พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่1347 เตรียมพร้อมทำงาน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่1347 เตรียมพร้อมทำงาน
“ประมุขรพี พวกเราสามารถทำได้ทุกอย่างตามที่คุณต้องการ คุณวางใจได้ แม้ว่าปกติพวกเรามักจะทำความชั่วร้ายมากมาย แต่ถ้ามีคนจากโลกภายนอกบุกรุก พวกเราจะต่อสู้กับพวกเขาจนถึงที่สุด!”
“ใช่ จะต่อสู้กับพวกมันให้ถึงที่สุด และฆ่าพวกมันทุกคนซะ!”
คนเหล่านี้ต่างก็แสดงจุดยืน
ใบหน้าของรพีพงษ์นิ่งสงบ แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะประพฤติมิชอบ และทุกคนล้วนเป็นคนชั่วที่มีเล่ห์เหลี่ยม แต่ว่าดังที่ว่าใช้คนพวกก็ต่อเมื่อจำเป็น
ถ้าคนพวกนี้คิดจะทำความชั่วแล้ว ไม่มีใครเทียบได้ และที่สำคัญกว่านั้น พวกเขาชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่โดยพื้นฐานแล้วทุกคนมีลักษณะนิสัยที่ไม่ย่อท้อ ใช้พวกเขาต่อสู้กับคนของทวีปโอชวินเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ประมุขรพี ผมมีความคิดเห็นอย่างหนึ่ง” ชายคนที่ตาเหมือนหนูกล่าว
“คุณชื่ออะไร?” รพีพงษ์ถาม
ชายคนนั้นหัวเราะ “ผมชื่อธมกร ฉายาหนูตะกายฟ้า”
หงส์ที่ด้านข้างยิ้มเล็กน้อย ไอ้หมอนี้มีตาเหมือนหนูจริง ๆ
เพียงแต่ว่าหนูตัวนี้ เป็นคนที่มีความสามารถอยู่ในระดับแดนดั่งเทพแล้ว ซึ่งประมาทไม่ได้
“มีอะไร คุณพูดมาได้เลย”
รพีพงษ์กล่าว
“ครับ” ธมกรหรี่ตาแล้วกล่าวว่า “ผมคิดว่าตอนที่โลกภายนอกบุกมา พวกเราอาจเตรียมการซุ่มโจมตีก่อนที่พวกเขาจะมาถึง หาพวกกรดกำมะถัน และระเบิดต่าง ๆ ขอแค่พวกเขากล้ามา พวกเราก็จะทำให้พวกเขากลับไปไม่ได้!”
“ถูกต้อง ธมกรพูดถูก แล้วก็ซื้อปืนกลแล้วยิงใส่พวกมันด้วย ให้คนชั่วเหล่านั้นสูญเสียคนครึ่งหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะได้เห็นหน้าพวกเรา!” อีกคนกล่าว
“ใช้ระเบิดทำให้พวกมันตาย!”
“ยิงระเบิดใส่พวกมัน เพื่อทำให้ทัพของพวกมันแตกกระจาย!”
……
คนเหล่านี้ คนนี้พูดประโยคหนึ่ง คนนั้นพูดประโยคหนึ่ง สามารถกล่าวได้ว่าความคิดของทุกคนเป็นนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ
แม้แต่พวกมังกรซึ่งเคยดูถูกคนเหล่านี้มาก่อน เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดแล้วยังเกิดความสนใจ
ปรากฏรอยยิ้มอยู่ในดวงตาของรพีพงษ์ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนเหล่าได้รับการเลือก
เขาจำคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างเงียบๆ แล้วกล่าวว่า “สิ่งที่พวกคุณพูด ผมได้จำไว้แล้ว ธมกร พวกคุณทั้งสิบสามคนให้คุณเป็นคนดูแล คุณคิดว่าอย่างไร”
“โอเค ประมุขรพี วางใจได้” ธมกรกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขายืนอกผายไหล่ผึ่งขณะพูด ตอนนี้เขาทำราวกับว่าตนเองเป็นแม่ทัพในสนามรบ
“พวกคุณถอยออกไปเถอะ ช่วงนี้อยู่ในกลุ่มสิงโต ห้ามสร้างปัญหาเด็ดขาด ถ้าผมจับได้ว่าใครกล้าสร้างปัญหา ก็จะเป็นเหมือนของชิ้นนี้!”
ขณะที่พูด รพีพงษ์ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เขาปล่อยพลังจิตวิญญาณเทพอย่างรวดเร็ว ไปกระแทกกับเก้าอี้หินที่อยู่ในห้องโถงทันที ชั่วพริบตาเดียวเก้าอี้หินก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที
เมื่อคนเหล่านี้เห็นความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของรพีพงษ์ ทำให้พวกเขารู้สึกประหม่าและกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ประมุขรพีวางใจได้ พวกเราไม่กล้าสร้างปัญหาแน่นอน”
เมื่อพูดจบ คนทั้งสิบสามคนก็ถอยออกไป
“รพีพงษ์ คุณคิดว่าสิ่งที่พวกเสนอเขาเป็นไงบ้าง?”
ธีรพัฒน์ที่ด้านข้างถาม
“ปัญหาของโลกก็ต้องให้พวกเราชาวโลกเป็นคนแก้ไขปัญหา แต่ก็เป็นเรื่องไม่เลว ที่จะให้ผู้คนในโลกทวีปโอชวินต้องทนทุกข์ทรมานบ้าง” รพีพงษ์กล่าวเบา ๆ
ทวีปโอชวิน
นับตั้งแต่ฉันท์ชนกถามนีย์เกี่ยวกับกระบี่สยบเซียนก็ผ่านไปสิบวันแล้ว
ในช่วงสิบวันมานี้ จิรกิตติ์ก็มาที่ห้องของนีย์เพื่อถามเกี่ยวกับกระบี่สยบเซียน แต่นีย์บอกพ่อว่าตนเองไม่รู้เรื่องนี้เลย
ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิรกิตติ์ระวังตัวเป็นอย่างมาก ถ้าไม่แน่ใจว่าจิตวิญญาณของจอมมารชูร่าสลายไปแล้ว เขาจะไม่เคลื่อนไหวมากนัก
อย่างไรก็ตาม แต่ก็มีการทำลายช่องทางเดินอยู่ทุกวัน แต่ระดับของการทำลายนั้นมีพลังน้อยกว่าครั้งก่อนมาก
“บัดซบ แหล่งกำเนิดพลังทิพย์อยู่ในป่าหมอก เกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้ว แต่ดันมีกระบี่สยบเซียนปรากฏขึ้น!”
ภายในวัง จิรกิตติ์โกรธรจนตาแดงก่ำ
“เจ้าทวีปกิตติ์ ผมคิดว่าเราให้คนไปที่โลก เพื่อตรวจสอบว่าจิตวิญญาณของจอมมารชูร่าสลายไปจริงหรือไม่ เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว เราจะบุกโลกทันที!” ฉันชนกกล่าว
“เขาพูดถูก พี่ใหญ่ คราวนี้ผมจะไปเอง แม่งฉิบหาย ถ้าจิตวิญญาณของจอมมารชูร่าสลายไปแล้วก็ดี แต่ถ้ายังไม่สลาย ผมจะสู้กับเขาสักตั้ง จะดูว่าใครเก่งกว่ากัน!” ธีภพกล่าวเสียงดัง
ในบรรดาสามพี่น้อง เขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อนที่สุด
“คุณนั่งลง! พวกเรายังมีเรื่องต้องปรึกษากันอีกหลายเรื่อง ถ้าให้คุณไป ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?” จิรกิตติ์กล่าวอย่างเย็นชา
ธีภพขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ กลัวทำไม ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ผมอุดอู้จนแทบเป็นบ้าแล้ว ว่าไปแล้วพวกเราทวีปโอชวินช่างน่าผิดหวังจริง ๆ ก็แค่กระบี่ห่วย ๆ ก็ทำให้พวกเรากลัวเช่นนี้ พี่ใหญ่ ผมคิดว่าพี่ยิ่งแก่ยิ่งใจเสาะ เมื่อก่อนพี่ไม่ได้เป็นเช่นนี้!”
“แกหุบปาก!”
จิรกิตติ์กล่าวอย่างโกรธจัด จากนั้นก็ยืนขึ้น ดวงตาทั้งสองมองไปที่ธีภพราวกับดาบที่แหลมคม
“จอมมารชูร่า หรือว่าคุณไม่รู้ว่าเขาน่ากลัวแค่ไหนหรือ?”
จากนั้น จิรกิตติ์ค่อย ๆ เปิดเสื้อของตนเอง และหลังจากที่เขาเปิดเสื้อแล้ว มีรอยแผลเป็นมากมายบนร่างกายและหลังของเขา
และรอยแผลเป็นที่ยาวที่สุดคือสี่สิบเซนติเมตร
“รอยแผลเป็นเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้กับจอมมารชูร่า แต่ผมไม่สามารถฟันถูกเขาแม้แต่ครั้งเดียว ผมคิดว่ารอยแผลเป็นของพวกคุณน่าจะไม่น้อยไปกว่าของผมเท่าไหร่”
ธีภพก้มศีรษะลง เป็นเช่นนั้นจริง ในการต่อสู้ครั้งนั้น สามพี่น้องล้อมจอมมารชูร่าไว้ แต่ก็พ่ายแพ้
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน พวกเราไม่ควรดูถูกตัวเองจนเกินไป สองร้อยปีผ่านไป พวกเราแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก ผมคิดว่าต่อให้เจอจอมมารชูร่า พวกเรารวมพลังต่อสู้พร้อมกันจะต้องชนะแน่นอน” ฉันชนกกล่าว
จิรกิตติ์กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถึงอย่างนั้น แต่พวกเรายังต้องระมัดระวัง”
พูดจบ เขามองไปที่คนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัง คนเหล่านี้บางคนได้เคยเข้าร่วมต่อสู้กับจอมมารชูร่ามาแล้ว และยังมีคนที่ยังไม่เกิดในตอนนั้น
“พวกคุณทั้งหลาย มีใครเต็มใจที่จะไปตรวจสอบที่โลกหรือไม่?” จิรกิตติ์กล่าวถาม
คนเหล่านี้มองหน้ากันแต่ไม่กล้าพูด
คิดว่าเป็นเพราะรอยแผลเป็นบนร่างกายของจิรกิตติ์ที่ทำให้พวกเขาตกใจกลัว ตอนนี้จิรกิตติ์เป็นคนที่เก่งที่สุดในที่นี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นสองร้อยปีก่อน แต่ความแข็งแกร่งของเขาได้มาถึงระดับแดนเทพขั้นกลางแล้ว
คนเช่นนี้ยังถูกจอมมารชูร่าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นับประสาอะไรกับพวกเขาล่ะ
“พวกคนไม่เอาไหน ทำเพื่อทวีปโอชวินมันยากนักหรือไง ปกติพวกคุณทุกคนมักเสพสุขกับประโยชน์ของพลังทิพย์ ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแต่กลับไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้” จิรกิตติ์กล่าวอย่างโกรธเคือง
เมฆและชาคริตมองหน้ากัน พวกเขาในฐานะที่อยู่ในระดับแดนเทพ คิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะไปที่โลกเพื่อสืบหาความเป็นจริง
ขณะนี้เอง มีคนเดินมาจากด้านข้างของห้องโถง
ร่างกายของเธอดูไม่แข็งแรง แต่พลังของเธอค่อนข้างคงที่
“ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจไป ก็ให้ฉันไปหาสืบหาที่ประเทศจีนเถอะ”
“นีย์ คุณมาที่นี่ได้อย่างไร?”
จิรกิตติ์มองเขาด้วยความประหลาดใจ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้า คือลูกสาวคนเล็กของเขา ฐปนีย์!