พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่177
บทที่177 ไม่มีอำนาจเช็คยอด
บริษัทซันบับเบิ้ลกรุ๊ป สาขาเมืองริเวอร์
รพีพงษ์และเธียรวิชญ์นั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยกัน เธียร วิชญ์ชงชาให้รพีพงษ์ ก่อนหน้านี้เธียรวิชญ์ผู้ซึ่งได้รับการ บริการจากคนอื่นมาตลอดไม่เคยเลยที่จะต้องมาตั้งใจชง ชาให้กับคนอื่น
“ความหมายแกคือ ประธานบริษัทของตระกูลฉัตรมงคล คือธายุกร? รพีพงษ์ถาม
เธียรวิชญ์พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก หัวเราะพลางกล่าว “ผมก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อกี้นี้แหละ ได้ยินมาว่าธายุกรบีบให้ท่าน นภทีปลงจากตำแหน่ง คนของตระกูลฉัตรมงคลก็ชั่งน่าสน ใจจริงๆ ได้ยินมาว่าเพราะพวกเขาต้องเอาวัตถุโบราณสอง ชิ้นไถ่กลับมา ต้องรวบรวมเงินให้ได้แปดสิบล้าน ธายุกร พูดว่าตัวเองสามารถรวบรวมได้ ต้องให้คุณนภที่ป์เอา ตำแหน่งประธานให้เขาก่อน”
“หลังจากที่ท่านนภทีปัตกลงแล้ว เรื่องแรกที่เขาทำคือ เอาวัตถุโบราณของท่านนภทีป์ไปขายเพื่อรวมเงิน ตอนนี้ ท่านนภทีป์โมโหจนไม่ลงจากเตียงแล้ว”
รพีพงษ์คิดไม่ถึงว่าธายุกรจะใจร้ายขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่า
จะทำเรื่องแบบนี้ได้ในตอนนี้
“คุณดูตระกูลฉัตรมงคลหมดเนื้อหมดตัวแล้ว อายุกรนั่ง เก้าอี้ประธานจะมีประโยชน์อะไรอีก ไม่รู้จริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่” เธียรวิชญ์ส่ายหัว
รพีพงษ์หัวเราะแล้วหัวเราะอีก แล้วกล่าว “ความคิดของ คนประเภทนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ถึงแม้ตระกูลฉัตรมงคล หมดตัว แต่ยังไงก็ยังเป็นบริษัทที่ไม่เล็กยังไงก็ได้เงินกลับ มา ธายุกรอยากจะกุมอำนาจไว้ตั้งนานแล้ว”
“คำพูดนี้พูดได้ไม่เลว ช่วงสองสามวันนี้ที่ธายุกรได้นั่ง เก้าอี้ประธานบริษัท ก็เริ่มเก็บเกี่ยวกำไรกับโครงการของ พวกเราแล้ว เขายังคิดว่าพวกเราไม่รู้เรื่องที่อารียาถูกไล่ ออกแล้ว ในเวลาสองวันได้เอาเงินออกไปแล้วกว่าสิบล้าน” เธียรวิชญ์กล่าว
รพีพงษ์ขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก ไม่คาดคิดว่าธายุกรจะ ยโสโอหังได้ขนาดนี้
“ดูๆแล้วเขาก็ยังไม่สำนึกเรื่องตรวจสอบบัญชีครั้งที่แล้ว เลยนะ” รพีพงษ์พึมพำ
“จะให้ผมจัดคนไปสั่งสอนเขาหน่อยไหม? เอาแค่เรื่องที่ ไล่อารียาออก ก็ทำให้พวกเขาปวดหัวได้ล่ะ” เธียรวิชญ์ กล่าว
รพีพงษ์หัวเราะพลางส่ายหัว แล้วกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน ให้เขาได้ยโสโอหังไปก่อนสักพัก ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็ ราคา หุ้นของบริษัทตระกูลฉัตรมงคล อยู่ที่ประมาณห้าสิบล้าน เปล่า?”
เธียรวิชญ์พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก แล้วกล่าว “ประมาณนั้น ความหมายของคุณคือ?”
ช่วงนี้ฉันจะต้องไปอำเภอหยกสักพัก รอให้ฉันกลับมา จากอำเภอหยกก่อน แล้วจะเทคโอเวอร์บริษัทตระกูล ฉัตรมงคล” รพีพงษ์กล่าว
รพีพงษ์ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน ก็ต้องกลับเกียวโตกับโยษิ ตาแล้ว เขาไม่รู้ว่าคราวนี้กลับเกียวโตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น บ้าง ถึงแม้จะไปแค่ช่วงเวลานั้นเท่านั้น เขาก็ต้องเตรียมตัว ให้พร้อมทุกอย่าง
ธายุกรกับอารียาไม่ถูกกัน ดังนั้นก่อนหน้ารพีพงษ์จะไป เกียวโต ต้องควบคุมธายุกรแทนอารียาให้อยู่หมัดเสียก่อน
การที่จะซื้อบริษัทตระกูลฉัตรมงคลนั้น เป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการที่จะควบคุมธายุกรโดยสิ้นเชิง
เธียรวิชญ์พยักหน้า แล้วถามขึ้นทันใด “คุณจะไปอำเภอ หยกทำไม?”
“ไปอยู่บ้านแม่ยายสักพัก” รพีพงษ์กล่าว
เธียรวิชญ์หัวเราขึ้นมา แล้วกล่าว “ที่แท้ก็กลับบ้าน แม่ยาย แกยังจำน้องชายคนนั้นที่อยู่ข้างๆผมตลอดในตอน แรกได้ไหม? จิรายุศหนะ”
รพีพงษ์หยักหน้า แล้วกล่าว “คนนั้นในตอนแรกไม่ใช่ว่า ทำคู่กับแกหรอ สองปีนี้ก็ไม่เห็นเขา เขาไปไหนแล้ว?”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่อำเภอหยก แล้วเจริญก้าวหน้าอย่างมาก
ที่อำเภอหยกนั้น คุณไปที่นั่นมีปัญหาอะไรก็ไปหาเขาได้
ฉันเอาเบอร์โทรของเขาให้คุณ” เธียรวิชญ์หัวเราะพลาง
กล่าว
“ที่แท้ก็ไปตั้งตัวที่อำเภอหยกแล้ว ฉันไปถึงแล้วกลัวว่า เขาจะลืมฉันไปล่ะ” รพีพงษ์หัวเราะพลางกล่าว
“จะเป็นไปได้ยังไง คุณคือผู้มีพระคุณกับผม แล้วก็ เหมือนกับเป็นผู้มีพระคุณของเขาเช่นกัน ในปีนั้นพวกเรา ทั้งคู่ต้องพึ่งพาคุณทั้งหมด ถึงจะมีชีวิตรอดมาได้ จิรายุษ ไปตั้งเนื้อตั้งตัวที่อำเภอหยก ก็อาศัยเครือข่ายของพวกเรา ที่คุณให้ไว้ เมื่อไม่นานมานี้จิรายุษไอ้เด็กนี่ยังโทรหาฉันอยู่ เลย บอกว่าคิดถึงคุณแล้ว ถ้าว่างๆก็อยากจะกินเหล้ากับ คุณ” เธียรวิชญ์หัวเราะพลางกล่าว
รพีพงษ์พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก แล้วบันทึกเบอร์ โทรศัพท์นั้นที่เขาให้มา ออกไปต่างถิ่น มีคนที่สนิทก็จะ สะดวกขึ้นมาจริงๆ
หลังจากที่ศศินัดดาช่วยอารียาเก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็ บอกอารียาว่าตนเองจะออกไปซื้อของ แล้วออกจากชุมชน ไป เดินไปทางธนาคาร
ระหว่างทางใบหน้าของศศินัดดาตื่นเต้น ถือบัตรสีดำนั้น ไว้ในมือลูบไล้อย่างไม่หยุด ในใจพลางคิดบัตรใบนี้ของรพี พงษ์ไม่ธรรมดาจริงๆ แค่ลูบก็ให้ความรู้สึกที่หรูมาก
“รพีพงษ์นี้ก็โคตรจะไม่มีสมองเลย รหัสผ่านของบัตร ธนาคารตั้งง่ายขนาดนั้น ครั้งนี้ฉันจะต้องเอาเงินในบัตรเขา ถอนออกมาให้หมด ดูสิว่าต่อไปเขาจะยังกล้ายโสโอหังกับ ฉันมไหม”ศศินัดดาพึมพำ
“รพีพงษ์ ไม่มีเงินเล็กน้อยนี่ แกก็ยังเป็นไอ้สวะเหมือนเดิม แกแต่งเข้าครอบครัวฉัน อยากไล่แล้วไม่ไป งั้นก็เตรียมตัว เตรียมใจขี้ข้าไปต่อได้เลย
ไม่นาน ศศินัดดาก็ถึงธนาคาร นั่งอยู่ข้างหน้าของช่อง บริการ เอาบัตรสีดำยื่นไปให้ แล้วกล่าว “ฉันอยากจะเช็ค ว่าในบัตรนี้ยังเหลือเงินอีกเท่าไหร่”
คนข้างในรับบัตรมาแล้วรูดดู ให้ศศินัดดาใส่รหัสผ่าน
ศศินัดดาใส่ศูนย์ไปหกตัว มองดูคนข้างในด้วยความคาด หวัง อยากรู้ว่าในบัตรนี้ของรพีพงษ์ยังมีเงินเหลืออยู่เท่า ไหร่
ในขณะนี้เอง ทันใดนั้นคอมพิวเตอร์ของคนข้างในนั้นก็มี เสียงเตือนดังขึ้นมา ตามด้วยตัวอักษรใหญ่ห้าตัวปรากฏ บนจอ
“ไม่มีอำนาจตรวจสอบ”
พนักงานธนาคารซะงักทันที เป็นครั้งแรกที่เธอเจอกับ เหตุการณ์แบบนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีบัตรธนาคารที่ไม่มี อำนาจตรวจสอบอยู่ด้วย
“ทำไงดี เงินในบัตรนี้ยังเหลืออยู่เท่าไหร่? ทำไมคุณถึง ประหลาดใจแบบนี้ คงจะไม่ใช่แม้แต่สักบาทก็ไม่เหลือแล้ว นะ?”ศศินัดดาถามอย่างสิ้นหวัง
“ขอโทษนะคะ บัตรใบนี้ของคุณธนาคารนี้ของพวกเรา ไม่มีอำนาจตรวจสอบค่ะ ไม่มีวิธีในการเช็คยอดคงเหลือใน บัตรค่ะ”พนักงานธนาคารกล่าว
ศศินัดดาเพ่งมองทันที แล้วกล่าว “ไม่มีอำนาจตรวจ สอบ? ธนาคารนี้ของพวกคุณยังไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบ? นี่มัน บัตรอะไรกัน คิดไม่ถึงว่ายังมีข้อจำกัดแบบนี้อยู่ด้วย?
“ฉันก็เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ค่ะ” พนักงานธนาคารกล่าว ตามที่เธอรับรู้ได้ ศศินัดดาก็ ไม่ค่อยเข้าใจบัตรสักเท่าไหร่ คล้ายๆกับบัตรนี้ไม่ใช่ของ เธออย่างไรอย่างนั้น
“งั้น ฉันอยากถามหน่อยค่ะ บัตรนี้เป็นของคุณหรือเปล่า คะ?” พนักงานธนาคารถาม
ใบหน้าศศินัดดาสะท้อนความเขินออกมา แล้วกล่าวทันที ว่า”ใช่….ใช่ของฉันสิ ไม่ใช่ของฉันแล้วจะเป็นของใคร” พนักงานธนาคารลังเลสักพัก แล้วกล่าว “งั้นคุณรอตรงนี้ สักครู่นะคะ ฉันไปเรียกผู้จัดการของฉัน ให้เขาดูสัก
หน่อย”
จากนั้นคนนั้นก็ลุกขึ้นไปเรียกผู้จัดการ
ศศินัดดาเปล่งเสียงออกมา “ไอ้บ้ารพีพงษ์นี่ ทำบัตรบ้า อะไร คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีวิธีเช็คได้ แล้วยังต้องไปหาผู้ จัดการอีกลำบากจริงๆ”
ไม่นาน คนนั้นก็พาผู้จัดการมา เธอเอาบัตรสีดำไป ให้ผู้ จัดการดู
ผู้จัดการรับไป หลังจากเห็นบัตรสีดำของธนาคารโลก ดวงตาก็โตขึ้นมา เกือบจะเปล่งเสียงตกใจออกมาแล้ว บัตรใบนี้เป็นบัตรที่เขาเห็นในเมืองริเวอร์เป็นครั้งแรกเป็นบัตรนั้นในมือของรพีพงษ์พอดี ไม่คาดคิดว่ายังมีอีกคน
ที่ถือบัตรสีดำแบบนี้มา
แต่หลังจากที่เขาได้ดูบัตรนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ก็พบว่า
บัตรใบนี้กับบัตรใบนั้นครั้งที่แล้วของรพีพงษ์เหือนกันทุก
อย่าง เขาจำได้อย่างแม่นยำ บัตรนั้นของรพีพงษ์ขอบทอง
ข้างมีรอยขูดขีด เหมือนกับบัตรนี้เลย
เขาเงยหน้ามองไปที่ศศินัดดา แล้วถาม “สวัสดีครับ รบกวนถามหน่อยครับบัตรนี้เป็นของคุณหรือไม่?
“เป็นของฉันสิ ไม่ใช่ของฉันแล้วจะเป็นของใคร รีบเอา บัตรมาให้ฉัน พวกคุณที่นี่เช็ไม่ได้ ฉันจะไปเช็คที่อื่น”ศศิ นัดดากล่าวอย่างเสียอารมณ์
ทั้งสองล้วนถามว่าบัตรนี้เป็นของเธอหรือไม่ ทำให้ในใจ ของเธอรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัย
ผู้จัดการสองซ้ายมองขวา หัวเราะพลางกล่าว “บัตรใบนี้ บัตรใบนี้ของคุณเป็นบัตรแขกพิเศษระดับสูงที่สุดของพวก เราที่นี่ ต้องการเช็ตยอดคงเหลือของบัตรใบนี้ ต้องไปที่ ห้องรับรองพิเศษ กรุณาตามผมมาครับ”
ศศินัดดาดูเขาอย่างสงสัย แล้วถาม “คุณพูดความจริง
หรอ?”
ผู้จัดการพยักหน้า ในขณะเดียวกันก็แน่ใจ แล้วว่าบัตรนี้ ไม่ใช่ของศศินัดดา
เขารับรู้ได้ว่าบัตรนี้ศศินัดดาขโมยมา
ศศินัดดาได้ยินผู้จัดการพูดว่าไปห้องรับรองพิเศษถึงจะเช็คยอดคงเหลือได้ ก็เดินตามผู้จัดการไปข้างใน ถึงใน ห้องที่ตกแต่งหรูหราแล้ว
มองเห็นการจัดแต่งภายในของห้องนี้แล้ว ใบหน้าของศศิ นัดดาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าธนาคาร จะมีห้องรับรองแขกพิเศษแบบนี้อยู่ด้วย เมื่อก่อนที่เธอมา ธนาคาร ก็ทำธุรกรรมที่ล็อบบี้ จะมีโอกาสที่ไหนเข้ามายัง สถานที่แบบนี้
ในขณะเดียวกันในใจของเธอก็เริ่มอิจฉารพีพงษ์ขึ้นมา แล้ว ไม่คาดคิดว่าบัตรธนาคารของรพีพงษ์จะหรูขนาดนี้ มาธนาคารยังสามารถใช้ห้องรับรองพิเศษดีขนาดนี้ได้อีก
“คุณรอที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะไปเรียกคนมาช่วยคุณทำ” ผู้จัดการกล่าว
ศศินัดดาพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก แล้วกล่าว “รีบๆไปสิ ฉันเป็นแขกพิเศษของพวกเธอนะ ชักช้ากับฉัน เดี๋ยวฉันจะ ร้องเรียนพวกแก”
ผู้จัดการยิ้มอย่างดูแคลน ในใจคิดไอ้ระยำขโมยของคน
อื่น ยังกล้าพูดว่าตัวเองคือแขกพิเศษอีก นี่จะเอาคนมาจับ
แกเอาไว้
จากนั้นผู้จัดการก็ออกไปจากห้องรับรองพิเศษ
ประมาณห้านาทีต่อมา ประตูของห้องรับรองพิเศษถูกคน เปิดออก ศศินัดดาพูดอย่างรำคาญว่า “ไม่ใช่ว่าให้พวกแก รีบๆหน่อยหรือไง ทำไมรอนานขนาดนี้ถึงจะมา”
จากนั้นศศินัดดาก็มึนงง เพราะคนที่เข้ามาในห้องรับรองพิเศษไม่ใช่พนักงานธนาคาร แต่เป็นผู้รักษาความ ปลอดภัยสิบคน ในมือถืออุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
“แก…พวกแกจะทำอะไร ฉันคือแขกพิเศษของที่นี่นะ
พวกแกมาที่นี่ทำไม?” ทันใดนั้นศศินัดดาก็ลนลานขึ้นมา
ผู้จัดการเดินเข้ามา หัวเราะต่อศศินัดดาอย่างดูแคลน แล้วกล่าว “บอกมาตามตรง บัตรใบนี้แกไปขโมยมาจาก ไหน!”
ศศินัดดาชักตาไปที่ผู้จัดการ พูดอย่างกระตุกกระตักว่า “นี่ ….นี่คือบัตรของฉันแกมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าฉันขโมยมา ฉันจะฟ้องหมิ่นประมาทแก!”
ผู้จัดการหัวเราะเหอะอย่างเยือกเย็น แล้วกล่าว “บัตรนี้ คือบัตรดำของธนาคารโลก ทั่วโลกมีแค่ร้อยใบเท่านั้น ถ้า บัตรนี้เป็นของแกจริงๆ แกจะไม่รู้ถึงข้อจำกัดหรือการใช้ ของมันเลยหรอ?”
“ในเมื่อแกไม่พูดความจริง งั้นก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจล่ะ กัน!” ผู้จัดการตะโกนออกมา “จับตัวเธอเอาไว้ ถ้าเธอไม่ ยอมรับ ก็จัดการเธอซะ”
ผู้รักษาความปลอดภัยทั้งสิบคนจับศศินัดดาเอาไว้ ศศิ นัดดาดิ้น พลางตะโกนออกมา “พวกแกปล่อยฉันนะ! ไอ้ พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง นี่เป็นบัตรของฉัน ฉันจะแจ้งตำรวจ จับพวกแก!”
“คนควรที่จะแจ้งตำรวจจับอะคือพวกเรา แกขโมยบัตร ของคนอื่น แล้วยังจะมั่นหน้าอีก ไม่เคารพกฎหมายจริงๆจัดการ!”
ผู้รักษาความปลอดภัยหลายคนลงมือกับศศินัดดาทันที ตบหน้าเธอคนแล้วคนเล่า หลังจากทำไปไม่นาน ใบหน้า ของศศินัดดาก็บวมเปล่งขึ้นมา
รพีพงษ์ออกจากบริษัทซันบับเบิ้ลกรุ๊ป เดินกลับบ้าน
ตอนที่เดินผ่านเรื่องเครื่องแต่งกาย รพีพงษ์เห็นชุดๆหนึ่ง สวยงามมาก ถ้าอารียาสวมใส่ล่ะก็ ต้องสวยงามมากแน่ๆ แล้วเขาก็เดินเข้าไปในร้านนั้น เตรียมที่จะซื้อชุดนั้น
เพิ่งจะเข้าในร้าน รพีพงษ์ก็เห็นธายุกรที่กำลังเป็นเพื่อนผู้ หญิงคนหนึ่งดูเสื้อผ้าอยู่
ใบหน้าของธายุกรเต็มไปด้วยความเบิกบาน ลักษณะชั่ง ไม่เหมือนกับจ่ายแปดสิบล้านเพื่อไถ่วัตถุโบราณกลับมา แต่อย่างใด
เขาก็เห็นรพีพงษ์ แล้วพาผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามา กล่าว
อย่างเหยียดหยามว่า “คิดไม่ถึงว่าแกก็กล้ามาร้านเสื้อผ้า
หรูขนาดนี้ แกซื้อเสื้อผ้าที่นี่ไหวหรอ?”
“ไม่เกี่ยวกับแก” รพีพงษ์ตอบ
รพีพงษ์หัวเราะเยาะเย้ย แล้วกล่าว “ฉันจะบอกอะไรให้ นะ ตอนนี้ฉันคือประธานของบริษัทตระกูลฉัตรมงคล เงินที่ บริษัทได้มา ก็ล้วนเข้าบัญชีของฉัน แต่แกกับอารียาพวก ไร้อาชีพ ไม่มีสิทธิ์อะไรมาเทียบกับฉันได้!”
รพีพงษ์หัวเราะธายุกร แล้วกล่าว “หวังว่าตำแหน่ง ประธานนี้ของแกจะนั่งได้นาน” จากนั้นเขาก็เดินไปที่ชุดที่เขาเล็งไว้ แล้วพูดกับพนักงาน
ว่า “ผมอยากได้ชุดนี้ ช่วยใส่กล่องให้ผมหน่อย” พนักงานรีบใส่กล่องให้รพีพงษ์ทันที ให้รพีพงษ์ไปชำระ
เงิน “แม่ง ชุดนั้นราคาสามหมื่นกว่า กูไม่เชื่อว่ามึงจะซื้อไหว ดู ว่าถึงจะจ่ายเงินยังไง” ธายุกรเดินตามรพีพงษ์ไปที่เคาท์ เตอร์ชำระเงิน
รพีพงษ์ยื่นมือออกมาลูบๆกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง พบ ว่าข้างในไม่มีอะไรเลย ถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะนึกออกว่าตอน เปลี่ยนชุดนั้นไม่ได้เอาบัตรมาด้วย