พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่589 กรรมชั่วที่ตนก่อ ไม่มีทางรอดได้
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่589 กรรมชั่วที่ตนก่อ ไม่มีทางรอดได้
บทที่589 กรรมชั่วที่ตนก่อ ไม่มีทางรอดได้
เมื่อศศินัดดาได้ยินคำพูดของฆนีกร ดวงตาทั้งสองข้างเกินหลุดออกมาจากเบ้าตา มองที่เขาอย่างไม่เชื่อ แล้วพูดว่า: “กน คุณ….คุณพูดอะไรนะ? คุณบอกว่าฉันหลอกง่ายเหรอ?”
ฆนีกรก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับศศินัดดา ในใจของเขารู้ดี ถ้าในเวลานี้เขายังกล้าพูดโกหกอีก ธฤตญาณคงจะให้คนสับเขาให้เละเป็นเนื้อบดละเอียดจริงๆ
“กน คุณพูดสิ คุณหมายความว่ายังไง? ทำไมคุณต้องพูดแบบนี้ ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าชื่นชอบเสน่ห์ของฉันไม่ใช่เหรอ ถึงได้มาหาฉัน? ทำไมตอนนี้ถึงบอกว่ามาหลอกลวงฉัน?”สีหน้าศศินัดดาเต็มไปด้วยความกังวล ต้องการให้ฆนีกรให้คำตอบกับเธอ
ฆนีกรมองไปที่ศศินัดดาด้วยความรังเกียจ และกล่าวว่า: “ฉันหลอกเธอทั้งหมด คาดไม่ถึงว่าเธอจะเชื่อจริงๆ เธอก็แค่คนที่อายุเกือบจะห้าสิบปี ผู้หญิงแก่ที่ผ่านมาเกือบครึ่งร้อยปี มีเสน่ห์ตรงไหน ถ้าไม่ใช่ว่าในมือของเธอมีเงิน เธอคิดว่าฉันจะสนใจเธอเหรอ?”
ศศินัดดารู้สึกว่าคำพูดของฆนีกรราวกับมีดที่ทิ่มแทงหัวใจของเธออย่างรุนแรง โกรธขึ้นในทันที
เธอจับแขนของฆนีกรด้วยมือทั้งสองข้าง พูดอย่างตกใจว่า: “ฆนีกร พูดกับฉันให้ชัดเจน ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน! คุณถูกรพีพงษ์ข่มขู่ใช่มั้ย ดังนั้นถึงได้ตั้งใจพูดแบบนี้กับฉันเหรอ? เป็นเพราะกลัวรพีพงษ์แน่ๆเลยไม่กล้าพูดความจริงใช่มั้ย?”
ฆนีกรยื่นมือออกไปเพื่อผลักมือของศศินัดดาออก แล้วพูดว่า: “ฉันก็เป็นเพราะกลัวเขา ดังนั้นถึงได้พูดความจริง หรือว่าเธอจะไม่มีสมองจริงๆ ฉันพูดแค่ไม่กี่ประโยค เธอก็เชื่อแล้วเหรอ?”
ศศินัดดารู้สึกว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรง นั่งลงบนพื้น บนใบหน้าก็แสดงความหมดอาลัยตายอยากออกมา
รพีพงษ์จ้องมองไปที่ฆนีกร พูดอย่างเย็นชา: “โรงแรมบลูสกายอินเตอร์เนชันเนลขายได้เท่าไหร่?”
ฆนีกรมองไปที่รพีพงษ์ ด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้แม้แต่คำเดียวก็ไม่กล้าพูด เกิดความกลัวเพราะตัวเองประหม่า ไตรทศที่อยู่ด้านข้างก็พุ่งไปจะฟันเขา
“ขาย…..ขายได้ทั้งหมดสามสิบห้าล้าน”
“เงินทั้งหมดนั้นแกเอาไปหมดเลยเหรอ?”รพีพงษ์ถามต่อ
ทันใดนั้นเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของฆนีกรก็ปรากฏขึ้น และพูดอย่างร้อนตัว: “ยัง…..ยังเหลือหนึ่งล้านไว้ให้เธอ”
ไตรทศที่ฟังอยู่ด้านข้าง โกรธจนวางมีดลงไปที่คอฆนีกร แล้วด่าว่า: “เย็*แม่ง โรงแรมนั้นเป็นของแกเหรอ? แกแม่งเอาเงินไปทั้งหมด แกไปเอาความกล้ามาจากไหน!”
ฆนีกรหวาดกลัวจนร้องไห้ออกมา
“ฉันผิดแล้ว ฉันผิดแล้ว ฉันไม่กล้าอีกแล้ว”
เมื่อศศินัดดาเห็นสิ่งนี้ รีบเอามีดที่ไตรทศวางไว้ที่คอฆนีกรออก แล้วพูดว่า: “แกทำอะไร! เงินทั้งหมดนั้นเป็นของฉันและฉันเต็มใจให้เขา ฉันต้องการช่วยเหลือธุรกิจของเขา รอธุรกิจของเขามีกำไร คืนให้ฉันแล้วอยู่ คงจะไม่ใช่แค่นี้!”
เมื่อรพีพงษ์เห็นศศินัดดาในเวลานี้ยังหลงงมงายอยู่ จึงจ้องไปที่ฆนีกรแล้วพูดว่า: “แกบอกกับหล่อนซิ สามสิบห้าล้านกว่าของแก เอาไปใช้ทำอะไร พูดให้ชัดเจน พูดผิดหนึ่งคำ มีดในมือของเขาฉันคงห้ามไว้ไม่ได้”
ฆนีกรพยักหน้า แล้วพูดว่า: “เงิน….เงินพวกนี้ ฉันเอามาใช้เล่นพนัน อยู่ในกาสิโนนี้ ก็แพ้ไปเกือบสิบล้าน ยังมีอีกสิบล้าน ฉันเอาไปเก็งกำไรหุ้น ปรากฏ….ปรากฏว่าสูญเสียไปหมด ยังเหลือที่ฉันอีกห้าล้าน”
เมื่อศศินัดดาได้ยินคำพูดของฆนีกร ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียว ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องมองไปที่ฆนีกรนิ่งๆ ใช้น้ำเสียงที่ขึ้นๆลงๆตะโกนว่า: “ฆนีกร ไหนคุณบอกว่าเอาเงินพวกนี้มาใช่ทำธุรกิจไม่ใช่เหรอ คุณบอกว่ามีธุรกิจที่กำไรคงที่โดยไม่ขาดทุนไม่ใช่เหรอ? ทำไม ทำไมตอนนี้คุณถึงพูดเช่นนี้!”
ฆนีกรไม่กล้าสบตาศศินัดดาเลย พูดอย่างกลัวตัวสั่นงันงกว่า: “ก่อนหน้านี้ฉันรู้จักกับคนคนหนึ่งจริงๆ เขาบอกว่าเขาจะพาฉันไปเก็งกำไรหุ้น สามารถทำให้ฉันทำเงินได้มาก ฉันคิดว่าสิ่งที่เขาพูดมีความน่าสนใจ ก็เชื่อเขา จ่ายค่าเล่าเรียนให้เขาห้าล้าน แล้วเอาอีกห้าล้านไปเก็งกำไรหุ้น”
“แต่ใครจะไปรู้ว่าคนคนนี้เป็นสิบแปดมงกุฎ หุ้นเหล่านั้นที่เขาให้ฉันซื้อ ภายในไม่กี่วันก็ลดลง ส่วนตัวเขาก็หายไป ฉันหาก็หาไม่เจอ”
“ฉันต้องการหาเงินทั้งหมดนี้กลับคืนมา คิดไปคิดมา มีวิธีเดียว ก็คือการเสี่ยงโชค ใครจะไปรู้….การเสี่ยงโชคของฉันมันแย่มาก ภายในเวลาไม่กี่วัน ก็สูญเสียไปทั้งหมด….”
ทันทีที่ฆนีกรพูดจบ ไตรทศก็เตะไปที่หน้าของเขา และด่าว่าเขาเป็นคนโง่
ในเวลานี้ศศินัดดาก็สิ้นหวัง ในขณะเดียวกัน เธอถึงเพิ่งรู้ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบฆนีกรเป็นสิบแปดมงกุฎ และเธอก็ยังเชื่อเขามาก
“ทั้งหมดนี้ก็ยี่สิบห้าล้าน เหลืออีกสิบล้านล่ะ?”
ฆนีกรลูบหน้าตัวเอง แล้วพูดว่า: “อีก….อีกสิบล้าน ใช้มาซื้อคฤหาสน์”
รพีพงษ์มองเขา แล้วถามว่า: “แกหลอกเธอได้อย่างไร ให้หล่อนเขียนชื่อของแกลงโฉนดคฤหาสน์เพียงคนเดียวเท่านั้น?”
“ตอน….ตอนนั้นฉันบอกกับหล่อนว่าเขียนชื่อสองคนต้องเป็นสามีภรรยากันเท่านั้น หล่อนกับสามมีของหล่อนยังไม่ได้หย่ากัน ถ้าหากเขียนชื่อของหล่อน ก็จะเป็นสินสมรสของหล่อนกับสามีหล่อน เขียนของฉัน สามีของหล่อนก็ไม่มีสิทธิ์ เธอก็ยินยอมแล้ว”น้ำเสียงของฆนีกรกลายเป็นเล็กลงเท่ายุง
แม้แต่คนที่สงบนิ่งพอๆกับรพีพงษ์ หลังจากฟังคำบรรยายของฆนีกรจบลง ก็เกิดความรู้สึกโกรธที่อธิบายไม่ได้
ระดับความน่าเกลียดชังของศศินัดดา ถึงจุดความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ เธอยินยอมมอบคฤหาสน์หนึ่งหลังให้กับฆนีกรฟรีๆ แต่ไม่เต็มใจให้เงินกับศักดาแม้แต่บาทเดียว ทำถึงขนาดนี้แล้ว แม้แต่รพีพงษ์ก็แทบจะพูดไม่ออก
“พี่รพี ไอ้โง่นี่ผลาญเงินครอบครัวของพวกพี่มากมายขนาดนี้ พี่จะจัดการเขายังไง ถ้าอยากจะฟันเขา ฉันจะลงมือเดี๋ยวนี้”ไตรทศพูดด้วยความโกรธ
“ฆ่าเขา เสียเปรียบให้เขามากไป หักแขนหักขา โยนไปเป็นขอทานที่ถนน”รพีพงษ์พูดอย่างเยือกเย็น
ไตรทศพยักหน้า จากนั้นลากฆนีกรออกไปที่ซอยด้านหลังกาสิโนพร้อมกับคนหลายคน
ฆนีกรคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ปล่อยฉันเถอะ! คุณปู่ทุกท่าน พ่อแท้ๆของฉัน พวกคุณปล่อยฉันเถอะ จากนี้ไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว!”
ไม่มีใครตอบสนองเขาแม้แต่คนเดียว แม้แต่ศศินัดดา ก็ปล่อยวางให้กับคำวิงวอนของฆนีกร ในเวลานี้ในใจของเธอมีความเงียบ เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรในช่วงเวลานี้
หลังจากฆนีกรถูกนำตัวออกไป รพีพงษ์ก็ลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าศศินัดดา แล้วถามว่า: “ตอนนี้คุณรู้หรือยังว่าตัวเองโง่มากแค่ไหน?”
ศศินัดดาดึงสติกลับคืนมา ก็คุกเข่าตรงหน้ารพีพงษ์ทันที วิงวอนขอร้องว่า: “รพีพงษ์ นี่มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันลุ่มหลงเอง ถึงถูกสิบแปดมงกุฎแบบนี้หลอกได้ ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ขอร้องนายช่วยฉันด้วย ให้ฉันตามนายไปเจออารี ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับตัวกลับใจ จากนี้ไปจะไม่เป็นแบบนี้อีก”
รพีพงษ์หัวเราะเยาะ หันและเดินไปที่ด้านนอกของกาสิโน และพูดอย่างเงียบๆ
“กรรมชั่วตัวเอง ไม่ทางรอดได้”
“จากนี้ไปคุณก็เกิดเองตายเอง อารี และคนในครอบครัวของพวกเรา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณอีก!”