของคุณ ต่อไปผมจะชดใช้ให้”
ฝนสุดามองออกว่ารพีพงษ์ไม่ได้พูดเล่น เธอรู้ว่ารพีพงษ์ผ่านอะไรมาบ้าง ทำให้เธอรู้ว่ารพีพงษ์ไม่ถูกกับคนของตระกูลนิธิวรสกุล
“ได้” ฝนสุดาพยักหน้า
รพีพงษ์ก้าวเข้าไปหาคนคนนั้น ถ้าเขาจะขวางฝนสุดาเอาไว้ รพีพงษ์จะจัดการทันที
ตอนนี้รพีพงษ์ไม่แน่ใจว่าตระกูลนิธิวรสกุลส่งคนมาที่นี่กี่คน และก็ไม่แน่ใจว่าคนของตระกูลนิธิวรสกุลจะหาอารียาเจอหรือยัง เพราะฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงให้ฝนสุดาไปหาอารียา และเขาจะยื้อเวลาอยู่ที่นี่
เมื่อคนคนนั้นเห็นท่าทีของรพีพงษ์ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ครั้งนี้ฉันมากับคุณชายสองคน และเป้าหมายของคุณชายคือนายเพียงคนเดียว คนอื่นไม่ได้อยู่ในสายตาของคุณชายหรอก คุณชายไม่ได้ว่างพอที่จะไปสนใจคนอื่น”
พูดจบ ชายคนนั้นก็หันหลังเดินขึ้นไปบนหน้าผา
“รพีพงษ์ นายไปหาอารียากับฉันไหม ไปจากที่นี่แล้วค่อยว่ากัน คนที่ตามฉันมาก็มีเยอะ น่าจะพอสู้กันได้” ฝนสุดาเอ่ยขึ้น
รพีพงษ์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเขาหาเจอแล้ว ก็คงจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ ถึงผมจะไม่กลัวตระกูลนิธิวรสกุล แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ผมทำอะไรมากไม่ได้ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าพวกมันมากี่คน ถ้าผมไปเช่นนี้ อาจจะทำให้อารีติดร่างแหไปด้วย คุณช่วยผมพาอารีออกไปจากที่นี่ด้วย ผมจะขึ้นไปบนหน้าผา”
เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์พูดเช่นนั้น ฝนสุดาก็ไม่พูดอะไรอีก เรื่องแบบนี้รพีพงษ์น่าจะไว้ใจได้มากกว่าเธอ อีกอย่างเรื่องนี้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
“งั้นฉันไปหาอารี นายก็ระวังตัวด้วย” ฝนสุดาเอ่ยขึ้น
รพีพงษ์พยักหน้า จากนั้นก็หันหลังเดินขึ้นไปบนหน้าผา
ลมทะเลพัดเอื่อยๆ รพีพงษ์ยิ่งเดินขึ้นไป ในใจของเขาก็ยิ่งมีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้
รพีพงษ์เชื่อในสัญชาตญาณ บางครั้งสัญชาตญาณก็เป็นเครื่องเตือนภัยที่แม่นยำ
การที่ตระกูลนิธิวรสกุลส่งคนมา เกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
แต่ว่าเขาไม่ได้กลัวอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ขอแค่อารียาปลอดภัย เขามั่นใจว่าตัวเองจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของคนจากตระกูลนิธิวรสกุล
อีกอย่างการที่ออกจากเกาะพระจันทร์ และขึ้นไปบนบก จะสามารถใช้อำนาจของกิสนาได้ รพีพงษ์จึงไม่ได้กลัวตระกูลนิธิวรสกุล
หน้าผานี่สูงมาก น่าจะเกือบหนึ่งร้อยเมตร รพีพงษ์ใช้เวลานานกว่าจะเดินขึ้นมาถึงข้างบน แน่นอนว่าเขาจงใจเดินให้ช้า เพื่อยื้อเวลาให้ฝนสุดากับอารียา
คนที่ยืนอยู่บนหน้าผา เอาแต่หันหน้าออกไปทางทะเล เขามองไปไกลแสนไกล ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เขาเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าไม่สามารถเข้าถึงเขาได้
“ทายาทที่ตระกูลทอดทิ้งเอาไว้ กล้าดียังไงมาต่อกรกับตระกูลนิธิวรสกุล จิรเวชตายเพราะแก แกนี่ช่างกล้าจริงๆ”
รพีพงษ์หยุดเดิน แล้วพูดกับคนที่กำลังยืนหันหน้าเข้าทะเลด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เขาสมควรตายแล้ว ไม่ใช่แค่จิรเวช แต่เป็นคนในตระกูลนิธิวรสกุลทุกคน ฉันจดชื่อไว้ในเดธโน้ตของฉันแล้ว ฉันจะฆ่าพวกแกทุกคน เพื่อแก้แค้นให้กับปู่ของฉัน รวมถึงพวกแกสองคนด้วย” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
คนคนนั้นหัวเราะอย่างดูถูก
“ก่อนจะลงมือ บอกชื่อของแกมาก่อน ฉันไม่อยากให้คนที่ตายคามือฉันต้องตายไปอย่างไร้นาม” แววตาของรพีพงษ์เย็นยะเยือก
คนคนนั้นหันกลับมา แววตาของเขาแหลมคมราวกับมีดที่กรีดลงไปบนตัวของรพีพงษ์
“ฉันชื่ออนันยช ฉันมาวันนี้เพื่อจัดการแก แกจะไม่พอใจเหรอ”