พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 645 เขาไม่ได้ใช้พละกำลังจากกล้ามเนื้อ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 645 เขาไม่ได้ใช้พละกำลังจากกล้ามเนื้อ
บทที่ 645 เขาไม่ได้ใช้พละกำลังจากกล้ามเนื้อ
ดำเกิงมองชายชรา เขาสบถออกมาในใจ แล้วรีบพูดว่า “อาจารย์ ผมนึกได้ว่ายังฝึกไม่เสร็จ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบ ดำเกิงจึงหมุนตัวเดินออกไป
“กลับมา” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เสียงนี้เหมือนเวทมนตร์ที่ทำให้ดำเกิงต้องชะงักลง จากนั้นเขาก็เดินกลับมาอย่างว่านอนสอนง่าย
“ลูกศิษย์ของคุณพูดโกหกว่าคุณเป็นคนสั่งให้รพีพงษ์ยกหินก้อนใหญ่นั่นทั้งช่วงบ่าย ลูกศิษย์ของคุณน่ารังเกียจจริงๆ คุณจะปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้” ฝนสุดาพูดอย่างหงุดหงิด
“แค่ก แค่ก ผมแค่ช่วยอาจารย์ทดสอบความจริงใจของรพีพงษ์ ตอนนั้นเขาดื้อดึงที่จะหนีไป ไม่ฟังคำเตือนของอาจารย์ พออยากขอความช่วยเหลือก็กลับมา มันไม่เห็นความสำคัญของอาจารย์เลย จะไม่ลงโทษมันได้อย่างไร” ดำเกิงรีบหาเหตุผลมาอ้าง
อาจารย์จ้องดำเกิง จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปจัดหาที่พักให้ผู้หญิงคนนี้”
“รับทราบครับ!” ดำเกิงรีบตอบรับ
“เสร็จแล้วก็มายกหินที่นี่จนกว่าธูปจะหมด”
ดำเกิงมีสีหน้าเป็นกังวล สุดท้ายเขาก็หนีไม่พ้นการลงโทษของอาจารย์ แต่เขาคิดว่ารพีพงษ์ยกมาทั้งบ่ายก็ไม่เห็นเป็นอะไร อาจารย์ให้เขายกจนกว่าธูปจะหมด ไม่ถือว่าลำบากเท่าไร จึงรับคำอาจารย์
“ตามฉันมา” อาจารย์หันไปมองรพีพงษ์แวบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในเรือนไม้ที่อยู่ไม่ไกล
รพีพงษ์มองฝนสุดา เพื่อให้เธออยู่ฟังสิ่งที่ดำเกิงจัดหาให้ จากนั้นเขาจึงเดินตามอาจารย์เข้าไปในเรือนไม้
ฝนสุดาก็รู้ดีว่าเธอไม่สามารถตามรพีพงษ์ไปได้ในตอนนี้ หลังจากที่เธอหันไปมองดำเกิง แล้วก็พูดออกมาเสียงดัง “ไอ้เด็กนิสัยไม่ดี ฉันคิดบัญชีกับนายแน่ กล้ามาหลอกรพีพงษ์เหรอ ฉันจัดการนายแน่!”
……
ภายในเรือนไม้ อาจารย์รินชาให้รพีพงษ์ จากนั้นจึงพูดว่า “ไม่กี่ปีมานี้เป็นยังไงบ้าง”
รพีพงษ์สูดหายใจลึก จากนั้นจึงพูดออกมาว่า “ความเกลียดชังภายในครอบครัวจบลงแล้ว ตระกูลลัดดาวัลย์กลับคืนมาอยู่ในมือผมแล้ว ผู้หญิงคนนั้นได้รับจุดจบที่สมควรจะได้รับแล้ว”
อาจารย์พยักหน้า แล้วพูดว่า “งั้นก็ดีแล้ว”
“ไอ้เด็กที่อยู่ข้างนอกนั่นชื่อดำเกิง ฉันรับมันมาเป็นศิษย์เมื่อสองปีก่อน ความสามารถของมันไม่ต่างกับนายเมื่อปีนั้นเลย แต่จิตใจของมันเทียบกับนายไม่ได้เลย ไอ้เด็กนั่นมันเห็นนายเป็นศัตรูตลอด เลยทำอะไรแบบนั้นกับนาย อย่าไปถือสาเลย”
รพีพงษ์รีบเอามือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอกเพื่อแสดงความเคารพ “ศิษย์รู้ว่าเขาแค่ล้อเล่น ไม่ถือสาหรอกครับ”
“หืม? นายรู้ว่ามันล้อเล่นเหรอ แล้วทำไมยังยกหินนั่นอยู่อีกล่ะ” อาจารย์ถามขึ้น
“ตอนนั้นศิษย์ไม่ฟังคำเตือนของอาจารย์ และดึงดันหนีไป มันเป็นเรื่องที่ผิดและสมควรโดนลงโทษแล้ว”
อาจารย์หัวเราะออกมา จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่ปี แต่นิสัยของนายยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ฉันดูคนไม่ผิดจริงๆ เรื่องตอนนั้น นายไม่ผิดอะไรเลย นายมีทางเลือกของตัวเอง ฉันไม่เคยตำหนินาย ต่อไปไม่ต้องไปพูดถึงมันอีก”
รพีพงษ์ซึ้งใจ เขามีพละกำลังแข็งแกร่งได้ก็เพราะอาจารย์ ไม่งั้นคงไม่สามารถเอาตระกูลลัดดาวัลย์กลับมาจากเงื้อมมือของวีธราได้หรอก
และเมื่อเขาเรียนรู้จนเริ่มบังเกิดผล อาจารย์คาดหวังในตัวเขามาก แต่เขากลับเลือกเดินจากมา สำหรับเขาแล้วการทำแบบนี้มันค่อนข้างโหดร้าย
แต่อาจารย์กลับไม่คิดตำหนิเขา และยังถือว่าเขาเป็นศิษย์เสมอมา สิ่งนี้ทำให้รพีพงษ์ซึ้งใจเป็นอย่างมาก
“พูดมาสิ นายเจอเรื่องอะไรถึงกลับมาที่นี่” อาจารย์มองรพีพงษ์แล้วเอ่ยขึ้น
รพีพงษ์ไม่พูดนอกเรื่อง เขาเล่าเรื่องที่เจอบนเกาะพระจันทร์และเรื่องที่เขาประสบมาให้อาจารย์ฟัง อีกทั้งยังพูดถึงข้อสงสัยที่อยู่ในใจเขา ทำไมพละกำลังของอนันยชถึงแข็งแกร่งขนาดนั้น และการที่เขาปลดปล่อยพละกำลังออกมาได้รุนแรงขนาดนั้น มันเป็นเพราะอะไรกันแน่
หลังจากที่อาจารย์ได้ฟังสิ่งที่รพีพงษ์พูด จึงขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “อนันยชเหรอ ใช้คุณชายของตระกูลนิธิวรสกุลหรือเปล่า”
รพีพงษ์พยักหน้า คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะรู้จักชื่อเสียงของตระกูลพวกนี้ด้วย
แต่เมื่อคิดว่าอาจารย์ได้ท่องไปทั่วหล้า ไม่มีใครสามารถมีพละกำลังเทียบเท่าเขาได้ การที่รู้เรื่องพวกนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่แน่เขาอาจจะรู้เรื่องทุกอย่างที่กิสนาก็ได้
ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องที่กิสนา อาจารย์ไม่ได้แสดงท่าทีน่าสงสัยอะไรออกมา เขาต้องรู้จักกิสนาอย่างแน่นอน แถมยังรู้จักอย่างดีอีกด้วย
“ก็แปลกที่พละกำลังอย่างน้อยยังโดนทำร้ายจนเกือบตาย ที่แท้เจอลูกศิษย์ของชินาธิปนี่เอง ตอนที่นายจากไป ฉันนึกว่านายจะไปเจรจากับพวกตระกูลที่มีชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่านายจะมาถึงจุดนี้แล้ว การที่นายรอดมาครั้งนี้ ถือว่านายโชคดีมาก”
อาจารย์พูดพึมพำ “นายรู้ไหมว่าคนที่ให้ยาสามเม็ดนั่นกับนายเป็นใคร”
รพีพงษ์ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ไม่รู้ครับ ดูเหมือนเขาจะเป็นชายชราที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร ผมเจอเขาตอนไปเดินเล่นที่ท่าเรือ”
เขาจดจำชื่อของคนที่ชื่อชินาธิป การที่ถูกอาจารย์พูดถึง ต้องไปใช่คนธรรมดาแน่
อาจารย์พยักหน้า และครุ่นคิดว่าคนที่ช่วยเหลือรพีพงษ์เป็นใคร
ผ่านไปครู่ใหญ่ อาจารย์เอ่ยขึ้นมาว่า “ถึงแม้บนโลกใบนี้มียาที่ช่วยให้คนรอดจากความตายไม่กี่อย่าง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี การที่นายได้ยานั่นถือว่าเป็นบุญวาสนา คนที่มียาประเภทนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ต่อไปถ้าชายแก่คนนั้นมาให้นายทำตามสัญญา นายไม่ต้องคิดอะไรเลย แต่ก็อย่าผลีผลาม ต้องระวังตัวด้วย”
รพีพงษ์พยักหน้า “ศิษย์จะจำไว้”
“ตอนนี้นายอยากรู้ใช่ไหมว่าตอนที่อนันยชสู้กับนาย ทำไมเขาถึงแสดงพลังออกมาได้ขนาดนั้น” อาจารย์ยิ้มแล้วถามขึ้น
ในที่สุดอาจารย์ก็พูดเรื่องนี้ เขานั่งตัวตรงแล้วพูดว่า “ตอนนั้นอาจารย์บอกว่ากำลังของกล้ามเนื้อในตัวผมถึงข้อจำกัดของมนุษย์แล้ว เห็ดแปลกประหลาดนั่นไม่ได้มีทุกที่ ถ้าพูดตามหลักเหตุผล มองแค่ความแข็งแกร่ง ไม่น่าจะมีใครเทียบผมได้ แต่ตอนที่ผมเผชิญหน้ากับอนันยช ขนาดผมต่อสู้กับเขาอย่างสุดกำลัง เขากลับรับมือได้อย่างง่ายดาย หรือว่าเขาเจอเห็ดแปลกประหลาดพวกนั้นเหมือนกัน หรือว่าตอนนั้นจะมีอะไรที่ทำให้มีกำลังเพิ่มมากขึ้นกว่ายาของอาจารย์”
อาจารย์หัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วพูดว่า “ถ้าคิดแค่กำลังของกล้ามเนื้อในร่างกาย ฉันพูดอย่างไม่โอ้อวดเลยว่าในโลกนี้มีเพียงนายคนเดียว ในโลกนี้ไม่มีใครเทียบกำลังกล้ามเนื้อกับนายได้อีกแล้ว เห็ดนั่นไม่ได้พบเห็นได้ทั่วไป ฉันท่องไปทั่วหล้าก็เคยเห็นแค่ที่นั่น”
“ทำไมอนันยชถึงทำให้ผมเกือบตายได้ ตอนที่ผมต่อกรกับเขา ผมรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลจากหมัดของเขา จนผมไม่สามารถรับมือได้เลย” รพีพงษ์ถามด้วยสีหน้าสงสัย
อาจารย์จิบชาแล้วพูดเบาๆ ว่า “เพราะว่าสิ่งที่เขาใช้ไม่ใช้พละกำลังจากกล้ามเนื้อไง”