พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่492 ขอโทษเขาซะ
บทที่492 ขอโทษเขาซะ
ปรวิทย์ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ในใจของเขาก็เกิดความโมโหขึ้นมา เมื่อสักครู่เขาให้โอกาสที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกับรพีพงษ์แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะปฏิเสธโอกาสนี้ แถมทั้งยังเพิ่มโอกาสการปะทะกันอีกด้วย
เขาจ้องมองไปยังรพีพงษ์ครู่หนึ่ง หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า : “ นี้เด็กน้อย ดูอายุคุณแล้วนั้น อีกนานกว่าจะอายุสามสิบสินะ? ผมไม่รู้ว่าคุณเอาความมั่นใจจากไหนที่กล้าตัดสินความสามารถของพ่อผม? ”
“ ก็แค่ว่าตามเนื้อผ้าเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วพ่อของคุณก็มีชื่อเสียงและบารมีในด้านการประเมินวัตถุโบราณระดับโลก แต่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าตลอดชีวิตของเขานั้นไม่เคยมีความผิดพลาดเลยสักนิด อีกทั้งอายุก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความถูกด้วย ถ้าหากว่าพ่อของคุณอยู่ที่นี้ด้วยละก็ เขาไม่มีทางที่จะพูดแบบนี้กับผมแน่นอนครับ ” รพีพงษ์โต้ตอบ
ปรวิทย์หัวเราะออกมาเสียงดังทันใด กล่าวตอบว่า : “ นี้เด็กน้อย คุณไม่ได้พูดล้อเล่นใช่ไหม ในเมื่อคุณคิดว่าอาชีพในการประเมินวัตถุโบราณนั้น ไม่เกี่ยวกับอายุ ถ้าหากว่าขาดเวลาการสะสม แล้วจะมีประสบการณ์ได้ยังไง?ผมว่าคุณมาหาเรื่องใส่ตัวนะ ผมจะขอเตือนคุณหน่อยนะ ยกเลิกความคิดนี้ซะเถอะ เพราะนี้อาจจะไม่มีผลดีต่อตัวคุณ ”
“ คนนี้ต้องมาก่อกวนแน่ๆ อีกทั้งเขายังพูดอีกว่าในนี้มีของปลอมชิ้นที่สามอีก ของลอกเลียนแบบสองชิ้นเมื่อกี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะหาเจอ ตอนนี้กลับมาพูดว่ามีชิ้นที่สามอีก ถ้าหากว่านี้ไม่ใช่มาเพื่อก่อกวนแล้วจะมาเพื่ออะไรกัน ” ซึ่งในเวลานั้นก็มีคนตะโกนออกมาเสียงดัง
เมื่อทุกคนได้ยินแล้ว ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยตามๆ กัน รู้สึกว่าที่คนนั้นพูดออกมานั้นมีเหตุผล แม้แต่ของสองชิ้นนั้นรพีพงษ์ยังหาออกมาไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับมีหน้ามาพูดออกว่ายังมีของลอกเลียนแบบชิ้นที่สามอย่างกะทันหัน มาก่อกวนชัด ๆ
“ เจ้าเด็กน้อย ผมว่าคุณอย่ามาก่อกวนที่นี่จะดีกว่านะ ถ้าอย่างนั้นคุณก็อธิบายให้ผมฟังทีสิ ว่าทำไมคุณถึงหาของปลอมสองชิ้นแรกนั้นไม่พบ ตอนนี้กลับยืนกรานว่ามีชิ้นที่สาม ” มีอีกคนที่ถามรพีพงษ์ขึ้น
รพีพงษ์มองไปยังเขาคนนั้น แล้วตอบกลับ : “ ผมหามันเจอตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้นเอง ”
ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา ไม่ได้ซ่อนการดูถูกเสียดสีรพีพงษ์แม้แต่น้อย
“ เจ้าเด็กน้อย คุณรักษาหน้าตัวเองหน่อยไหม?เขาพูดของปลอมทั้งสองชิ้นออกมาแล้ว ตอนนี้คุณกลับมาพูดว่าคุณหาเจอแล้วแต่ไม่ได้พูด คุณคิดว่าจะมีคนเชื่อคุณอย่างนั้นเหรอ ?”
“ ชั่งน่าขำจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย คนที่หน้าด้านแบบนี้ คงไม่มีใครแล้วมั้ง ”
“ นี้เป็นคนที่เสแสร้งหน้าด้านที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย ในเมื่อคุณหามันพบแล้ว แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่พูดออกมาล่ะ?ตอนนี้รอจนคนอื่นเขาพูดออกมาแล้ว คุณถึงมาพูด ไม่มีคำจะพูดจริงๆ ”
……
ในที่แห่งนี้มีเพียงไกรเดชและอีกสองคนเท่านั้นที่รู้ว่ารพีพงษ์ไม่ได้พูดโกหก ซึ่งก่อนที่ปรวิทย์จะพูดชื่อของปลอมทั้งสองชิ้นออกมา รพีพงษ์ก็ได้พูดทั้งสองชิ้นก่อนแล้ว
อันที่จริงแล้วเขาก็หามันเจอแล้วแต่ไม่ได้พูดออกมาจริง ๆ เพียงแต่ว่าถ้านำเรื่องนี้มาพูดในสถานการณ์แบบนี้ละก็ มันก็ยากที่จะให้ทุกคนเชื่อ
ไกรเดชเดินไปด้านข้างของรพีพงษ์ แล้วกระซิบพูดกับเขาว่า : “ คุณรพีครับ เรื่องแบบนี้มันยากที่จะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ พวกเราอย่าได้สนใจเรื่องแบบนี้เลยนะครับ ถึงแม้ว่าจะมีของปลอมชิ้นที่สามก็จริง แต่ว่ามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราจริง ๆ ช่างมันเถอะครับ ”
รพีพงษ์หันหน้าไปมองไกรเดชสักพัก แล้วตอบกลับว่า : “ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ผมจะไม่ยุ่งเลยครับ แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับปรมัตถ์ ในเมื่อวันนี้เจอแล้ว ก็ต้องพูดออกมา ถึงแม้ปรมัตถ์จะรู้เอง ก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ”
เมื่อไกรเดชได้ฟังรพีพงษ์พูดแบบนั้นแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ทำได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความจำใจ
ผดุงสิทธิ์และมโนชาสองคนต่างก็มองไปยังรพีพงษ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ แม้ว่าจะรู้ระดับความสามารถในด้านการประเมินวัตถุโบราณของเขานั้นไม่ธรรมดา แต่ว่าเขานั้นก็ไม่ควรที่จะแสดงความสงสัยปรมัตถ์ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้นะ
ปรวิทย์ได้ยินผู้คนรอบ ๆ เสียดสีเยอะเย้ยถากถางรพีพงษ์แบบนี้ ใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา ทันทีหลังจากนั้นเขาก็อยากจะรู้ว่าของปลอมชิ้นที่สามที่รพีพงษ์พูดถึงนั้น คือชิ้นไหนกันแน่
ถ้าหากว่ารพีพงษ์นั้นมาก่อกวนจริง ๆ ละก็ งั้นเขาก็ไม่มีทางที่จะสามารถพูดชื่อของปลอมชิ้นที่สามออกมาได้แน่ ถึงแม้นว่าเขาจะพูดลวกๆ ออกมาชิ้นหนึ่ง ผู้คนก็จะจ้องมองที่เขา เห็นได้ชัดว่ารพีพงษ์นั้นพูดโกหก และยิ่งจะให้เขานั้นเสียหน้าขึ้นอีกด้วย
และยิ่งไปกว่านั้น วันนี้พ่อก็อยู่ในกำปั่นทองด้วย กำลังพักผ่อนอยู่ชั้นที่สอง ถ้าไม่ได้จริงๆ เขาก็จะไปตามปรมัตถ์ลงมา ดูสิว่าเด็กคนนี้จะทำยังไง
“ ทุกคนครับ ในเมื่อเด็กคนนี้ต้องการที่จะพูดถึงของปลอมชิ้นที่สามในของสะสมของพ่อผมให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาพูดออกมาเถอะครับ ว่าตกลงแล้วของชิ้นนั้นคือชิ้นไหนกันแน่ ว่ายังไงครับ? ” ปรวิทย์พูด
“ แม้ว่าจะให้เขาพูด เขาก็คงจะไม่สามารถอธิบายมันได้แน่ ๆ ” บุคคลหนึ่งที่พูดถากถางแล้วเดินจากไปทันที
ทุกคนต่างก็จ้องมองมายังรพีพงษ์ อยากจะรู้ว่ารพีพงษ์จะพูดว่าชิ้นไหนคือของปลอมชิ้นที่สามกันแน่
รพีพงษ์ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชี้นิ้วไปยัง โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบหนึ่งบนตู้จัดแสดงนิทรรศการ แล้วพูดว่า : “โถเครื่องเคลือบลายคราม บนตู้จัดแสดงนิทรรศการชั้นที่สอง ”
ทุกคนต่างก็จ้องไปยัง โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนั้น ทันใดนั้นก็มีคนโต้แย้งขึ้นว่า : “โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนั้นเป็นของราชสมัยราชวงศ์หยวนซึ่งขุดค้นพบที่ หมู่บ้านจิ่งเต๋อ ผมน่ะมีความรู้ที่ล้ำลึกมากโดยเฉพาะเครื่องลายคราม เมื่อกี้ก็ได้ดูอย่างละเอียดแล้ว มันไม่มีทางเป็นของปลอมแน่นอน ”
ปรวิทย์ก็หันไปมอง โถเครื่องเคลือบลายคราม หลังจากนั้นจึงพูดว่า : “ เจ้าเด็กน้อย ในเมื่อคุณคิดว่านี้เป็นของปลอม งั้นคุณลองพูดมาซิว่า คุณดูมันออกได้ยังไง ”
“เครื่องเคลือบลายครามเกิดในยุคราชวงศ์หยวน ซึ่งศิลปะในการเผาเครื่องปั้นในสมัยนั้นถือว่าชำนาญเลยทีเดียว ถึงสามารถทำ เครื่องเคลือบลายครามที่สวยงามแบบนี้ได้ แต่ว่าด้วยเหตุนี้ ศิลปะด้านฝีมือก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือระดับความสว่างของสี เครื่องเคลือบลายครามที่จัดแสดงอยู่บนตู้นั้น ระดับสีของมันสว่างกว่า เครื่องเคลือบลายครามในราชวงศ์หยวนเป็นหลายเท่า ถึงแม้ว่าข้อแตกต่างนี้จะละเอียดอ่อนนัก แต่มันก็ง่ายที่จะดูออกว่า เครื่องเคลือบลายครามที่จัดแสดงบนตู้นิทรรศการนั้น ถูกทำขึ้นในยุคราชวงศ์ชิง ”
“ ถึงแม้ว่าผู้ปั้นนั้นต้องการให้เหมือนกับของที่ขุดค้นพบในราชวงศ์หยวน ถ้าหากว่าใช้ประสบการณ์ และความสามารถพิเศษที่สั่งสมมาไม่น้อย เพื่อที่จำให้มันรู้สึกเหมือนในยุคราชวงศ์หยวน แต่ว่าศิลปะการสร้าง เครื่องเคลือบลายครามของยุคราชวงศ์ชิงนั้นห่างจากยุคราชวงศ์หยวนมาก ศิลปะต้องย่อมไม่มีทางถดถอยไปด้วยแน่ แต่ถึงแม้ว่าผู้ปั้นนั้นต้องการให้เหมือนกับในยุคราชวงศ์นั้น แต่ว่ามันก็มิอาจที่จะใช้ระดับสีที่เหมือนกับยุคราชวงศ์หยวนได้หรอก ”
“ ดังนั้นแล้ว เครื่องเคลือบลายครามชิ้นนี้เป็นของยุคราชวงศ์ชิงที่ลอกเลียนยุคราชวงศ์หยวน ที่ห่างกันสองร้อยกว่าปี แต่ถ้าหากว่าต้องการจะขายมันออกไปละก็ เกรงว่าจะกระทบกับชื่อเสียงของปรมัตถ์ไม่น้อย ”
รพีพงษ์มองทุกคนแล้วพูดออกมา
ทุกคนต่างก็ตกใจในสิ่งที่รพีพงษ์พูดออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าจะแยกแยะสิ่งของจากระดับสีของยุคสมัย เจ้าเด็กคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ
เห็นได้ชัดเจน ว่าถ้ากับคำพูดพวกนี้ ไม่มีใครเชื่อคำพูดของรพีพงษ์หลอก พวกเขาก็ยังคงคิดว่าความสามารถของปรมัตถ์นั้นก็ยังคงน่ายกย่องอย่างไร้ที่ติเช่นเคย
ปรวิทย์ก็ยังแสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่าไม่เชื่อในการตัดสินของรพีพงษ์ เขาจึงกลอกตาไปมา แล้วพูดว่า : “ ทุกคนครับ ทุกสิ่งที่เด็กคนนี้พูดมานั้น อาจจะเป็นความจริงก็ได้ แต่กลับไม่มีใครเชื่อ โชคดีที่ในวันนี้พ่อของผมก็ได้อยู่ที่นี่ด้วย เดี๋ยวผมจะไปเชิญท่านลงมา เพื่อให้ท่านได้ฟัง สิ่งที่เด็กคนนี้พูด ว่าสรุปแล้วถูกหรือไม่ ”
หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์ ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าปรมัตถ์จะอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าหากว่าปรมัตถ์ลงมาละก็ ก็จะสามารถที่จะเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของเด็กที่มาก่อกวนคนนี้ได้แน่นอนช
ผู้คนมากมายมองที่รพีพงษ์ด้วยสายตาที่มีความสุขในความโชคร้าย ในความคิดของพวกเขา เมื่อปรมัตถ์และรพีพงษ์เผชิญหน้ากัน รพีพงษ์คงไม่สามารถที่จะเสแสร้งได้อีกต่อไปแน่ๆ
ในขณะเดียวกันผดุงสิทธิ์และมโนชาทั้งสองคนไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี ซึ่งเดิมทีแล้วพวกเขาใฝ่ฝันที่จะพบเจอกับปรมัตถ์ แต่ว่าไม่คิดเลยว่าจะเจอกับปรมัตถ์ในสถานการณ์แบบนี้
ครั้งนี้พวกเขานับว่ามากับรพีพงษ์ด้วย ถ้าหากว่ารพีพงษ์ยั่วยุทำให้ปรมัตถ์โกรธขึ้นมา งั้นพวกเขาจะต้องถูกพ่วงไปด้วยแน่ ๆ หลังจากนี้ไม่ว่าจะอธิบายยังไง เกรงว่าปรมัตถ์คงจะมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อพวกเขาเป็นแน่ๆ
ในตอนนี้ผดุงสิทธิ์เกิดความรู้สึกเสียใจที่มาที่นี่กับรพีพงษ์เสียแล้ว
มโนชาในตอนนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาที่ใหญ่โตแบบเมื่อก่อน เนื่องจากว่าเธอยังเป็นนักเรียน ยังเป็นวัยรุ่น แต่ภายในกระดูกของเธอนั้นมีการเป็นปฏิปักษ์ของวัยรุ่นอยู่ ในขณะนี้รพีพงษ์ไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายแบบนี้ และยืนยันที่จะพูดแนวคิดของตัวเอง กลับทำให้เธอเริ่มเกิดความยกย่องต่อตัวรพีพงษ์ขึ้นมาแล้ว
แน่นอน ว่าเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะถ้าหากว่ารพีพงษ์ ทำให้ปรมัตถ์ที่เธอเคารพนั้นมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อตัวเธอแล้วละก็ เธอนั้นไม่มีทางที่จะอภัยให้กับรพีพงษ์แน่
ปรวิทย์ใช้โอกาสที่ทุกคนตื่นตระหนกตกใจนั้น ก็มาถึงหน้าประตูห้องที่ปรมัตถ์พักผ่อนอยู่
ในตอนนี้ปรมัตถ์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะในห้องพอดี อายุที่ใกล้จะเจ็ดสิบของเขาทำให้เส้นผมสีขาวเต็มไปหมด แต่ว่านี่ก็ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขามีความรู้สะสมจากประสบการณ์เป็นอย่างมากมาย
ใบหน้าที่ใส่แว่นตากรอบใหญ่ของเขา ในมือยังถือสมาร์ตโฟนไปด้วย และจ้องมองดูเนื้อหาบนหน้าจออย่างละเอียด
ด้านบนเป็นรายงานการตรวจสอบ เนื้อหารายงาน เกี่ยวกับการสำรวจคือการวิเคราะห์ถึงอายุของ โถเครื่องเคลือบลายคราม ในยุคราชวงศ์หยวนพอดี
ในตอนแรกที่เห็นแจกันลายดอกไม้นี้ ในดวงตาของปรมัตถ์ก็มั่นใจแล้วว่า โถเครื่องเคลือบลายคราม ที่ขุดพบในยุคราชวงศ์หยวนนั้น แต่ว่าช่วงเวลานั้นเขามักจะมองแจกันดอกไม้ และมักรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ค่อยถูกต้อง แต่ก็พูดไม่ออกมามันคืออะไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปหาเพื่อนคนหนึ่ง ให้เพื่อนช่วยทดสอบถึงอายุของแจกันลายดอกไม้ใบนี้หน่อย ว่าตกลงแล้วเป็นของยุคราชวงศ์หยวนหรือไม่
เพื่อนของเขาพึ่งส่งรายงานการตรวจสอบอายุมา เพราะฉะนั้นเขาเลยลุกขึ้นมาอ่านผลสรุปนิดหน่อย
ซึ่งข้อความที่เขียนอยู่บนรายงานที่ชัดเจนนั้นก็คือ แจกันลายดอกไม้ใบนี้มีอายุถึงสามร้อยยี่สิบห้าปี เมื่อคำนวณดูแล้ว ก็คือรัชสมัยรัชสมัยพระเจ้าคังซีของราชวงศ์ชิง
หลังจากที่ได้ผลสรุปแบบนี้ ปรมัตถ์ถึงกับเบิ่งตากว้าง คาดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมองพลาดไป เขาจึงรีบลุกขึ้น รีบเรียกปรวิทย์มา ให้เขาไปเก็บแจกันลายดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนตู้จัดแสดงนิทรรศการกลับมา
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ปรมัตถ์รีบลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นปรวิทย์อยู่ด้านนอกประตูพอดี จึงรีบพูดออกไปว่า : “ แกรีบไปเก็บ โถเครื่องเคลือบลายครามที่จัดแสดงอยู่ด้านล่างกลับมาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องตั้งจัดแสดงโชว์แล้ว”
ปรวิทย์ที่กำลังจะพูดออกไปว่าขณะนี้มีคนมาก่อกวน อีกทั้งยังพยายามพูดว่าแจกันลายดอกไม้ของยุคสมัยราชวงศ์หยวนนั้นคือของลอกเลียนแบบจากยุคสมัยราชวงศ์ชิง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยปรมัตถ์จะบอกให้ตนนั้นไปเก็บ โถเครื่องเคลือบลายคราม นั้นกลับขึ้นมา นี่จึงทำให้เขานิ่งไปชั่วคราว
ซึ่ง โถเครื่องเคลือบลายคราม ที่จัดแสดงนั้น มีเพียงใบเดียว
“พ่อครับ แจกันลายดอกไม้นั่นมันทำไมหรือครับ? แล้วทำไมถึงต้องเก็บขึ้นมากะทันหันด้วยละครับ ?” ปรวิทย์มองไปทางปรมัตถ์พร้อมกับถาม
ปรมัตถ์รู้สึกเขินอายนิดหน่อยมองไปยังปรวิทย์ แล้วพูดว่า : “ แจกันลายดอกไม้ใบนั้นพ่อมองผิดพลาดไป มันไม่ใช่ของยุคราชวงศ์หยวน แกรีบกลับไปเก็บมาโดยเร็ว อย่าให้ใครได้ซื้อมันไปเด็ดขาด นี่อาจจะทำให้ชื่อเสียของพ่อเสียหายไปได้ ”
ในใจของปรวิทย์รู้สึกตกใจ อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ แล้วถาม: “ ไม่…..ไม่ใช่ยุคราชวงศ์หยวนเหรอครับ? อย่าบอกนะว่ามันจะเป็นของยุคราชวงศ์ชิง?”
ท่านปรมัตถ์มองปรวิทย์ด้วยสายตาที่ตกใจ แล้วถามว่า : “ แกรู้ได้ยังไง ?”
ปรวิทย์กลืนน้ำลายลงคอ เขาก็คิดไม่ถึงเลย ว่ารพีพงษ์นั้นจะพูดถูกจริงๆ โถเครื่องเคลือบลายคราม นั้นไม่ใช่ของยุคราชวงศ์หยวนจริงๆ อีกทั้งปรมัตถ์ยังยอมรับอีกว่ามันเป็นของยุคราชวงศ์ชิง ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ผิดแน่
เดิมทีแล้วเขาไม่ได้จะมาหาเรื่อง อีกทั้งตนนั้นยังทำให้ทุกคนถากถางและหัวเราะเยาะรพีพงษ์อีก นี่มันเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงจริง ๆ
“ พ……พ่อครับ เหมือนผมจะทำผิดพลาดไปแล้วเรื่องหนึ่ง ” ปรวิทย์แสดงสีหน้าที่เสียใจแล้วพูดกับปรมัตถ์
“ เรื่องอะไรหรือ ” ปรมัตถ์ขมวดคิ้ว
“ด้านล่างนั้นมีคนที่ต้องการจะพูดว่า โถเครื่องเคลือบลายคราม นั้นมันเป็นของปลอม คือของยุคราชวงศ์ชิงที่เลียนแบบมาให้ได้ ผมคิดว่าเขาน่าจะมาก่อกวน จึงทำให้ทุกคนนั้นหัวเราะเยาะกับคำพูดของเขาไป อีกทั้งผมยังเชิญให้พ่อลงไป ประชันหน้ากับเขาอีกด้วย เพื่อให้เขานั้นรู้ว่าตัวเองพูดผิด ” ปรวิทย์เล่าความจริงออกมาอย่างซื่อสัตย์
สีหน้าของท่านปรมัตถ์เปลี่ยนไป หนึ่งไม่คิดว่าจะมีคนมองออกว่า โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนั้นเป็นของลอกเลียนแบบ และอีกอย่างหนึ่งคือปรวิทย์ยังทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะเขาอีก ใช้เพียงแค่สายตาก็สามารถที่จะมอง โถเครื่องเคลือบลายคราม ออกว่าเป็นของลอกเลียนแบบได้นั้น จะต้องไม่ธรรมดา
“ แกนี่มันน่าโมโหจริง รีบลงไปกับพ่อเดี๋ยวนี้ ไปขอโทษเขาซะ ไม่งั้นชื่อเสียงของพ่อ จะถูกแกทำให้เหม็นเสียหายเอาได้ !