พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่622 แกตายแล้วเป็นไง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่622 แกตายแล้วเป็นไง
บทที่622 แกตายแล้วเป็นไง
อนันยชยิ้มอย่างเย็นชาให้กับรพีพงษ์ มุมปากเผยยิ้มอย่างร้ายกาจออกมา พูดขึ้น“แกรนหาที่เอง อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจเลย!”
พูดจบ อนันยชก็ปล่อยอีกหมัดทุบลงบนอกของรพีพงษ์ พละกำลังอันมหาศาลระเบิดออก รพีพงษ์กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือด
“เอ๋”อนันยชมองรพีพงษ์อย่างประหลาดใจ เขาอุทานออกมาอย่างแตกตื่น
“คนปกติรับหมัดนี้แล้ว กระดูกคงแหลกไปนานแล้ว แต่แกรับหมัดนี้ฉันติดกันถึงสองครั้งกระดูกแกกลับไม่เป็นอะไรเลย ดูท่าร่างกายของแก ค่อนข้างจะไม่ธรรมดานะ”อนันยชพูดพึมพำ
รพีพงษ์มองตาลอยไปที่อนันยช โดยที่ไม่ได้สนใจว่าเขากำลังพูดอะไร ตอนนี้เขาหน้ามืดตาลายไปหมด สติก็เริ่มที่จะเลือนราง
“ร่างกายของแก ถ้าอาจารย์เห็นแล้วล่ะก็ แค่แนะนำอีกนิดหน่อย ใช้เวลาอีกไม่กี่ปี เกรงว่าแผ่นดินนี้คงจะเกิดปรมาจารย์ขึ้นมาอีกคน สมรรถภาพอย่างนี้ ขนาดฉันยังต้องอิจฉา”
“เสียดาย แกคงมีชีวิตไม่เกินวันนี้หรอก สมรรถภาพดีแค่ไหน ก็คงทิ้งไว้เพียงเงา”
พูดจบ อนันยชจึงยกมือขึ้นอีก เตรียมจะทุบรพีพงษ์ให้แขนหัก ให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานเสียบ้าง
ในเวลานี้เอง มีเงาๆหนึ่งพุ่งปราดออกมาทางด้านหลังของอนันยช ในมือถือมีดสั้น พุ่งเข้า ไปแทงที่เอวของอนันยช
อนันยชหรี่ตาลง ย้ายมือไปอีกทิศทางหนึ่ง แล้วใช้มือตวัดลงบนใบหน้าของเงาที่พุ่งเข้ามา เงานั้นตบจนกระดอนออกไปเจ็ดแปดเมตร
คนของตระกูลนิธิวรสกุลที่ยืนสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวอยู่ด้านข้าง ได้พูดขึ้น“คุณชาย รอบๆตัวเราเหมือนมีเงาเจ็ดเงาตีวงล้อมเข้ามา ไม่รู้มาจากไหน”
อนันยชใช้มือข้างหนึ่งหิ้วคอเสื้อของรพีพงษ์ขึ้น แล้วพุ่งตัวเข้าไปหมายจะจัดการ เขาพูดเสียงเย็นชาว่า“ก็แค่พวกกาฝากกลุ่มหนึ่ง ในเมื่อแห่กันมารนหาที่ตาย ฉันก็จะออกกำลังกายสงเคราะห์พวกมันหน่อย”
พูดพลางเขาก็โยนรพีพงษ์ลงบนพื้น เตรียมที่จะจัดการพวกที่พุ่งเข้ามาพวกนี้ก่อนแล้ว ค่อยจัดการรพีพงษ์ตามหลัง
ในชั่วพริบตา เงากี่สิบร่างก็เข้ามาตีวงล้อมอนันยชเอาไว้ ส่วนคนบ้านนิธิวรสกุลก็โดนคนสองสามคนล้อมไว้เช่นกัน
อนันยชรับมือกับการจู่โจมแบบกะทันหันอย่างง่ายดาย แทบจะใช้กระบวนท่าละคน ในเวลาไม่นานนัก คนเหล่านั้นก็กองกันลงไปอยู่บนพื้น
ในเวลานี้เอง เสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้น มีเงาอรชรเงาหนึ่งขี่คร่อมอยู่บนรถเป็นฝนสุดานั่นเอง
เงาที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันร่างนี้ เป็นเพราะเธอมาที่เกาะพระจันทร์ เธอแอบตามยอดฝีมือของตระกูลก้องวณิชกุลมา ตอนนั้นฝนสุดาอยากทำตามคำขอของรพีพงษ์ ว่าไปหาตัวอารียาแล้วพาอารียาหนีไป แต่เธออดห่วงรพีพงษ์ไม่ได้ จากใจส่วนตัวของเธอ ฝนสุดาจึงสั่งให้คนในตระกูลคนหนึ่งของเธอออกตามหาอารียา ส่วนเธอเองอยู่เฝ้าก่อน แล้วรวบ รวมกำลังคนในตระกูลของเธอมาด้วย
แม้ว่ารพีพงษ์อาจจะตำหนิเธอที่ทำแบบนี้ แต่เธอทนเห็นรพีพงษ์ตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ เมื่อเทียบกับที่จะต้องโดนรพีพงษ์ตำหนิแล้ว เธอไม่อยากจะเห็นรพีพงษ์เป็นอันตรายมากกว่า
เมื่อเห็นเงาประมาณสิบกว่าเงาล้อมรอบอนันตยชอยู่ อีกทั้งยอดฝีมือที่นอนกองอยู่บนพื้น ฝนสุดารู้สึกตกใจ คนที่บ้านส่งมาให้เธอนั้น ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ แต่คนพวกนี้เมื่อมาปะทะกับอนันยช กลับกลายเป็นเหมือนเศษกระดาษที่ปลิวว่อนอยู่แบบนั้น หนึ่งหมัดหนึ่งกระบวนท่าก็กองลงไปบนพื้นแล้ว คนของตะกูลนิธิวรสกุล มีศักยภาพสักเท่าไหร่กันหนอในเวลาอันรวดเร็ว ฝนสุดาก็มองหารพีพงษ์ที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นเจอ เธอขมวดคิ้ว รีบขี่มอเตอร์ไซต์เข้าไป
ในใจเธอรู้สึกดีใจ ที่ตัวเองไม่ได้จากไปในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นวันนี้รพีพงษ์คงจะประสบเคราะห์ร้าย
มอเตอร์ไซต์ขี่มาจอดตรงหน้ารพีพงษ์ ฝนสุดารีบโผเข้าไปช้อนรพีพงษ์ขึ้น แล้วให้เขานั่งข้างหลังตนเอง จากนั้นจึงรีบขับออกจากตรงนี้
“เธอ……เธอกลับมาได้ไง”รพีพงษ์รวบรวมสติเฮือกสุดท้าย ถามฝนสุดาขึ้นมา
“ตาเซ่อเอ๊ย ถ้าฉันไม่มา วันนี้นายคงตายอยู่ที่นี่แล้วล่ะ ถ้านายตายไป ฉันจะทำยังไง”ฝนสุดาดูเป็นทุกข์เป็นร้อน ในแววตามีน้ำตารื้นอยู่
รพีพงษ์รู้สึกแน่นหน้าอกในตอนนี้ จะพูดได้ว่าทรมานถึงขั้นสุดก็ได้ แต่พอได้ยินคำพูดของฝนสุดา ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
คำพูดของสาวน้อยคนนี้ อารียาน่าจะเป็นคนพูดมากกว่า แต่ทำไมเวลาที่คำพูดนี้ออกจากปากของเธอ มันช่างฟังดูเป็นธรรมชาติเสียเหลือเกิน ราวกับว่าพวกเขาทั้งคู่เคยอยู่ร่วมกันมานานแสนนาน
ฝนสุดาไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรกับรพีพงษ์อีกต่อไป เธอรีบบึ่งมอเตอร์ไซต์ออกจากตรงนี้ ในเวลานี้อนันยชเองก็เห็นสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว พอเขาเห็นว่าฝนสุดามาช่วยรพีพงษ์ออกไป จึงแค่นเสียงขึ้น หายตัวว๊าบเดียว จึงพุ่งเขามาในทิศทางนี้
อนันยชพุ่งไปด้วยความเร็วสูง ฝนสุดาบิดคันเร่งมอเตอร์ไซต์ แต่อนันยชก็ได้พุ่งมาขวางหน้าพวกเขาไว้เรียบร้อยแล้ว
“วันนี้เดิมทีคิดจะฆ่าเขาแค่คนเดียว แต่ถ้าเธอเข้ามาจุ้นจ้านนักล่ะก็ ฉันก็จะจัดการเธอไปด้วยพร้อมๆกัน”อนันยชแค่นเสียง
“แกรีบหลบไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะพุ่งชน ชีวิตแกก็หาไม่”ฝนสุดาขมวดคิ้วพูด
อนันยชหัวเราะขึ้น มองไปยังมอเตอร์ไซต์ของฝนสุดา พูดขึ้น“กับรถกระป๋องนี่นะ ลองชนเข้ามาดู”
ฝนสุดาร้อนใจ เจ้านี้ซัดคนที่ประสบความสำเร็จทะลุฟ้าอย่างรพีพงษ์ซะปางตาย ต้องหมายความว่าศักยภาพเขาต้องสูงมาก ในฐานะคุณหนูของตระกูลก้องวณิชกุล ฝนสุดารู้ดีว่าในโลกนี้ยังคนมีคนที่ศักยภาพสูงในระดับที่ไม่มีใครสามารถกำจัดได้ อนันยชที่อยู่ตรงหน้านี้ น่าจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น
เธอลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกัดฟันเหยียบคันเร่ง เสียงมอเตอร์ดังกระหึ่มขึ้นมา จากนั้นมอเตอร์ไซต์จึงเบนหัว ขับออกไปในอีกทิศทางหนึ่ง
เห็นฝนสุดาหนีไป อนันยชจึงเบ้ปาก แล้วรีบตามไป
“คนๆนี้ทำไมโรคจิตอย่างนี้นะ ฉันขี่มอเตอร์ไซต์เขายังตามมาได้อีก”ฝนสุดาหันไปมองข้างหลัง เส้นคิ้วอันเรียวงามขมวดขึ้น
มองไปข้างหน้าไม่มีถนนหนทางแล้ว ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นทางคดเคี้ยวขึ้นภูเขา ฝนสุดารู้สึกหมดหวัง
เวลานี้อนันยชเร่งความเร็วของตนเอง จากนั้นเขาก็ดีดตัวขึ้น กระโดดถีบรพีพงษ์จากด้านหลัง
ฝนสุดาเห็นสถานการณ์จึงรีบตีโค้ง คิดที่จะหลบหนี
อนันยชกระโดดถีบท้ายรถมอเตอร์ไซต์ พลังอันมหาศาลของเขาทำให้มอเตอร์ไซต์เสียหลักแล้วไถลไปด้านข้าง
ฝนสุดาร้องเสียงหลงขึ้น เพราะการถีบของอนันยชเมื่อครู่ ทำให้มอเตอร์ไซต์พุ่งเขาไปในทางหุบเหว
จะช้าจะเร็ว ทุกขั้นตอนอยู่ในช่วงวินาทีสองวินาทีนั้น ในตอนที่ฝนสุดาดึงสติกลับมา รถมอเตอร์ไซต์ก็ได้เสียหลักไปในทางหน้าผาแล้ว แล้วพุ่งถลาลงทะเลใหญ่ไป