พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 641 คนที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่ง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 641 คนที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่ง
บทที่ 641 คนที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่ง
หลังจากที่ทุกคนได้ยินสิ่งที่รพีพงษ์พูด ต่างก็พากันฮือฮาขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าคนที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอย่างเขาจะพูดว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าเชร์สิง
สาวๆ ต่างพากันตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะพูดแบบนี้ออกมา พวกเธอคิดว่ารพีพงษ์แค่พยายามพูดเถียงเท่านั้น เขาใช้แรงกดดันจากผู้คนโดยรอบ บังคับให้พวกของรพีพงษ์ยอมจำนน
เทพภวันกับญาณิศามองรพีพงษ์เหมือนกำลังมองคนปัญญานิ่ม ทั้งสองคิดว่าวิธีของรพีพงษ์ช่างต่ำจนไม่สามารถหาอะไรมาเปรียบได้
“เขาคือเจ้าของห้างสรรพสินค้าเชร์สิง งั้นฉันก็เป็นคนที่ผลิตและส่งสินค้าให้กับห้างสรรพสินค้าทั้งหมดในเมืองปากซำก็ได้สิ เดี๋ยวนี้คนเราแค่อ้าปากพูดก็สามารถโม้อะไรออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไง” เทพภวันตะโกนออกมา
คนรอบๆ พากันพยักหน้าตาม เจ้าของห้างสรรพสินค้าเชร์สิงคือถิรเจต คนส่วนใหญ่ในเมืองปากซำรู้เรื่องนี้ดี ถึงแม้คนที่เคยเจอถิรเจตจะมีไม่มาก แต่ทว่าทุกคนก็รู้ว่าถิรเจตคือชายวัยกลางคน จะเป็นรพีพงษ์ที่ดูเหมือนอายุเพิ่งจะยี่สิบห้ายี่สิบหกปีได้ยังไง
ดามีสีหน้าตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะใช้วิธีการนี้จัดการกับเรื่องนี้
“ไอ้หนุ่ม แกอย่ามาพูดมั่วซั่ว พวกเราจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเจ้าของที่นี่เป็นใคร แถมฉันยังเคยเจอเขาด้วย แกมาพูดแบบนี้ต่อหน้าของพนักงานที่นี่ แกคิดว่าพวกเราโง่หรือไง” หญิงวัยกลางคนจ้องหน้ารพีพงษ์ แล้วพูดออกมา
“ถิรเจตเพิ่งโอนห้างนี้ให้ฉันเมื่อวาน คุณไม่รู้ก็ไม่แปลก” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
หญิงวัยกลางคนหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นจึงพูดว่า “ทุกคน ตอนนี้ฉันสงสัยว่าไอ้หนุ่มนี่ไม่เพียงแต่จะขโมยของ แต่ยังเพิ่งหนีออกมาจากโรงพยาบาลประสาทด้วย พวกคุณฟังที่มันพูดออกมาสิ เหมือนคนกำลังเพ้ออยู่เลย”
“แกเลิกโกหกได้แล้ว รีบจ่ายเงินชดใช้มาให้จบๆ แกยื้อต่อไป รปภ. ของที่นี่จะไม่ยืนดูเฉยๆ แน่นอน” เทพภวันพูดเสียงดัง
“ใช่ คิดไม่ถึงว่าไอ้เด็กนี่จะประสาท อ้าปากก็พูดออกมาว่าห้างนี้เป็นของมัน พวกแกมันก็แค่ญาติของเด็กจนๆ อย่างดาณิมา โม้อะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” ญาณิศาพูดเสริม
เมื่อรพีพงษ์เห็นว่าไม่มีใครเชื่อ เขาจึงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นจึงโทรหา ผู้จัดการทั่วไปโอชวินและให้เข้ามาภายในห้านาที
“คุณไม่รู้จักผมไม่เป็นไร แต่คุณน่าจะรู้จักผู้จัดการทั่วไปโอชวินใช่ไหม” รพีพงษ์กลัวว่าหญิงวัยกลางคนจะไม่รู้จักแม้กระทั่งผู้จัดการทั่วไปโอชวิน และกลัวว่าจะวุ่นวายไปใหญ่ เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
หญิงวัยกลางคนแบะปาก จากนั้นจึงพูดว่า “แน่นอนว่าฉันต้องรู้จักผู้จัดการทั่วไปโอชวินอยู่แล้ว ทำไม แกจะเอาผู้จัดการทั่วไปโอชวินมาทำให้ฉันกลัวเหรอ จะบอกให้นะ คนรู้จักผู้จัดการทั่วไปโอชวินเยอะแยะ แกพูดชื่อเขาออกมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”
รพีพงษ์หัวเราะ จากนั้นจึงพูดว่า “คุณรู้ว่าเขาเป็นใครก็พอแล้ว”
ผ่านไปเกือบห้านาที ทั้งสองฝ่ายยังคงไม่มีใครยอมใคร หญิงวัยกลางคนบอกให้รพีพงษ์รีบชดใช้ค่าเสียหาย ตอนแรกเธอดูเหมือนคนไม่ได้รับความยุติธรรม จนตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายไปแล้ว
ดาณิมาสีหน้าเป็นกังวล เธอกลัวรพีพงษ์พูดออกไปใหญ่โตแบบนั้น สุดท้ายถ้ามันไม่ใช่อย่างที่เขาพูด จะทำให้ทำตัวไม่ถูกเปล่าๆ
ขณะนั้นเอง มีคนวิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน เขาคือคนผู้จัดการทั่วไปโอชวินที่เพิ่งรับสายของรพีพงษ์
เขาเบียดเข้ามาในกลุ่มคน เมื่อเห็นว่าหญิงวัยกลางคนกำลังยืนต่อว่ารพีพงษ์ สีหน้าของเขาก็สลดลงทันที
เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงวัยกลางคน จ้องเธอแล้วตวาดออกมาว่า “เธอรีบหุบปากเลยนะ! ไม่อายคนหรือไง!”
เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นผู้จัดการทั่วไปโอชวินก็กลัวจนหัวหด ในสมองของเธอประมวลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยสีหน้าสลดว่า “ผู้จัดการทั่วไปโอชวิน คุณมาพอดีเลย สร้อยทองราคาเป็นหมื่นถูกคนหน้าไม่อายสามคนนี้ขโมยไป พวกมันไม่เพียงแต่จะไม่คืน แถมไอ้หมอนี่ยังพูดว่าตัวเองเป็นเจ้าของที่นี่ด้วย มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คุณช่วยฉันด้วยนะคะ!”
ผู้จัดการทั่วไปโอชวินทั้งร้อนใจและโกรธ เขาคิดว่าหญิงวัยกลางคนกำลังเล่นกับไฟ
“ฉันว่าคนที่ไม่สมเหตุสมผลน่ะคือเธอมากกว่า! ท่านนี้คือเจ้าของห้างนี้จริงๆ เขาจะขโมยสร้อยของเธอได้ยังไง ฉันว่าเธอกำลังคิดเองเออเอง!” ผู้จัดการทั่วไปโอชวินตวาดออกมา
จู่ๆ หญิงวัยกลางคนก็อึ้งไป เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้จัดการของห้างนี้จะยอมรับว่ารพีพงษ์คือเจ้าของที่นี่จริงๆ
ไม่ใช่แค่เธอที่คิดว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรแบบนี้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พากันอึ้งไปตามๆ กัน
ผู้จัดการทั่วไปโอชวินหันไปหารพีพงษ์ จากนั้นจึงโค้งตัวให้เขาอย่างนอบน้อม แล้วพูดว่า “คุณรพีพงษ์ ขออภัยจริงๆ ครับ ผมมาช้าจนทำให้คุณต้องเจอเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ผมทำหน้าที่ผิดพลาดเองครับ”
หญิงวัยกลางคนเริ่มมีท่าทีอ่อนลง เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “หะ ห้างสรรพสินค้าของเราเปลี่ยนเจ้าของแล้วเหรอ ทำไมฉันถึงไม่รู้”
ผู้จัดการหันไปจ้องเขม็ง จากนั้นจึงพูดว่า “เธอเป็นใคร อย่าบอกนะว่าฉันต้องแจ้งเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับเธอด้วยเหรอ”
หญิงวัยกลางคนตัวสั่นเทิ่ม ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรเหมือนในละคร
เทพภวันกับญาณิศายิ่งแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่มาเที่ยวห้างกับไอ้เด็กจนๆ อย่างดาณิมาจะเป็นเจ้าของที่นี่จริงๆ!
รพีพงษ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นและให้ผู้จัดการดูกล้องวงจรปิด ผู้จัดการหันไปมองหญิงวัยกลางคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “จะให้ฉันไปดูกล้องวงจรปิดหรือเธอจะยอมรับเอง ถ้าไปดูกล้องวงจรปิดแล้วเห็นว่าเธอจงใจ ฉันมีสิทธิ์ส่งเธอเข้าคุก ข้อหาฉ้อฉล!”
หญิงวัยกลางคนตกใจจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น เธอร้องไห้แล้วพูดอ้อนวอนออกมาว่า “ผู้จัดการฉันสำนึกผิดแล้ว ไอ้หลานชายของฉันมันสั่งให้ฉันทำ มันบอกว่าสามคนนี้ไม่มีอะไร หลอกได้ง่ายๆ ฉันเชื่อคำพูดของมัน เลยทำเรื่องไร้สาระแบบนี้”
พูดจบ เธอก็หันไปมองเทพภวันที่ยืนอยู่ในกลุ่มคน
เทพภวันตกใจจนหันหลังหนี ญาณิศาก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ ทั้งสองพากันวิ่งออกไป
“ไอ้เด็กเวร! ฉันต้องซวยเพราะแกจริงๆ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงวิ่งตามเทพภวันไป ทันใดนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในห้าง
หลังจากที่ทุกคนรู้ว่าพวกรพีพงษ์โดนใส่ร้ายก็มีแววตาและสีหน้ารู้สึกผิด ขณะเดียวกันต่างก็พากันตำหนิหญิงวัยกลางคน เทพภวันและญาณิศา
“คุณรพีพงษ์ต้องการให้ผมเรียกรปภ. ไปจับสามคนนั้นไหมครับ” ผู้จัดการทั่วไปโอชวินหันไปพูดกับรพีพงษ์
รพีพงษ์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องกระจ่างแล้วก็พอเถอะ อ้อ หญิงวัยกลางคนรายนั้นไม่ใช่คนดีอะไร มันสมควรปล่อยไว้”
ผู้จัดการทั่วไปโอชวินรู้ความหมายที่รพีพงษ์ต้องการจะสื่อ จึงพูดขึ้นทันทีว่า “ผมรู้ครับว่าควรทำอย่างไร”
คนที่ยืนมองรพีพงษ์ที่ตัดสินอนาคตของคนอื่นด้วยท่าทีนิ่งเฉยอย่างดาณิมา ตอนนี้จิตใจของเธอเรียกได้ว่าปั่นป่วนไปหมด
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมรพีพงษ์ดูธรรมดาทั่วไปแบบนี้ แต่ฝนสุดากลับยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาขนาดนั้น
ขณะเดียวกันประโยคหนึ่งในหนังสือก็ลอยเข้ามาในหัวของเธอ
วีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ มีความสามารถอยู่ในตัว คนที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่ง!