พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่1214 ในที่สุดก็รอจนได้พบคุณ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่1214 ในที่สุดก็รอจนได้พบคุณ
“แม่ง ทำไมกูมีเลขาอย่างมึงนะ ตั้งแต่ตระกูลอุเอสึงิถูกล้างบางไป ตระกูลฮารุฮิก็ขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นแล้ว มึงรู้อะไรบ้างเนี่ย!” ธมลด่ารุนแรง
“อะไรนะ? ตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น?” เลขาสาวแข็งทื่อเป็นหินไปในที่สุด
วันนี้เป็นอะไรเนี่ย คนหนึ่งตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศจีน อีกคนตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น แต่ตัวเองกลับทำผิดต่อทุกคน
“รีบขอโทษคุณมิยาโมะโตะเร็วๆ!” ธมลกล่าว
เลขาสาวก้มหน้า “ฉัน……ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ทราบว่าคุณคือคุณมิยาโมโตะ ต่อไปฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว”
ฝนสุดากล่าวอย่างไม่พอใจ “ถ้ารพีพงษ์ไม่อยู่ที่ล็อบบี้ ฉันขี้เกียจจะเจอพวกคุณ แต่ ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกคุณกล้าดูถูกฉัน งั้นก็ต้องรับผิดชอบกับการกระทำ
ฝนสุดาพูดพลาง หยิบมือถือขึ้นมา “ผู้ว่าการป้อง ฉันคือฝนสุดา ได้ยินมาว่าเมืองของเราเชิญคนมาลงทุน ใช่มั้ย”
ปลายทางมีเสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นมา “ที่แท้ก็เป็นคุณฝนสุดานี่เอง ไม่คาดคิดจริงๆว่าคุณจะโทรหาผม สิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง เราเชิญบอสธมลมาลงทุน น่าจะมาถึงในวันสองวันนี้แหละครับ”
โครงการนี้ลงทุนประมาณเท่าไหร่? ฝนสุดาถาม
“เกือบๆ พันล้านนะ” ผู้ว่าการป้องกล่าว
“พันล้าน? ไม่มากนะ”ฝนสุดาหัวเราะ “ผู้ว่าการป้อง ฉันรับโครงการนี้เอง พันห้าร้อยล้าน เงินสด!”
“คุณฝนสุดา คุณ……คุณพูดจริงเหรอ? ดีจริงๆ ผมจะไปปฏิเสธบอสธมลเดี๋ยวนี้”
“โอเค งั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้เงินจะเข้าบัญชีจำนวนพันห้าร้อยล้าน”
พูดพลาง ฝนสุดาก็ได้วางสายไป
ธมลและเลขาสาวมึนงง เพราะวันนี้ตนก่อเรื่อง ทำให้โครงการนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ตอนนี้ พวกคุณไปได้แล้ว ฉันหวังว่าจะไม่เจอพวกคุณอีก!”
ตอนฝนสุดาพูด ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาทั้งสอง เพียงแค่หันไปยิ้มให้รพีพงษ์ที่อยู่ข้างๆ
“หิวแล้วใช่มั้ย ไปข้างบนกัน ฉันเตรียมอาหารค่ำแล้วเรียบร้อยแล้ว คุณไม่รู้อะไร ฉันนะมีเรื่องจะคุยกับคุณเยอะแยะไปหมดเลย”
เธอพูดพลาง จับแขนรพีพงษ์ เดินไปข้างบน
ธมลแข็งทื่ออยู่ข้างๆ
ฝนสุดาที่ท่าทางเลือดเย็นอยู่เมื่อกี๊ แต่กลับมีท่าทีอบอุ่นเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิต่อรพีพงษ์
แท้จริงแล้ว ความแตกต่างระหว่างคนนั้นมันมีมากมายจริงๆ
“พอแล้ว สุดา คุณปล่อยมือได้แล้วละ”
เมื่อมาถึงประตูห้องชั้นบนสุด รพีพงษ์ได้เอามือของอีกฝ่ายออกจากแขนของตน
“ทำไม แค่แป๊บเดียวก็ไม่ได้เหรอ?” ฝนสุดากล่าว เหมือนกับจะน่าสงสาร
“คุณรู้ดี ผม……”
“ฉันรู้ คุณมีภรรยาแล้ว ไม่พูดซ้ำๆจะได้มั้ย”
ฝนสุดาพูดพลาง เปิดประตูห้องออก
บนโต๊ะอาหารตะวันตกอย่างประณีตโต๊ะหนึ่ง ได้วางอาหารที่วิจิตรบรรจงไว้มากมาย เมื่อดูก็รู้ว่าใช้จิตทำ
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเฉพาะกิจ วัตถุดิบพวกนี้ถูกขนส่งจากประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านทางอากาศ ไม่รู้ว่าถูกปากคุณมั้ย” ฝนสุดากล่าว
“นี่ก็ดีมากแล้ว ขอบคุณมากจริงๆ ผมไม่ซีเรียสเรื่องการกิน” รพีพงษ์กล่าวอย่างเรียบง่าย
“อ้อ้ใช่ เมื่อก่อนคุณอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ละ แล้วก็ โรคที่นี่มันเป็นมาเป็นไปยังไง?” รพีพงษ์ถาม
ฝนสุดายิ้ม “รพีพงษ์ แป๊บเดียวคุณก็ถามเยอะขนาดนี้ คุณอยากให้ฉันตอบคำถามข้อไหนก่อนดีละ?”
“งั้นคุณก็ตอบทีละข้อก็แล้วกัน” รพีพงษ์ยิ้ม แล้วจิบไวน์แดงไปหนึ่งกรึ๊บ
ฝนสุดายกแก้วเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้ม “คุณนั่นแหละ หลังจากที่ครั้งที่แล้วคุณไปจากประเทศญี่ปุ่น ก็ทิ้งฉันไว้กับชุติเทพ ทำไม คิดว่าฉันกับอุเอสึงิ ฮารุน่ารำคาญเหรอ?”
“ไม่เลยไม่เลย ผมแค่รู้สึกว่าพวกคุณมีพรสวรรค์มาก ดังนั้นจึงให้ชุติเทพสอนพวกคุณ” รพีพงษ์รีบกล่าว กินซูชิเข้าไปหนึ่งคำ แก้เขิน
ฝนสุดายิ้มอย่างขี้เล่น “ชั่งเหอะ ใครให้ฉันมีนิสัยอ่อนโยนละ ยกโทษให้กับเรื่องครั้งที่แล้วของคุณ แต่เอาจริงๆ ฉันอยากขอบคุณที่คุณให้ฉันเรียนศิลปะการป้องกันตัวกับชุติเทพนะ”
“เหรอ? ดูๆแล้วช่วงนี้คุณฝึกฝนไปไม่น้อยเลยนะ?” รพีพงษ์ยิ้มพลางถาม
“ก็ได้อยู่นะ เน่ยจิ้งขั้นกลาง” ฝนสุดากล่าว ด้วยท่าทีรีบชมฉันสิ
“ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ถึงขั้นเน่ยจิ้งขั้นกลางได้ ถือว่าไม่เลว” รพีพงษ์พูดตรงๆ
ถึงแม้ พรสวรรค์แบบนี้มาเทียบกับของตัวเอง ยังห่างกันอยู่มาก
“ชิ แน่นอน เทียบกับคนประหลาดอย่างคุณไม่ได้หรอก แต่ ชุติเทพพูดแล้ว เพียงแค่ฉันตั้งแต่ฝึกฝน ใช้เวลาไม่กี่ปี ไม่แน่อาจจะเป็นแดนดั่งเทพก็ได้” ฝนสุดากล่าว
รพีพงษ์พยักหน้า ตอนแรกตนก็มองเห็นพรสวรรค์ของฝนสุดาเช่นกัน ดังนั้นจึงได้แนะนำให้ชุติเทพ
“รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่?”
ฝนสุดาถาม
รพีพงษ์ยักไหล่ “ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงปรากฏกายที่นี่ นี่มันน่าแปลกใจมากจริงๆ”
“ก็ไม่ใช่เพราะคุณหรือไง” ฝนสุดาทำปากมุ่ยแล้วกล่าว “ไม่งั้น ฉันคงไม่มารอคุณที่เมืองเล็กๆแบบนี้หรอก”
“รอผม?”
รพีพงษ์ยากที่จะเชื่อคำพูด
“ใช่ ใครให้ฉันลืมคุณไม่ได้ละ คิดถึงคุณมาโดยตลอด” ฝนสุดากล่าว “เป็นยังไงบ้าง ได้ยินฉันพูดแบบนี้ แอบดีใจอยู่ใช่มั้ยละ?”
“แฮ่มแฮ่ม คุณยิ่งพูดผมยิ่งมึนละ”
รพีพงษ์รีบดื่มเหล้าเข้าไป “คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมจะปรากฏตัวที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ ถ้าผมไม่มา คุณก็ต้องรอเปล่าประโยชน์เลยนะสิ?”
“นิรภัฏเป็นคนบอก”
“นิรภัฏ? เขารู้ได้อย่างไรกัน” รพีพงษ์สงสัย
“ธัชธรรมน่าจะบอกเขา” ฝนสุดาพูดต่อ “นิรภัฏรู้ว่าฉันคิดถึงคุณทุกเช้าค่ำ จากนั้นจึงพูดว่า คุณอาจจะกลับไปที่สำนักเทพยาเซียน ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ให้ฉันรู้คุณที่นี่”
รพีพงษ์ไตร่ตรองอย่างละเอียด พอจะรู้แล้วว่าทำไมนิรภัฏถึงได้รู้เรื่องนี้
ไม่ต้องพูด น่าจะเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่หลังจากธีรพัฒน์กลับไปที่สำนักเทพยาเซียนแล้วพูดเรื่องนี้กับธัชธรรม แล้วธัชธรรมบอกนิรภัฏต่อ
“หลังจากที่ผมมาถึงเมืองเล็กๆนี้แล้ว ก็สนใจโรงแรมนี้ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ซื้อโรงแรมไว้เพื่อรอคุณ” ฝนสุดากล่าว
ไม้ทั้งสองแทนตัวอักษรหลิน ตอนนี้รพีพงษ์เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
ไม่คาดคิด ว่าฝนสุดาจะใช้ใจกับตนมากขนาดนี้
เพียงแค่ รพีพงษ์ตัดสินใจแล้ว ว่าชาตินี้ จะไม่ผิดต่ออารียา
พูดได้เพียงว่า ฝนสุดาปรากฏตัวค่อนข้างช้าไปหน่อย
“แล้ว โรคในครั้งนี้ละ คุณพอจะรู้เรื่องมั้ย?” รพีพงษ์เปลี่ยนเรื่องคุยแล้วถาม “ครั้งที่แล้วตอนที่ผมมา ที่นี่ไม่เหมือนสถานการณ์ในตอนนี้เลย”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ คิ้วของฝนสุดาได้ขมวดเข้ามาหากัน “โรคที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันแปลกมา ได้ยินมาว่ามันแพร่ระบาดเมื่อไม่กี่วันก่อน มาอย่างรุนแรง ฉันสงสัยมาตลอดว่า……”
“สงสัยอะไร?” รพีพงษ์ถาม
“ฉันสงสัยว่า โรคระบาดในครั้งนี้เป็นฝีมือของมนุษย์” ฝนสุดากล่าว
“ฝีมือมนุษย์?” รพีพงษ์หน้าลิ่วคิ้วขมวด ถ้าเป็นจริงตามนี้ละก็ งั้น คนนี้มันก็เลวร้ายเกินไปแล้ว
“คุณพูดมีเหตุผล ที่นี่อยู่ใกล้กับสำนักเทพยาเซียน ปราณทิพย์มหาศาล ตามหลัก ที่แห่งนี้ไม่น่าจะมีโรคระบาดแบบนี้” รพีพงษ์กล่าว
ฝนสุดาพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้ม “แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของฉัน ฉันเพียงแค่รอคุณก็พอแล้ว ”
รพีพงษ์ยิ้มอย่างเบื่อหน่าย “ถ้าคุณไม่เจอผม หรือ ถ้าผมไม่ได้พักที่เมืองเล็กๆนี้เลยจะทำยังไง?”
“งั้น……ฉันก็จะรอต่อไป”
ฝนสุดาก้มหน้าพูด ด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ