พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่661 ตอนนี้วางใจได้แล้วยัง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่661 ตอนนี้วางใจได้แล้วยัง
บทที่661 ตอนนี้วางใจได้แล้วยัง
ช่วงบ่ายของวันต่อมา รพีพงษ์เป็นเพื่อนอารียาในห้อง แป๊ปๆก็ไปซบที่หน้าท้องของอารียา ฟังเสียงเคลื่อนไหวของลูก
“เมียจ๋า ลูกสาวเรียกผมว่าพ่อแล้ว” รพีพงษ์ยิ้มพลางกล่าวต่ออารียา
อารียามองรพีพงษ์ด้วยสายตาแปลกๆ ลูกยังไม่คลอดออกมา จะเรียกพ่อได้ไง
หลายเดือนก่อนหน้าที่จะฝากครรภ์ อารียารู้แล้วว่าตั้งท้องลูกสาว
“งั้นคุณช่วยฉันถามเธอหน่อยสิ ว่าทำไมตอนกลางคืนมักจะเตะท้องฉัน ทำเอาฉันนอนไม่หลับเลยล่ะ” อารียาร่วมกับรพีพงษ์
รพีพงษ์ได้แนบกับท้องของอารียาอีกครั้ง จากนั้นก็กล่าว “เธอบอกว่าเธออยากออกมาหาผมเร็วๆ ที่เธอเตะท้องคุณ หมายถึงการเคาะประตูหนะ”
อารียาหัวเราะออกมา คิดว่ารพีพงษ์ก็มีด้านมุ้งมิ้งกับเขาด้วย ไม่รู้ว่าผู้ชายทุกคนที่จะเป็นพ่อจะเป็นแบบนี้เหมือนกันหรือไม่
ไม่นาน รอยยิ้มบนใบหน้าของอารียาก็หายไป เปลี่ยนเป็นกังวล แล้วกล่าว “คืนนี้ งานเลี้ยงที่ตระกูลนฤวัตปกรณ์และตระกูลวรโชติธีรธรรมจัดขึ้นจะเริ่มต้นแล้ว พวกเราเอาอยู่ไหม?”
รพีพงษ์ลูบหน้าอารียาเบาๆ ยิ้มพลางกล่าว “ผมจมลงในทะเลยังไม่ตาย ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้ แล้วผมก็ได้บอกคุณแล้ว ช่วงครึ่งปีมานี้ผมได้เรียนวิชามามากมาย คนในเมืองเกียวโต ในสายตาผม ก็เป็นแค่พวกหนอน ตบทีเดียวก็ตาย”
รพีพงษ์มีความลับอยู่ไม่น้อย ที่ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ นอกจากอารียาเพียงผู้เดียว ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของรพีพงษ์ที่ขาดไม่ได้ เธอจึงมีสิทธิ์รับรู้
ได้ยินรพีพงษ์พูดแบบนี้ อารียาก็สบายใจขึ้นมาหน่อย จากนั้นก็กล่าว “คุณต้องระวังให้มากนะ พวกเขามียอดฝีมือ แม้แต่ดัมพ์รงค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อกลอนของพวกเขา
“รู้แล้ว คุณรอคลอดก็พอแล้ว หลังจากคนนี้ไป วิกฤตทั้งหมดของตระกูลลัดดาวัลย์จะหายไป” รพีพงษ์ยื่นมือไปลูบที่ท้องของอารียา “แม่หนูขี้บ่นเหลือเกิน อนาคตมีหนูเท่านั้นแหละที่จะรับได้”
อารียาคับแค้นใจ ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ เธอจะกินรพีพงษ์เข้าไปทันที
ในสวนมี ท่านคทา ธฤตญาณ เธียรวิชญ์และคนอื่นๆเดินไปมาอย่างร้อนรน ดัมพ์รงค์ก็ยืนอยู่อีกฝั่ง ด้วยความกังวล
ขณะเดียวกันนี้รพีพงษ์เดินออกมาจากห้องของอาีรียา ทุกคนเห็นดังนี้ ก็รีบล้อมเข้าไป
“รพีพงษ์ งานเลี้ยงคืนนี้ มันอันตรายมาก แกจะไปคนเดียวได้ไง ไม่ว่ายังไง ก็ต้องให้พวกเราไปด้วย” ธฤตญานกล่าว
“ใช่พี่รพี ไม่ว่าจะยังไง ต้องให้พวกเราไปด้วยนะ ถ้ามีเรื่อง พวกเราจะได้ต่อต้านได้ พี่ไปคนเดียว อันตรายมากนะ” เธียรวิชญ์พูดต่อ
รพีพงษ์เห็นหลายคนเป็นห่วงเขา ยิ้มพลางกล่าว “ไม่จำเป็นจริงๆ แล้วตอนนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่ความปลอดภัยของผม แต่เป็นความปลอดภัยของอารียา พวกคุณอยู่ที่นี่ ผมถึงจะไปงานเลี้ยงได้อย่างไรกังวล”
ได้ยินรพีพงษ์พูดแบบนี้ ทุกคนก็เซ็ง รู้สึกเหมือนรพีพงษ์จะไปตายอย่างไรอย่างนั้น
“ลูกพี่ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อฝีมือพี่นะ แต่หกคนที่พวกมันหามาฝีมือเยี่ยมมากจริงๆ พี่ไตรทศยังอยากที่จะต่อกลอนเลย พวกเราเกรงว่าพี่จะได้รับอันตราย” ไตรทศกล่าว
“ถูก หกคนนั้นฝีมือเยี่ยมมาก มองข้ามไม่ได้เลยนะ” ดัมพ์รงค์พูดต่อ
รพีพงษ์รู้สึกเซ็งเล็กน้อย ไม่รู้จะพูดโน้มน้าวอย่างไรดี ให้พวกเขาอยู่บ้านอย่างสงบ รอฟังข่าวจากเขา
ในขณะเดียวกันนี้เอง มีคนหนึ่งวิ่งมาที่นี้อย่างร้อนใจ หายใจไม่ทันแล้วกล่าว “ไม่ได้การแล้ว คนของตระกูลนฤวัตปกรณ์และตระกูลวรโชติธีรธรรมมาแล้ว บอกว่าให้พวกเราจัดคนไปงานเลี้ยง มิเช่นนั้นจะทำลายคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ซะ!”
ทุกคนได้บินก็ตกใจ รพีพงษ์ตากระตุก แล้วกล่าวทันใดว่า “พาพวกเราไป”
คนนั้นรีบพยักหน้า พาพวกรพีพงษ์ไป
ในสวนของคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ การ์ดของตระกูลลัดดาวัลย์ล้มลงกับพื้น และคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา มีเพียงสองคน เป็นสองคนที่อนันยชจัดมา
ขณะนี้สองคนมีสีหน้าไม่พอใจ จ้องไปยังคนพวกนั้นที่ล้มลงนอนกับพื้นอย่างกับกำลังดูฝูงมดอยู่อย่างไรอย่างนั้น แล้วตะโกนออกมาว่า “รีบให้นายใหญ่ของพวกแกไปกับพวกเราซะ มิเช่นนั้นพวกเราจะทำลายตระกูลลัดดาวัลย์ให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
“ชั่งกล้าพูด คิดว่าตระกูลลัดดาวัลย์จะกลัวพวกแกจริงๆหรอ!” ในขณะนี้พวกของรพีพงษ์มาถึง ท่านคทากล่าวออกมา
ทั้งสองมองไปที่ทางนั้น หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างดูแคลนว่า “ไอ้แก่ หญิงนั้นใกล้จะคลอดลูกแล้ว ตอนนี้คงเป็นแกสินะที่เป็นนายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไปกับพวกเราซะ”
พูดจบ คนนั้นก็เดินไป เพื่อจะบีบท่านคทาให้ไปด้วย
ขณะเดียวกันนี้รพีพงษ์ก็ได้ขวางหน้าของท่านคทาไว้ แล้วกล่าว “หมาขี้เรื้อนที่ตระกูลวรโชติธีรธรรมเลี้ยงไว้กล้ามาทำอะไรตามใจที่ตระกูลลัดดาวัลย์ พวกแกไม่กลัวตายหรือไง?”
คนนั้นมองรพีพงษ์หัวจรดเท้า ดูไม่คุ้นเคย จึงถาม “แกเป็นใครวะ กล้าขวางฉัน?”
“ฉันคือรพีพงษ์” รพีพงษ์ตอบไปทันที
ทั้งสองชะงัก หนึ่งในนั้นถาม “นายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์?”
“ใช่”
“แกตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง?” ทั้งสองรู้สึกแปลกใจ
“ทำพวกแกผิดหวังล่ะ ถ้าฉันตาย จะจัดการกับพวกแกได้ไง” รพีพงษ์ยิ้มพลางกล่าว
“ตลกจริงๆ แม้แกจะไม่ตายแล้วไงวะ วันนี้ตระกูลลัดดาวัลย์ก็ยังคงพินาศอยู่ดี แกไปกับพวกเรา คืนนี้หลังจากที่แกได้โอนกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์แล้วนั้น พวกเราจะค่อยๆฆ่าแก!”
ท่านคทามองไปที่รพีพงษ์อย่างรู้สึกกังวล แล้วกล่าว “คุณไม่ควรบอกตัวตนให้พวกมันรู้เร็วขนาดนี้ เดี๋ยวพวกมันกลับไป ป่าวประกาศเรื่องนี้ จะไม่ดีต่อตระกูลลัดดาวัลย์มากเข้าไปอีก
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วกล่าว “เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วง พวกมันทั้งสอง ไม่มีทางมีชีวิตรอดกลับไปแน่”
สองคนนั้นหัวเราะเสียงดัง รู้สึกดูถูกรพีพงษ์อย่างมาก
“มึงเป็นใคร คิดจะฆ่าพวกกู? กูว่ามึงเอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ!”
เมื่อพูดจบ ก็พุ่งไปที่รพีพงษ์
สีหน้าของท่านคทาและดัมพ์รงค์เปลี่ยนไป แล้วได้เข้าไปขวางหน้าของรพีพงษ์ไว้ทันที
ในขณะเดียกวันนี้ ร่างกายของรพีพงษ์เริ่มขยับ อย่างรวดเร็วเร็วถึงขั้นพวกเขาคาดไม่ถึง
คนที่ลงมือกับรพีพงษ์ รู้สึกรับรู้ได้ถึงภัยที่จะมาถึง แต่ตอนนี้จะถอยหลัง ก็ไม่ทันแล้ว
หมัดของคนนั้นต่อยไปที่ร่างของรพีพงษ์ รพีพงษ์รับหมัดเขาเอาไว้
“มีพลังแค่นี้เองหรอ?” รพีพงษ์ยิ้มมุมปาก ตอนแรกเขาคิดว่าความสามารถของคนที่อนันยชจัดมานั้นก็มีกำลังภายใน แต่เมื่อได้แลกหมัดกันแล้วถึงได้รู้ว่ายังห่างไกลจากกำลังภายในอีกเยอะ
จากความรู้สึก คนพวกนี้ก็แค่เก่งกว่าคนฝีมือดีเล็กน้อย แม้พลังของพวกเขาคล้ายกับจะมีกำลังภายใน แต่ความจริงแล้วยังห่างกันอีกมาก
ใบหน้าของคนนั้นแสดงออกถึงความคาดไม่ถึง แล้วกล่าว “นี่……นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
“ให้พวกแกได้เห็นถึงพลังที่แท้จริง” รพีพงษ์พูดต่อ อีกมือหนึ่งผลักหมัดนั้นออกไป หลังจากที่ไปอยู่บนท้องของคนนั้นแล้ว กำลังภายในก็ได้ระเบิดออก คนนั้นรู้สึกเพียงแค่ความว่างเปล่า จากนั้นก็ลอยกลับหลังไป ล้มลงกับพื้น และไม่ขยับ
ทุกคนมองเหตุการณ์ด้วยความงง โดยเฉพาะดัมพ์รงค์ ฝีมือของทั้งสองเป็นยังไงพวกเขารู้ดี รพีพงษ์ใช้แค่หมัดเดียวก็ต่อยจนมันลอยไป ชั่งน่ากลัวอย่างนี่กระไร
หลังจากที่จัดการเสร็จไปหนึ่ง รพีพงษ์ก็ไปที่อีกคน คนนั้นรู้สึกแปลกประหลาด คิดไม่ถึงว่าอีกคนจะโดนแค่หมัดเดียวแล้วล้มลงทันที
เขารับรู้ได้ถึงภัยอันตราย คิดจะหันหลังหนี รพีพงษ์พุ่งเข้าไป ต่อยเข้าไปหนึ่งหมัดที่หลัง จากนั้นเขาก็เลือดพุ่งออกมา นอนกับพื้น ไม่ขยับ
จัดการสองคนได้ รพีพงษ์ก็มองไปที่ท่านคทาแล้วคนอื่น ยิ้มแล้วถาม “ตอนนี้ผมไปงานเลี้ยงคนเดียว พวกคุณวางใจได้หรือยัง?”