พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่1453 สุขสันต์
ทุกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดื่มเหล้ามากเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรู้ได้ มิเช่นนั้นสายตาเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกกระจอกเหล่านี้ฉี่ลาดได้
“มิฉะนั้น ผมจะทำให้เลือดของพวกคุณสาดอยู่ตรงนี้!”
ชายหัวโล้นชี้ไปที่ไตรทศพร้อมขวดเบียร์ในมือ
แต่ ณ เวลานี้ ขวดเบียร์ในมือของเขาถูกธฤตญาณที่อยู่ข้างๆ กระชากไปทันที หลังจากเสียงดังก้อง ศีรษะที่เป็นประกายแวววาวของชายหัวโล้นก็แตกทันที!
“แค่ขวดเบียร์ยังจับไม่มั่น คนอย่างคุณจะประสบความสำเร็จในเกียวโตได้หรือ?”
ธฤตญาณกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
ชายหัวโล้นจับหัวที่เลือดกำลังไหล ชี้ไปที่ธฤตญาณ และกล่าวว่า “คุณ คุณลอบโจมตี……คุณไม่ปฏิบัติตามกฎ!”
“ไม่สำคัญว่าคุณจะใช้ขวดเบียร์ชี้มาที่ผม หรือเหยียบหยามผมด้วยคำพูด แต่สุนัขอย่างพวกคุณ กล้าว่าประมุขรพีของตระกูลลัดดาวัลย์ คุณก็สมควรตาย!”
ธฤตญาณกล่าวอย่างเย็นชา พร้อมมีไอเยือกเย็นแผ่ออกมาจากภายในร่างกายสู่ภายนอก
ข้างหลังเขา เมื่อชายตาเล็กเห็นว่าอีกฝ่ายเก่งเป็นอย่างมาก และแววตาสังหารของอีกฝ่ายที่ไม่เหมือนคนธรรมดา เขาจึงรีบรั้งชายหัวโล้นแล้วกล่าวว่า “เฮียยิ่งคุณ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“ไปเหี้ยอะไร! พวกเรามีสี่คน จะไปกลัวพวกเขาทำไม!”
ขณะที่ชายหัวโล้นพูด ก็พุ่งไปข้างหน้าทันที
ธฤตญาณส่ายศีรษะอย่างจำใจ “แน่นอนว่า คนที่ดื่มเหล้ามากเกินไปจะไม่รู้จักความเจ็บปวด”
“งั้นผมจะเป็นคนที่ช่วยให้เขาสร่างเมาเอง!”
รอยยิ้มอยู่ปรากฏอยู่ในแววตาของไตรทศ จากนั้นเขาก็ใช้เท้า
เตะไปที่ท้องของอีกฝ่ายทันที เดิมชายหัวโล้นเองก็เมาอยู่แล้ว บวกกับพลังอันมหาศาลของไตรทศ ทำให้เขายืนไม่มั่น และล้มลงกับพื้นทันที
หลังจากนั้น ไตรทศเดินไปข้างหน้า และเหยียบบนตัวของอีกฝ่าย แม้ว่าชายหัวโล้นจะตัวใหญ่ แต่เขาก็ไม่สามารถขยับตัวได้
เมื่อพวกที่อยู่ข้างหลังเห็นเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยคิดว่า สองคนนี้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีทักษะฝีมือที่เก่ง ถ้าไม่มีประสบการณ์ต่อสู้นับร้อยครั้งจะทำเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน
“พวกคุณ มีใครกล้าเข้ามาอีก”
ธฤตญาณกล่าวอย่างเย็นชา เพียงแค่สายตาของเขา ก็ทำให้พวกเขาวางขวดเบียร์ในมือลงทีละขวด
“ตีพวกมันเลย แม่งฉิบ ตีพวกมันให้ตาย!”
ชายหัวโล้นที่ถูกเหยียบกล่าวเสียงดัง
“ดูเหมือนว่าเขาจะดื่มเหล้าไปไม่น้อย ไม่เป็นไรอีกสักครู่คุณจะสร่างเมาเอง”
เมื่อพูดจบ ไตรทศก็เดินออกไปสองก้าว และมาที่ประตูร้านอาหาร
หน้าประตูของร้านอาหารมีสายยางน้ำประปา เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับล้างปลาและกุ้ง
ไตรทศลากสายยางน้ำประปา แล้วเปิดก๊อกน้ำ ตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว และอากาศตอนกลางคืนของเกียวโตมันหนาวมาก
น้ำประปาที่ไหลออกจากท่อน้ำนั้นจึงเย็นเฉียบ!
น้ำเย็นไหลลงไปบนใบหน้าของชายหัวโล้นอย่างต่อเนื่อง ชั่วพริบตา เขาก็ได้สติสร่างเมาทันที
“โอ๊ย! ไม่ พี่ใหญ่ ผมผิดไปแล้ว โปรดยกโทษให้ผมด้วย!” ชายหัวโล้นกล่าวด้วยความทรมาน
“เมื่อสักครู่คุณดุนักไม่ใช่หรือ จะให้พวกเราเลียรองเท้าของคุณไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้คุณไม่ดุล่ะ หือ?” ไตรทศกล่าวอย่างดุร้าย และมือของเขาก็ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด
“ผมผิด มันเป็นความผิดของผมเอง ผมดื่มมากเกินไปถึงได้เป็นแบบนี้” ชายหัวโล้นอ้อนวอนขอความเมตตา
“เอาล่ะ ไตรทศสั่งสอนแค่นี้ก็พอประมาณแล้ว”
ธฤตญาณกล่าวอย่างเคร่งขรึม และเดินไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
ไตรทศถอนลมหายใจ แล้วโยนสายยางน้ำประปาทิ้งไป
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่พวกเราผิดไปแล้ว” คนเหล่านี้มองสองคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าก่อเรื่องอีก
“ปล่อยคุณไปก็ได้ แต่เมื่อสักครู่คุณคุยโว และดูถูกประมุขของตระกูลลัดดาวัลย์ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้” ธฤตญาณกล่าวกับชายหัวโล้น
ชายหัวโล้นสั่นไปทั้งตัว และกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทาว่า “พี่……พี่ใหญ่ คุณต้องการอะไร หรือจะให้ผม…..ผมเลียพื้นรองเท้าของคุณ?”
“แม่งฉิบหาย คุณคู่ควรหรือ?” ไตรทศกล่าว
“แล้ว……แล้วคุณจะเอาอย่างไร?” ชายหัวโล้นมองธฤตญาณด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้เขาสร่างเมาแล้ว มองแวบแรกก็รู้ว่า ธฤตญาณเป็นคนที่พูดน้อย แต่เป็นคนที่ไม่สามารถล่วงเกินได้
“คุณชื่อ……..ยิ่งคุณ?” ธฤตญาณกล่าวอย่างเย็นชา
ชายหัวโล้นพยักหน้าอย่างงุนงง
“โอเค ชื่อนี้ไม่เลว เมื่อเป็นเช่นนี้ จะลงโทษคุณ โดยให้คุณยืนร้องเพลงสุขสันต์อยู่หน้าร้านสิบรอบ” ธฤตญาณกล่าวอย่างเย็นชา
ไตรทศที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้มเล็กน้อย ให้ชายร่างใหญ่กำยำร้องเพลงกล่อมเด็กที่ทางเข้าร้านอาหาร คาดว่าพรุ่งนี้คลิปวิดีโอนี้จะถูกผู้คนค้นหาอย่างร้อนแรง สมแล้วที่เป็นธฤตญาณที่สามารถคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้
“พี่ใหญ่ ผม……ไม่ใช่ว่าผมไม่ร้อง แต่ผม……ผมร้องเพลงนี้ไม่เป็น” ชายหัวโล้นกล่าวอย่างเก้อเขิน
“ผมร้องเป็น ผมจะเป็นคนร้องนำ”
ชายตาเล็กที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างรวดเร็ว เขากระแอมในลำคอ และเริ่มร้องเพลง “สุขสันต์ แกะแสนสวย……. ”
หลังจากได้ยินเสียงร้องเพลง ทำให้ไตรทศและคนอื่น ๆ ส่ายศีรษะ
ขณะนี้รพีพงษ์ได้เดินเข้ามา “เป็นอย่างไรบ้าง จัดการเรียบร้อยหรือยัง? ”
“จัดการเรียบร้อยแล้วครับพี่ใหญ่ พวกเราไปกันเถอะ”
ไตรทศกล่าว
รพีพงษ์พยักหน้า แล้วทั้งสามก็หันหลังและกำลังจะเดินออกไป
ในคืนที่มืดมิด เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่ในร้านอาหารชายตาเล็กไม่ได้สนใจ ตอนนี้เขาถึงสังเกตเห็นใบหน้าของรพีพงษ์อย่างชัดเจน
เขากล่าวด้วยเสียงที่แหบว่า “คุณ……คุณคือคุณชายรพี”
“อะไรน่ะ? เขาคือรพีพงษ์?”
ชายหัวโล้นกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ไตรทศหันหลังกลับมา “ไอ้หมอนี่ คุณกล้าเรียกชื่อคุณชายรพีโดยตรงได้อย่างไร เร็วรีบร้องเพลงให้ผมฟังเลย!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ไตรทศกล่าว ทุกคนก็ยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้น ในสามคนนั้น คนที่เป็นหัวหน้าคือรพีพงษ์ ประมุขของตระกูลลัดดาวัลย์!
“พี่ทั้งสามคน ผม…….ผมมีเรื่องจะบอกพวกคุณ”
ชายตาเล็กกล่าวกับพวกธฤตญาณ
“ทำไม คุณมีเรื่องอะไร?” ธฤตญาณกล่าว
“พวกเราอยากให้พวกคุณเป็นพี่ใหญ่ของพวกเรา ต่อไปพวกเราจะติดตามพวกคุณ!”
ชายตาเล็กขยิบตาให้เพื่อนของตนเอง
คนเหล่านี้เข้าใจอย่างชัดเจน และรีบกล่าวพร้อมกัน “ใช่ ต่อไปพวกเราจะติดตามพวกคุณ! ”
รพีพงษ์มองดูคนเหล่านี้ และคิดว่าชายตาเล็กคนนี้ค่อนข้างฉลาด หลังจากที่รู้ว่าธฤตญาณกับไตรทศกำลังติดตามตนเองอยู่ เขาก็อยากจะติดตามตนเองอย่างรวดเร็ว
“พวกคุณจะติดตามผม อาศัยอะไร? ผมธฤตญาณไม่เคยต้องการคนไร้ประโยชน์” ธฤตญาณกล่าวอย่างเย็นชา
ชายตาเล็กรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่ เดิมทีพวกเราเป็นคนของแก๊งมังกรทองที่เป็นกองกำลังมืดใต้ดินอันดับหนึ่งในเกียวโต ใครจะไปรู้ เพราะเรื่องหนึ่ง พวกเราจึงถูกขับไล่ออกจากแก๊งมังกรทอง”
“อ้อ?”
หลังจากฟังธฤตญาณก็มองไปที่รพีพงษ์
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย “ผมไม่ได้อยู่เกียวโตนาน ผมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับแก๊งมังกรทอง”
“ประมุขรพีมีธุรกิจใหญ่โตมากมาย ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะไม่สนใจแก๊งมังกรทอง แต่ผู้นำของแก๊งมังกรทองที่ชื่อมกรธวัช เคยพูดประโยคหนึ่ง”
ชายตาเล็กกล่าวแล้วมองไปที่รพีพงษ์
“เคยพูดอะไร?” รพีพงษ์ถามด้วยความอยากรู้
“เขาบอกว่า ในเมืองเกียวโตถ้าเป็นตอนกลางวันประมุขรพีเป็นใหญ่ ส่วนตอนกลางคืนเขามกรธวัชเป็นใหญ่!” ชายตาเล็กกล่าว
“ไอ้หมอนี้มันช่างจองหองจริง ๆ!” ไตรทศกล่าวอย่างเย็นชา
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว ไม่อนุญาตให้คนจองหองเช่นนี้อยู่ในเกียวโตอีกต่อไป
แค่ตนเองสั่ง ก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แต่เรื่องเช่นนี้ตนเป็นคนลงมือเองจะดีกว่า
ธฤตญาณมองพวกเขาและกล่าวว่า “เมื่อสักครู่พวกคุณบอกว่าถูกมกรธวัชขับไล่ออกจากแก๊งมังกรทอง ผมอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เพราะว่าไอ้หมอนั้นแย่งแฟนสาวของผมไป!”
ขณะนี้ ยิ่งคุณที่หัวโล้นก็เดินเข้ามา เขามองธฤตญาณและคนอื่น ๆ อย่างเจ็บปวดและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ผมร้องเพลงจบแล้ว”
“คุณบอกว่ามกรธวัชแย่งแฟนสาวของคุณ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ธฤตญาณกล่าวถาม
ยิ่งคุณกล่าวว่า “แม่งฉิบหาย มกรธวัชบังคับครอบครองแฟนสาวลับหลังผม ด้วยความโกรธผมจึงไปถามเขา แต่กลับถูกเขาทำร้าย แล้วก็ขับไล่ผมออกมาจากแก๊ง”
“แล้วพวกคุณล่ะ หรือว่ามกรธวัชแย่งแฟนสาวของพวกคุณด้วย?” รพีพงษ์กล่าวถาม
ชายตาเล็กและคนอื่น ๆ ส่ายหน้า “ไม่ใช่ พวกเราเป็นพี่น้องที่สนิทของยิ่งคุณ เมื่อเห็นว่าเขาถูกขับไล่ เราก็ตามออกมา เพียงแต่…… ”
“เพียงแต่เมื่อวานไอ้มกรธวัชออกคำสั่งฆ่า เพื่อให้พวกเราไม่สามารถอยู่ในเกียวโตได้อีก แต่ผมไม่อยากให้พี่น้องต้องติดร่างแหไปด้วย ดังนั้นคืนนี้ผมก็เลยพาพวกเขาออกมาเลี้ยงสังสรรค์?” ชายหัวโล้นกล่าว
“ดูไม่ออกเลยว่าคนพวกนี้จะมีน้ำใจ” รพีพงษ์กล่าวกับธฤตญาณ
ธฤตญาณพยักหน้า
“พี่ใหญ่ ต่อไปให้พวกเราติดตามคุณได้ไหม ถ้ามีพวกคุณ ไอ้มกรธวัชจะไม่กล้าทำอะไรพวกเรา” ชายตาเล็กกล่าว
ยิ่งคุณก็ขอร้องอ้อนวอนเช่นกัน “คุณชายรพี เมื่อสักครู่ผมเลอะเลือนไปชั่วขณะ ผมสมควรตาย ผมไม่ควรพูดเช่นนั้น คุณชายรพีเป็นบุคคลประเภทใด ผมเลอะเลือนเช่นนั้นได้อย่างไร กล้าไปเปรียบเทียบกับคุณได้อย่างไร?”
รพีพงษ์กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ไม่เป็นไร สิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง เมื่อก่อนผมเป็นแค่ลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ของเมืองริเวอร์จริง ๆ”
“พวกคุณจะตามติดตามพวกเราก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะพวกเราไม่ได้อยู่ในเกียวโต อีกสองวันพวกเราก็จะกลับไปแล้ว” ธฤตญาณกล่าว
“นี่……”
ยิ่งคุณกัดริมฝีปาก และหันไปหาทุกคนและกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ต้องขอโทษด้วย ที่พวกคุณติดตามผมแล้วมีแต่ความทุกข์ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้หลังจากดื่มสังสรรค์แล้ว พรุ่งนี้ต่างคนต่างไปดีกว่า!”
“แล้วคุณล่ะ?” ชายตาเล็กกล่าวถาม
สายตาของยิ่งคุณมีแววดุร้าย “มกรธวัชเผด็จการเกินไปแล้ว พรุ่งนี้กูจะไปชำระบัญชีกับมัน!”
“อย่าไป มกรธวัชมีลูกน้องร้อยกว่าคน อีกอย่าง ถึงจะสู้ตัวต่อตัวคุณก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าคุณไปก็เท่ากับไปรนหาที่ตาย!” ชายตาเล็กกล่าว
“แต่ว่า……”
ชายหัวโล้นมีสีหน้าเคียดแค้น เขาในฐานะผู้ชาย สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือถูกสวมเขาแต่ไม่มีทางที่จะล้างแค้นได้!
“ธฤตญาณ คุณมาทางนี้ก่อน”
รพีพงษ์โบกมือ แล้วทั้งสามคนก็ถอยไปด้านข้าง
“พี่ใหญ่ มีอะไรหรือ?” ไตรทศกล่าวถาม
“สนใจที่จะมาปักหลักที่เกียวโตหรือไม่?” รพีพงษ์กล่าว และมองสองคนด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย