พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่564 เกินที่เธอจะเอื้อมถึง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่564 เกินที่เธอจะเอื้อมถึง
บทที่564 เกินที่เธอจะเอื้อมถึง
บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียดขึ้นมาทันที ทุกคนเส้นประสาทตึงเขม็งกันขึ้น ทุกคนต่างรู้ดีว่า เถ้าแก่ของกรุ๊ปลานคอนคนนี้ อาจจะกำลังแผลงฤทธิ์ก็ได้
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเองก็คิดไม่ถึง ในกลุ่มคนที่มาสัมภาษณ์งานในบริษัทยังมีคนกล้าดูหมิ่นรพีพงษ์อยู่ด้วย คนประเภทนี้บริษัทคงไม่เอาไว้แน่ เดี๋ยวพอการสัมภาษณ์จบลง ก็ไล่เจ้าหมอนี่ออกไป
ชนุดมเงยหน้าขึ้นจ้องมองรพีพงษ์ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก ก็แทบอยากจะพุ่งเข้าไปอัดนิษฐา อย่างไรเสียที่เขาพูดจาแบบนั้นกับรพีพงษ์ ก็เป็นเพราะนิษฐาบอกเรื่องรพีพงษ์กับเขาทั้งสิ้น
สักพักชนุดมลุกขึ้นจากที่นั่ง เอ่ยขึ้นว่า“ขอ……ขอโทษครับ ผมไม่ควรพูดจาแบบนั้นเลย แต่เป็นเพราะผมได้ฟังมาจากเธอทั้งนั้น ก็เลยเข้าใจท่านผิด”
ชนุดมพูดพลางชี้นิ้วไปที่นิษฐา เพื่อที่จะลดความผิดพลาดของตัวเองลง ตอนนี้ก็ได้แต่ขายนิษฐาเท่านั้น
นิษฐาหน้าเซ่อเป็นไก่ตาแตก เธอคิดไม่ถึงว่าชนุดมจะขายเธอแบบนี้ จังหวะนี้เอง เธอเองก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย เสียดายที่เธอรู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับรพีพงษ์ คงไม่มีทางผสานเข้ากันได้แล้วล่ะ
รพีพงษ์จ้องมองนิษฐา จากนั้นจึงถามชนุดมต่อ“ฟังจากคนอื่นไม่กี่คำ ก็เลยมาดูหมิ่นคนอื่นแบบนี้ได้อย่างนั้นหรือ ว่าไงล่ะ นายอยากแก้ตัวหรือไง”
ชนุดมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะตอบรพีพงษ์อย่างไรดี
“บริษัทเราไม่ต้องการคนแบบนี้หรอกนะ เพราะงั้นวันนี้พอสัมภาษณ์เสร็จแล้ว นายไปได้แล้ว ครั้งนี้ฉันไม่ถือสานาย แต่ถ้าครั้งหน้าฉันได้ยินนายหมิ่นประมาทฉันอีกละก็ ฉันก็จะไม่มานั่งใจเย็นกับนายแบบนี้แน่”รพีพงษ์เอ่ยปาก
ชนุดมสีหน้าร้อนใจ วิงวอนรพีพงษ์ว่า“คุณรพีพงษ์ครับ ผมโดนคนอื่นหลอกจริงๆ ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาน่ะ ขอร้องล่ะ ฝึกงานครั้งนี้สำคัญสำหรับผมมากเลย ให้โอกาสผมเถอะนะ ผมจะแสดงฝีมืออย่างดี เพื่อชดเชยความผิด”
จู่ๆผู้จัดการฝ่ายบุคคลเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เปิดปากถามชนุดม“นายคือชนุดม สินะ”
ชนุดมพยักหน้า
“ฉันคิดออกแล้วแหละ วันมีคนเอ่ยถึงนายกับฉันว่า ว่าให้ฉันเปิดทางให้นายกับเพื่อนอีกสองคนหน่อย เดิมทีฉันก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่ามีอะไร แต่ถ้าพวกเธอเก่งจริงละก็ จะเปิดทางให้หน่อยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเธอจะเป็นคนแบบนี้ น่าโมโหจริง ตอนนี้ฉันแทบอยากจะไปเอาเรื่องเพื่อนฉันคนนั้นแล้วล่ะ แนะนำคนอะไรมาให้ฉันเนี่ย”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเปิดปากตัดพ้ออย่างโมโห
สีหน้าของชนุดมดูแย่ขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าเรื่องที่ควรจะดีใจในตอนแรก แต่กลับกลาย สภาพมาเป็นแบบนี้ในตอนนี้ได้
รพีพงษ์หันไปหาผู้จัดการฝ่ายบุคคลแล้วพูดขึ้น“ไปเรียกเพื่อนร่วมงานคนนั้นของเธอมาหน่อย”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลพยักหน้า แล้วรีบออกจากห้องประชุมไป เพื่อเรียกคน
ไม่นานนัก ผู้จัดการฝ่ายบุคคลจึงพาชายวัยกลางคนเข้ามาที่ห้องประชุม ชายวัยกลางคนๆนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเดินยิ้มร่าเข้ามา ถามรพีพงษ์ด้วยท่าทีแสดงความเคารพ“คุณรพีพงษ์ครับ ไม่ทราบว่าเรียกผมมา มีธุระอะไรครับ”
รพีพงษ์ชี้นิ้วไปที่ชนุดม แล้วถามขึ้น“เขาเป็นอะไรกับคุณ”
ชายวัยกลางคนมองชนุดม เกิดลางสังหรณ์ที่กล้าๆกลัวๆ แต่ก็ไม่กล้าปกปิด จึงพูดขึ้น“เขา……เขาเป็นหลานผมครับ”
รพีพงษ์แค่นเสียง แล้วพูดขึ้นว่า“งั้นคุณมีหลานชายที่ดีมากคนนึงเลยทีเดียวจริงๆ นิสัยแบบนี้ คุณยังจะกล้าหาช่องทางให้เขาเข้ามาทำงานในบริษัท คุณอยากจะให้บริษัทล่มจมเพราะคนแบบนี้หรือไง”
สีหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนฉับพลัน รีบถามขึ้น“คุณรพีพงษ์ครับ ไม่ทราบว่าหลานชายผมไปทำอะไรไว้หรือครับ ถึงทำให้คุณรพีพงษ์โกธรได้ขนาดนี้”
“คุณลองถามเจ้าตัวเขาดูเองก็แล้วกัน”รพีพงษ์เปิดปากพูด
ชายวัยกลางคนเดินไปหยุดลงตรงหน้าชนุดม จ้องเขม็งแล้วถาม“ไอ้เด็กเวร แกไปก่อเรื่องอะไรไว้ให้ฉัน รีบบอกมา!”
ชนุดมเล่าเรื่องที่ตัวเองดูหมิ่นรพีพงษ์ตอนอยู่บนรถอย่างอ้ำๆอึ้งๆ หลังจากที่ชายวัยกลางคนได้ฟัง จึงตบหน้าชนุดมอย่างโกธรจัด
“ไอ้ตัวซวย ไม่มีมันสมองหรือไง ขนาดเถ้าแก่แกยังไปกล้าดูหมิ่น แกคิดว่าตัวเองสูงเทียมฟ้าหรือไงวะ!”ชายวัยกลางคนคำราม
ชนุดมสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ว่าไม่กล้าต่อกร จึงก้มหน้ายอมรับผิด
รพีพงษ์จ้องมองชายวัยกลางคนแล้วพูดขึ้น“ในเมื่อคุณเป็นผู้ปกครองของเขา เขาถูกอบรมเลี้ยงดูมาจนนิสัยแบบนี้ จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับคุณก็ไม่ใช่ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณลงไปอยู่ที่ตำแหน่งเริ่มต้น ไปสำนึกผิดดู ว่าทำไมถึงต้องเปิดช่องทางให้คนแบบนี้”
ชายวัยกลางคนตัวแข็งทื่อ แต่เขาเองก็รู้แก่ใจว่าการเปิดช่องทางให้ญาติตัวเองแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องนัก อีกอย่างหลานชายเขาดูหมิ่นรพีพงษ์ขนาดนี้ รพีพงษ์ไม่ไล่เขาออกก็บุญโข แล้ว
“ครับ คุณรพีพงษ์ ”ชายวัยกลางคนเปิดปากพูด
“คุณพาเขาออกไปได้แล้ว”รพีพงษ์พูดต่อ
ชายวัยกลางคนไม่กล้าพูดอะไรต่อ หันหลังกลับแล้วดึงหูชนุดมออกไป“ไอ้เด็กเวร ครั้งนี้ มึงทำกูซวยหนัก ดูว่ากูจะจัดการมึงยังไง!”
ทั้งคู่เดินออกจากห้องประชุม ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงด่าทอลอดออกมาจากด้านนอก พร้อมกับเสียงวิงวอนของชนุดม ห้องประชุมเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเล็ดลอดมาแม้แต่น้อย สีหน้านิษฐายิ่งตึงเครียด รพีพงษ์โต้ตอบชนุดมแบบนี้ แล้วจะปล่อยเธอไปได้อย่างไรเล่า ไม่แน่ว่าบทลงโทษของเธอ อาจจะหนักกว่ารพีพงษ์ก็เป็นได้
เธอเตรียมตัวเตรียมใจขายหน้าเอาไว้แล้วล่ะ เธอรู้ตัวดีว่าปากเธอพาซวย อยากจะหนีก็คงหนีไม่พ้น แต่สิ่งที่ทำให้นิษฐาคิดไม่ถึงก็คือ รพีพงษ์ได้เพียงมองนิษฐาอย่างเย็นชาทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า“เธอเองก็ไปเถอะ บริษัทเราไม่ต้องการคนอย่างเธอ”
คำพูดง่ายๆสั้นๆ หากแต่ทำให้นิษฐาเซ่อไปเลย เดิมทีเธอคิดว่ารพีพงษ์คงจะใช้โอกาสนี้ แก้เผ็ดเธออย่างสาสม
“หนู……หนูไปได้แล้วหรือคะ ”นิษฐายังคงรู้สึกแข็งขืน เธอเอ่ยปากถามขึ้น
“หรือเธอคิดว่าจะให้ฉันส่งเธอกลับหรือไงล่ะ”รพีพงษ์พูดเย็นชา
นิษฐามองสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็งของรพีพงษ์ จู่ๆก็เข้าใจขึ้นมาว่า รพีพงษ์ไม่ได้เห็นเธอ อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกไปเองว่ารพีพงษ์คงจะแก้แค้นเธอด้วยท่าทีของเธอ ก่อนหน้า เพราะว่าความบาดหมางระหว่างเธอกับรพีพงษ์นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
สำหรับในใจของรพีพงษ์นั้น เขาไม่เคยเห็นว่าเธอควรค่าแก่การใส่ใจตรงไหน
ความรู้สึกแบบนี้ อดทำให้นิษฐารู้สึกอ่อนใจไม่ได้ มันยิ่งรู้สึกแย่กว่าการที่แก้แค้นเธอเสียอีก
ที่แท้ตั้งแต่ต้น รพีพงษ์ไม่ได้เห็นเธออยู่ในสายตา เธอคิดเองเออเองทั้งสิ้น
พอคิดเข้าใจในปัญหานี้แล้ว นิษฐาจึงนั่งตัวตรงขึ้น ก้มหน้าก้มตาเดินออกจากห้องประ ชุมไป เธอรู้ดี เธอคงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้มาเหยียบที่นี่อีกแล้ว
เดิมทีเยาวเรศนึกว่าเธอเองก็คงจะโดนหางเล่จากนิษฐาไปด้วย แล้วจะโดนรพีพงษ์ขับไล่ออกไป สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากที่รพีพงษ์ให้นิษฐาออกไปแล้ว ตัวเขาเองก็ เดินออกจากห้องประชุม แล้วมอบให้วิไลพรกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลจัดการต่อ
เธอเองก็ไม่ใช่คนโง่ เข้าใจว่ารพีพงษ์ไม่ได้ไล่เธอตรงๆ เพราะว่าท่าทีของเธอที่มีต่อรพีพงษ์นั้นไม่ได้แย่อะไรก็แค่นั้นเอง
รพีพงษ์ไม่ได้ชายตามองเธอตั้งแต่ต้นเลยด้วยซ้ำ ทำให้เยาวเรศรู้สึกจิตตกเป็นอย่างมากในเมื่อไม่มีความเข้าใจผิดต่อรพีพงษ์ เธอเองก็รู้สึกดีกับรพีพงษ์ไม่น้อย
แล้วตอนนี้เธอก็ได้รู้แล้วว่าช่องว่างระหว่างเธอกับรพีพงษ์นั้น ผู้ชายคนนี้เกินที่เธอจะเอื้อมถึง