พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่640 ผมคือเจ้าของที่นี่
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่640 ผมคือเจ้าของที่นี่
บทที่640 ผมคือเจ้าของที่นี่
หลังจากที่ช่วยดาณิมาซื้อชุดแล้วนั้น รพีพงษ์และฝนสุดาทั้งสองได้พาเธอไปซื้อกางเกงใหม่และรองเท้าใหม่ แล้วเลือกทั้งชุด ให้ดาณิมาเปลี่ยน แล้วเอาชุดเก่าทิ้งไป
ฝนสุดาฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันที จึงได้ไปซื้อเครื่องสำอางที่จุดเครื่องสำอาง แต่งหน้าให้ดาณิมาจนสวย บวกกับเพิ่งซื้อชุดใหม่ ดาณิมาเปลี่ยนทั้งตัว จนกลายเป็นสาวสวย
มองไปที่กระจกเปรียบเทียบกับที่ผ่านมาของตนเองไม่เหมือนกันเลยสักนิด แม้แต่ดาณิมาก็เริ่มสงสัย ว่าคนในกระจกนี้ เป็นตัวเองจริงๆหรอ? ทำไมถึงได้สวยขนาดนี้?
ฝนสุดารู้สึก ดาณิมาเป็นวัยรุ่น วัยที่กำลังสวยงาม เป็นวัยที่ต้องแต่งตัว ดังนั้นเธอจึงให้รพีพงษ์ช่วยซื้อเครื่องสำอางมากมายให้ดาณิมา กลับไปแล้วค่อยสอนดาณิมาแต่งหน้า
ดาณิมาไม่เคยช็อปปิ้งอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้ เห็นรพีพงษ์และฝนสุดาจ่ายเงินราวกับกระดาษ ชอบอะไร ก็ซื้อ เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน
เพราะรพีพงษ์จ่ายเงินมาก มากเกินกว่าที่เธอคิดไว้ ดังนั้นเธอจึงได้ขัดขวางรพีพงษ์อยู่บ้าง แต่ทว่ารพีพงษ์และฝนสุดาไม่คิดมากเรื่องเงิน จึงไม่ฟังคำขอใดๆของเธอ
หลังจากที่ช็อปปิ้งเสร็จแล้วนั้น เกือบจะเที่ยงแล้ว รพีพงษ์ได้พาทั้งสองไปร้านอาหารที่ดีที่สุดในห้าง ให้ดาณิมาได้กินอิ่มสักมื้อ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ไปที่โซนเกมส์ รพีพงษ์ใช้ทักษะอันล้ำลึกจับตุ๊กตาให้สองสาว จนทั้งคู่มีความสุขอย่างมาก
ตั้งแต่เล็กจนโต ดาณิมาไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อน รู้สึกซาบซึ้งใจต่อรพีพงษ์และฝนสุดา คิดว่าต่อไปตัวเองต้องขยัน แล้วตอบแทนพวกเขาทั้งสอง
หลังจากที่กินเล่นแล้ว ทั้งสามเริ่มเหนื่อย คิดที่จะกลับบ้าน เดินไปที่ทางออก
ระหว่างไปถึงทางออกนั้นข้างทางเต็มไปด้วยร้านทองซ้ำ ร้านเครื่องประดับแล้วซ้ำเล่า ลูกค้าเดินเข้าเดินออก ล้วนต้องผ่านตรงนี้ ทางห้างต้องการให้มันดูเปิดเผย
ปกติลูกค้าที่เดินห้างเสร็จแล้ว จำนวนไม่น้อยที่มาดูเครื่องประดับทองคำที่นี่
รพีพงษ์ทั้งสามเดินตรงไปที่ประตูทางออก ฝนสุดาจ้องไปที่เครื่องประดับสองข้างทางอย่างแปลกใจ รู้สึกว่าเครื่องประดับที่นี่ค่อนข้างอลังการ ไม่เหมาะกับเธอ
และดาณิมามีความคิดต่อเครื่องประดับเหล่านี้ว่า แพง
ในขณะที่ทั้งสามเดินอย่างช้าๆอยู่นั้น หญิงวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดฟอร์มของห้างเดินมาที่ทั้งสาม จากนั้นก็ชนไปที่ดาณิมาอย่างตั้งใจ
ดาณิมารีบขอโทษคนนั้น หญิงวัยกลางคนนั้นจ้องไปที่ดาณิมาอย่างเกรี้ยวกราด แล้วตะคอกว่า “แกไอ้หัวขโมย รีบเอาสร้อยทองของร้านเราคืนมาเดี๋ยวนี้นะ แกชั่งกล้า กล้ามาขโมยของร้านเรา อย่าคิดว่าฉันมองไม่เห็นนะ!”
ดาณิมาชะงัก ไม่คาดคิดว่าหญิงวัยกลางคนจะพุดแบบนี้ออกมา
“ฉัน…..ฉันไม่ได้ขโมย……”
“แกไม่ได้ขโมยอะไร ฉันเห็นอยู่ แกรีบเอาสร้อยทองนั้นคืนมาให้ฉันนะ นั่นมันเป็นทองราคาเป็นแสนทำเป็นสร้อยคอนะ อย่าคิดจะเอาออกไป” หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างรุนแรง
คนนี้คือป้าของเทพภวัน ก่อนหน้านี้เทพภวันและญาณิศาได้ตกลงกับเธอไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมจะหลอกสามคน เงินที่หลอกมาได้แบ่งเป็นสามส่วน
เทพภวันบอกป้าของเขาว่าพวกดาณิมาเป็นคนจน ไม่มีอะไร แต่ในมือของรพีพงษ์น่าจะมีเงินจำนวนไม่น้อย พวกเขาเพียงแค่ย้ำว่าดาณิมาขโมยสร้อยทองจากร้านไป ให้พวกเขาชดใช้เงิน ไม่งั้นจะไม่ให้พวกเขาไป ดังนั้นสุดท้ายที่ดาณิมาทั้งสามทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ทำได้เพียงจ่ายเงิน
รพีพงษ์จ้องไปที่หญิงวัยกลางคน แล้วกล่าว “เมื่อกี๊คุณชนเธอ ทำไมถึงได้เป็นขโมยสร้อยได้ล่ะ?”
“เมื่อกี๊สร้อยอยู่ในมือฉัน แล้วเด็กนี่ชนฉัน สร้อยก็ไม่มีแล้ว หล่อนตั้งใจแน่นอน ฉวยโอกาสขโมยสร้อยฉัน!” หญิงวัยกลางคนกล่าว
ขณะนี้คนรอบๆจำนวนไม่น้อยเริ่มล้อมเข้ามา เทพภวันและญาณิศาอยู่ในนั้นด้วย จ้องไปที่ดาณิมาทั้งสามอย่างสะใจ
“ดาณิมา คิดไม่ถึงจริงๆว่าแกจะเป็นคนแบบนี้ ฉันก็ว่าอยู่พวกแกเอาเงินมาจากไหนตั้งมากมายไปซื้อชุด ที่แท้ก็ขโมยมา!” ญาณิศาตะโกนออกมา
“ทุกคน หญิงคนนี้คือเพื่อนของฉัน ครอบครัวยากจน แต่เมื่อกี๊พวกเขาซื้อชุดไปแสนกว่า ตอนแรกฉันก็งงว่าเอาเงินมาจากไหนตั้งมากมาย ตอนนี้ดูๆแล้ว น่าจะขโมยมาแล้วล่ะ!” เทพภวันปั้นน้ำเป็นตัว
หญิงวัยกลางคนแสดงท่าทางเสียเปรียบออกมา แล้วตะโกน “ทุกคนต้องช่วยฉันนะ ไอ้เด้กนี่เห็นฉันถือสร้อยทอง ก็ตั้งใจวิ่งมาชนฉัน ฉวยโอกาสขโมยสร้อย แล้วตอนนี้ยังไม่ยอมรับอีก ร้านเล็กๆของฉัน สร้อยคอหายไปหนึ่งเส้น ตั้งใจทำมาหนึ่งปีก็เหมือนไม่ได้อะไรเลย!”
ทุกคนเริ่มว่ากล่าวรพีพงษ์ทั้งสาม คนจำนวนไม่น้อยบอกว่าให้เรียกรปภ.มาจับ
หลังจากที่รพีพงษ์ได้ยินเสียงของเทพภวันและญาณิศาแล้วนั้น ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว
“เขาดูแคลน มองไปที่หญิงวัยกลางคน แล้วถาม “คุณบอกว่าเธอขโมยสร้อยคอของคุณ คุณมีหลักฐานไหม?”
“สร้อยในมือของฉันไม่มีแล้ว นี่ไม่ใช่หลักฐานสำคัญหรอ? พวกแกต้องทำเป็นนิจแล้ว แล้วจะทิ้งหลักฐานให้ฉันได้ไงกัน” หญิงวัยกลางคนกล่าว
รพีพงษ์ชี้ไปที่กล้องวงจรปิดไม่ไกล แล้วกล่าว “ตรงนั้นมีกล้องวงจรปิดหนิ พวกเราไปดูกัน ก็น่าจะรู้แล้วหนิว่าสร้อยคอของคุณโดนพวกเราขโมยหรือเปล่า?”
หญิงวัยกลางคนรู้ว่าพวกเขาจะต้องขอดูกล้องวงจรปิด เธอได้คิดวิธีการต่อกลอนไว้แล้ว
“ทุกท่าน พวกคุณน่าจะรู้แล้ว ว่ากล้องวงจรปิดของห้างเรามีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่ดูได้ พวกเขาน่าจะรู้อยู่บ้าง ก่อนหน้าที่จะขโมยสร้อยคอของฉัน ได้เตรียมการไว้แล้ว เจ้าของห้างคงไม่มีทางมีที่ห้างเพราะเรื่องเล็กๆแบบนี้หรอก และไม่แน่ฉันอาจโดนไล่ออกจากห้างเพราะเรื่องนี้ก็ได้
“เมื่อกี๊พวกคุณก็ได้ยินแล้วหนิ ว่าฐานะของครอบครัวพวกเขาไม่ดี แต่มาห้าง กลับซื้อเสื้อผ้าเป็นแสนๆ เงินนี้นอกจากขโมยมา ฉันก็หาที่มาอื่นไม่เจอ แล้วครั้งหนึ่งใช้จ่ายเยอะขนาดนี้ มันขโมยมาชัดๆ”
“ตอนนี้ถึงแม้พวกมันจะเอาสร้อยทองออกมาได้ ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นของจริง ดังนั้นฉันจึงทำได้เพียงให้พวกมันชดใช้เงิน”
กำลังพูดอยู่ หญิงวัยกลางคนก็มองไปที่รพีพงษ์ แล้วกล่าว “ขอร้องพวกแกดีๆ ฉันยังมีลูกต้องเลี้ยงดู ในเมื่อพวกแกคิดจะลงมือกับฉัน ฉันก็จะไม่ให้พวกแกเสียเปรียบ สร้อยคอนั้นราคาแสนกว่า พวกแกให้ฉันแปดหมื่นก็พอ ที่เหลืออีกสองแสน ถือว่าเป็นค่าดูแลที่ฉันให้พวกแก”
ทุกคนฟังคำพูดของหญิงวัยกลางคนจบ ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล บวกกับที่เทพภวันและญาณิศาตะโกนออกมา ทุกคนจึงตะโกนให้รพีพงษ์ทั้งสามชดใช้เงิน
ดาณิมาหวาดกลัว ไม่รู้ว่าจะรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร
ฝนสุดาไม่เคยเจอคนงามหน้าแบบนี้มาก่อน แม้จะมีคนอยากหลอกเธอ ก็ถูกคนของตระกูลก้องวณิชกุลจัดการไปเสียก่อน ดังนั้นก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ทั้งสองล้วนมองไปที่รพีพงษ์ ตอนนี้ ทำได้เพียงพึ่งรพีพงษ์ในการแก้ไขปัญหานี้แล้ว
รพีพงษ์สงบนิ่ง บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ หลายปีมานี้ที่เขาล้มลุกคลุกคลาน สำหรับเรื่องนี้ รู้สึกเฉยๆไปแล้ว แล้วยังรู้อีกว่าอีกฝั่งคิดจะทำอะไร
ได้ยินทุกคนตะโกนให้พวกเขาชดใช้เงิน รพีพงษ์ปรบมือ เพื่อให้ทุกคนเงียบ
“เด็กน้อย ขอร้องเถอะนะ แม้จะดูกล้องวงจรปิด พวกแกก็ขโมยสร้อยของฉัน ชดใช้เงินมาเสียเถอะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างน่าสงสารอีกครั้ง
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วกล่าว
“กล้องวงจรปิดจะเป็นผมและคุณที่ดู มิเช่นนั้นจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเราได้ไงกัน และคุณก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกล้องวงจรปิด และไม่ต้องกังวลว่าเจ้าของจะไล่คุณออก แน่นอน ว่าคุณต้องไม่โกหกก่อน เพราะ……ผมนี่แหละเจ้าของ!”