พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 652 แตกออกเป็นสองซีก
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 652 แตกออกเป็นสองซีก
ทที่ 652 แตกออกเป็นสองซีก
อเมริกา ณ ตระกูลนิธิวรสกุล
หน้าสถานที่กว้างใหญ่ อนันยชยืนอยู่ข้างหน้าชายรูปร่างกำยำหกคน รอยยิ้มพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
บนสถานที่โล่งกว้างเต็มไปด้วยหินที่แตกละเอียด ไม้ที่ขาดเป็นสองท่อน เหล็กเส้นที่คดงอ มันดูระเกะระกะไปหมด
และคนที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ก็คือชายหกคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าอนันยช เมื่อครู่พวกเขาหักท่อนไม้ ทุบหิน งอเหล็กด้วยมือเปล่า อีกทั้งยังได้ทำการประลองฝีมือกันต่อหน้าอนันยช
ผ่านไปไม่นาน ชายชรารูปร่างผอม มายืนอยู่ข้างๆ อนันยช ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือกาจพล นายใหญ่ของตระกูลนิธิวรสกุล
อนันยชหันไปมองกาจพลแวบหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “คุณปู่”
กาจพลพยักหน้า แล้วมองชายหกคนนั้น จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “การฝึกสองสามเดือนนี้ ได้ผลไหม”
อนันยชยิ้มแล้วพูดว่า “ผ่านการแนะนำของผม ในบรรดาผู้มีฝีมือด้านกำลังภายใน พละกำลังของพวกเขาทั้งหกคน ไม่มีใครต้านทานได้ ผมได้เปลี่ยนวิชาหายใจออกที่อาจารย์สอนเล็กน้อย และให้พวกนั้นฝึกฝน ถึงแม้พวกนั้นจะไม่สามารถฝึกวิชากำลังภายในได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าเทียบกับผู้มีฝีมือทั่วไป พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเยอะ”
กาจพลพยักหน้าด้วยความชื่นชม จากนั้นจึงพูดว่า “ไม่เลวนิ คนมีความสามารถอยู่ในตระกูลของฉัน ในภายภาคหน้าตระกูลของเราภายใต้การนำของนาย ต้องเป็นตระกูลชั้นนำระดับโลกแน่นอน”
อนันยชไม่ได้พูดอะไร เขารู้สึกว่าคำเยินยอของกาจพลนั้นเป็นสิ่งที่ตรงกับความเป็นจริง
ช่วงนี้เขาอยากเพิ่มระดับความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ให้กับคนในตระกูล เขาใช้ความคิดนำเอาวิชาหายใจออกที่ชินาธิปสอนให้มาดัดแปลง และสอนให้กับผู้มีฝีมือในตระกูล
การที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าชินาธิปมีกฎว่าห้ามเผยแพร่วิชาหายใจออกใครง่ายๆ ถ้าให้พูดตามจริง ตระกูลทั่วไปแบบเขา ไม่มีคุณสมบัติเรียนวิชากำลังภายในนี้ด้วยซ้ำ
เพื่อที่จะไม่ให้โดนชินาธิปตำหนิ เขาจึงเลือกวิธีรองลงมา ด้วยการดัดแปลงแบบง่ายๆ แต่นี่ก็ถือว่าสามารถใช้ได้ในตระกูลนิธิวรสกุล
เขาได้พิจารณาเลือกทั้งหกคนนี้มาจากบรรดาผู้มีฝีมือในตระกูลนิธิวรสกุล ตอนนี้พวกเขาได้ฝึกวิชาหายใจออกที่ชินาธิปได้ดัดแปลง พละกำลังของพวกเขายกระดับขึ้นมาก ในบรรดาพวกเขาสามารถสู้กับคนมีฝีมือในตระกูลชั้นนำได้อย่างสบายๆ
“คนของฉันแจ้งข่าวมาว่า ตระกูลลัดดาวัลย์ยังต่อลมหายใจสุดท้ายอยู่ที่เกียวโต ก่อนหน้านี้ฉันส่งคนไปจัดการกับตระกูลลัดดาวัลย์ คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะรับมือได้ เพราะฉะนั้นเบื้องหลังของตระกูลนี้ยังมีอะไรที่เราคาดไม่ถึง”
“อีกทั้งในช่วงนี้ คนของฉันที่อยู่ใกล้กับตระกูลลัดดาวัลย์เห็นดัมพ์รงค์ที่มาจากกิสนาอยู่กับตระกูลนั้น อีกทั้งยังมีผู้มีฝีมือที่อยู่ในอันดับนักรบของกิสนา ถ้าฉันเดาไม่ผิด การที่ตระกูลลัดดาวัลย์ยังยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ น่าจะเป็นเพราะคนที่กิสนาแอบช่วยเหลืออยู่”
กาจพลพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการพูด ให้อนันยชฟัง
อนันยชหรี่ตาลง แล้วพูดพึมพำว่า “กิสนาก็แค่สถานบันเทิงระดับสูง คิดไม่ถึงว่าอยากมาเป็นศัตรูกับตระกูลของเรา เจ้านายของพวกมันประสาทไปแล้วหรือไง”
“อย่าดูถูกสถานที่ที่มีชื่อว่ากิสนา จากที่ฉันได้สืบมา ตั้งแต่เจ้านายของพวกมันกลายเป็นเทพสังหาร กิสนาก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลวัชรากิจกุลโดนทำลาย ฉันสืบหาจากเบาะแสในนั้น พบว่ามีร่องรอยของกิสนา มีความลับที่เราไม่สามารถรู้ได้ซ่อนอยู่ที่นั่น” กาจพลเอ่ยขึ้น
อนันยชส่งเสียงหึ แล้วพูดออกมาว่า “ถึงพวกมันจะมีความลับเยอะแค่ไหน สุดท้ายก็อยู่ต้องสยบอยู่ใต้เท้าของตระกูลเรา”
จากนั้นเขาจึงหันไปมองชายหกคนนั้น รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “อยากเห็นพละกำลังของหกคนนั้นพอดี ในเมื่อผู้มีฝีมือสามอันดับแรกในลำดับนักรบของกิสนาอยู่ที่เกียวโต งั้นให้หกคนนี้ไปเกียวโตไม่ดีกว่าหรือ”
“ครั้งนี้ให้ไอ้พวกที่กิสนาได้รับการสั่งสอนสักหน่อย ถือโอกาสทำลายตระกูลกระจอกอย่างตระกูลลัดดาวัลย์ไปด้วยเลย”
ภายในป่าลึก
วันเวลาผ่านไป รพีพงษ์อยู่ที่นี่เป็นเวลาหกเดือนแล้ว
รพีพงษ์ยืนอยู่หน้าน้ำตกขนาดเล็กที่หลังภูเขา เสียงน้ำตกผสานกับเสียงนก แสดงให้เห็นความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติ
ข้างหน้าของรพีพงษ์มีหินที่ถูกน้ำชะล้างจนแววและเรียบเนียน บนก้อนหินมีรอยฝ่ามือที่มีความลึกตื้นต่างกันอยู่สามรอย รอยฝ่ามือที่ลึกที่สุดน่าจะลึกประมาณสามเซนติเมตร มันน่าตกใจมาก
รอยฝ่ามือทั้งสาม เป็นของเวทัสและอีกสองคนที่ใช้กำลังภายในสร้างมันขึ้นมา นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขา
เพราะมันถูกกัดเซาะอยู่ใต้น้ำตกมาเป็นเวลาหลายปี ความทนทานของหินก้อนนี้จึงแตกต่างจากก้อนหินทั่วไปมาก ปกติแล้วสิ่งที่จะทำให้ก้อนหินก้อนนี้เป็นรอยได้ต้องใช้เครื่องจักรเท่านั้น
อาจารย์สัญญากับเขาว่า เมื่อเขาใช้กำลังภายในประทับรอยฝ่ามือลงไปบนก้อนหินก้อนนี้ได้ประมาณห้าเซนติเมตร อาจารย์จะปล่อยเขาไป
ขณะนี้เวทัส ดำเกิงและฝนสุดายืนอยู่ไม่ไกลจากรพีพงษ์ และจ้องรพีพงษ์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าก้อนหิน
“เวทัส นายว่าเขาจะประทับรอยฝ่ามือไว้บนหินได้ลึกแค่ไหน” ดำเกิงเอ่ยถาม
เวทัสมองดำเกิงอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “น่าจะเท่ากับฉัน หรืออาจจะเทียบไม่ได้กับฉัน”
ถึงแม้ว่าเขาจะแพ้ให้รพีพงษ์ แต่เพื่อทำให้จิตใจของตัวเองสงบ เขาคิดมาตลอดว่าการที่รพีพงษ์ชนะเขาได้ เพราะพรสวรรค์ นี่ทำให้เขาอดอิจฉาไม่ได้
แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็เรียนวิชากำลังภายในมาก่อนรพีพงษ์สามปี ในด้านความแข็งแกร่งของกำลังภายใน รพีพงษ์สู้เขาไม่ได้แน่นอน และความลึกตื้นของรอยฝ่ามือก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งของกำลังภายใน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดว่ารพีพงษ์จะประทับรอยฝ่ามือได้ลึกกว่าเขา
ฝนสุดาจ้องเวทัสแล้วพูดว่า “นายกล้าดูถูกรพีพงษ์เหรอ นี่นายไม่เชื่อฟังฉันเหรอ”
เวทัสทำตัวไม่ถูก จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ผะ..ผมผิดไปแล้ว ขอโทษครับ”
หลังจากที่แพ้ให้กับรพีพงษ์ครั้งก่อน ตามที่พนันกันเอาไว้เวทัสต้องเป็นเบ๊ของฝนสุดา เขาไม่ใช่คนที่จะแพ้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำตามที่พนันเอาไว้ ตอนนี้ฝนสุดาอยู่ตรงหน้าของเขา เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรบุ่มบ่าม
ดำเกิงเห็นภาพนั้น เขาอยากหัวเราะออกมาแต่ไม่กล้า จึงทำได้เพียงกลั้นเอาไว้
ผ่านไปไม่นาน รพีพงษ์ที่ยืนอยู่หน้าก้อนหินเริ่มขยับตัว เขาใช้พลังทั้งหมดที่อยู่ในตัวส่งไปที่ฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นจึงดันออกไปข้างหน้า เสียงปังดังขึ้นมาโดยรอบ รพีพงษ์ดึงมือกลับมา แล้วมองไปยังหินก้อนนั้น
ก้อนหินไม่ได้เสียหาย นอกจากรอยฝ่ามือสามรอย กลับไม่มีรอยฝ่ามีที่สี่อยู่บนหิน
เวทัสและคนอื่นๆ รีบเข้าไป หลังจากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงไม่มีรอยอะไรเลย เขาเอาชนะเวทัสได้อย่างไร” ดำเกิงพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เวทัสหัวเราะออกมา แล้วพูดอย่างเย้ยหยันว่า “รพีพงษ์ นายแข็งแกร่งตอนต่อสู้ แต่นายยังด้อยประสบการณ์ บนหินไม่มีรอยอะไรเลย นายยังเทียบกับฉันไม่ได้…”
เวทัสยังไม่ทันพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาต้องชะงักลง
เพราะมีเสียงดังออกมาจากหินที่อยู่ตรงหน้ารพีพงษ์ จากนั้นหินก็แตกออกเป็นสองซีก