พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่678 คุ้มขวัญ
บทที่678 คุ้มขวัญ
อำเภอคีงเมน
ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง รพีพงษ์และดำเกิงนั่งอยู่บนโต๊ะโต๊ะหนึ่ง บนโต๊ะวางอาหารเอาไว้หลายอย่าง ดำเกิงกำลังกินอย่างตะกละตะกลาม
“รุ่นพี่ ไม่พูดอย่างอื่น อาการด้านนอกอร่อยกว่าอาหารในป่าเยอะเลย ปกติกับข้าวที่เรากินกันเป็นกับข้าวที่ทำกันเอง จะอร่อยกว่าเชฟทำได้ไงกัน” ดำเกิงกินพลางพูดพลาง
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วกล่าว “งั้นก็กินมากๆ รุ่นพีอย่างฉันไม่มีทางจนเพราะการกินของแกได้หรอก”
ในตอนที่ทั้งสองกำลังกินข้าวอยู่นั้น ในร้านอาหารก็มีคนจำนวนไม่น้อยแล้ว ล้วนกำลังพูดถึงอะไรสักอย่าง รพีพงษ์ตั้งใจฟัง พบว่ากำลังพูดเกี่ยวกับตระกูลวิรุฬห์ธนกิจอยู่
“พวกแกได้ยินไหม คุณหนูของตระกูลวิรุฬห์ธนกิจนั้น สร้างเรื่องอีกแล้ว หล่อนไปห้างเพื่อซื้อของ เพียงเพราะพนักงานพูดผิด จึงได้ตบเค้าไปสิบฉาด แล้วยังให้ผู้บริหารของห้างไล่เค้าออกไปอีก ได้ยินว่าครอบครัวของพนักงานคนนั้นต้องพึงเธอเพียงคนเดียว ชั่งเหี้ยวจริงๆ”
“นี่อะไร พวกแกลืมแล้วหรอว่าก่อนหน้านี้ คุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจเพื่อจัดการแข่งขันผจญภัย จับเด็กผู้ชายที่กำลังเรียนอยู่ไปยี่สิบคน แล้วทิ้งไว้ในบนหุบเขา สุดท้ายมีห้าคนที่หายตัวไป สามคนถูกสัตว์ป่ากัดแขนขาด สุดท้ายใช้เงินนิดหน่อยก็จบ”
“จุ๊จุ๊จุ๊ ตระกูลวิรุฬห์ธนกิจที่อำเภอคีงเมน คือเจ้าพ่อ ใครกล้าแตะ คุณหนูของพวกเขายโสโอหังตั้งแต่เล็กจนโตใครไม่รู้บ้าง ที่น่าสงสารที่สุดก็คือพวกเราชาวบ้านตาดำๆนี่แหละ ขออย่าให้ชาตินี้ฉันต้องเจอกับคุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจอีกเลย”
……
รพีพงษ์ได้ยินรอบๆพูดคุยกัน ก็มองไปที่ดำเกิง แล้วกล่าว “ชื่อเสียงของคุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจที่นี่ ไม่ค่อยดีนะ ฟังแล้วก็เป็นคนที่ยโสโอหังเอาการอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นทำไมแกชอบคนแบบนี้ได้?”
ดำเกิงอับอาย เมื่อกี๊ที่คนรอบๆพูดคุยกันเขาได้ยินทั้งหมดแล้ว จึงรีบอธิบายว่า “ตอนนั้นผมเพิ่งจะสิบแปดปี ค่อนข้างไร้เดียงสา ใครจะไปสนว่าเธอเป็นคนยังไง แค่เห็นว่าเธอสวย ดังนั้นจะหลงใหล ตอนนี้รู้สึกแล้ว ไม่ชอบเธอตั้งนานแล้ว ไม่งั้นผมไม่มีทางมาที่นี่เพื่อล้างแค้นโดยเฉพาะหรอก”
รพีพงษ์ยิ้ม ไม่พูดอะไร ในใจคิดว่าเขาก็แค่ยี่สิบปี ไม่ว่าจะยังไง ก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก
ตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสองเดิรออกมาจากร้านอาหาร แพลนว่าจะหาที่พัก วางของก่อน จากนั้นค่อยไปตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ
ไตร่ตรองแล้วว่ายังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับตระกูลวิรุฬห์ธนกิจตอนนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าคุณหนูกับพี่ชายของตระกูลวิรุฬห์ธนกิจอยู่หรือไม่ ทั้งสองจึงตัดสินใจอยู่ที่อำเภอคีงเมนสักวันสองวัน
ในตอนที่เดินอยู่บนถนนนั้น ห่างไปอีกไกล ได้ยินเสียงเร่งเครื่อง จากนั้น ก็มีรถสปอร์ตสีชมพูผ่านตาไป อย่างรวดเร็ว
แต่ตอนนี่ มีคุณยายกำลังเดินข้ามถนนอยู่ อาจเป็นเพราะเสียงแตรของรถสปอร์ต ทำเอาคุณยายกลัวจนไม่กล้าเดินต่อ แล้วหยุดอยู่กลางถนน
รพีพงษ์และดำเกิงคิดว่าเมื่อรถสปอร์ตคันนี้เห็นคุณยายแล้วจะวิ่งช้าลง แต่ทว่ารถสปอร์ตมิได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด แต่กลับบีบแตรแล้วพุ่งไปที่คุณยายอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโมโหที่คุณยายขวางทางเขาอย่างไรอย่างนั้น
รพีพงษ์เห็นดังนี้ จึงรีบเข้าไปพยุงคุณยายไว้ รีบพาเธอออกมาจากกลางถนน
ดำเกิงโมโห รู้สึกว่ารถสปอร์ตทำเกินไป คุณยายตัวออกจะใหญ่ ถ้าตกใจจนเป็นอะไรไป รถสปอร์ตนี้ก็หนีไป และหาไม่เจอแน่นอน
เขาได้ไปกลางถนน จ้องไปที่รถสปอร์ต รถสปอร์ตบีบแตรอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง แต่ทว่าดำเกิงก็มิได้ถอยไปแต่อย่างไร
ใกล้จะชน รถสปอร์ตสีชมพูไม่เหยียบเบรคมิด ล้อบดขยี้เข้ากับถนน ทำเอาคนที่ผ่านไปผ่านมาผวาไปตามๆกัน
รถสปอร์ตสีชมพูคันนี้จอดอยู่ห่างจากดำเกิงเพียงแค่สามเซ็นติเมตรเท่านั้น คนรอบข้างล้วนเสียวแทนดำเกิง
ไม่นาน รถสปอร์ตก็มีหญิงที่ผูกผมหางม้า ใส่แว่นกันแดด ปากแดง ใส่ทองเป็นประกาย และใส่กระโปรงสั้น
เมื่อหญิงคนนั้นลงมา ก็ด่าดำเกิงว่า “หาที่ตายหรือไง? กล้าขวางทางฉัน แกคิดว่าฉันไม่กล้าชนหรือไง?”
ดำเกิงมองไปที่สาวคนนั้นด้วยความอึ้ง จากนั้นก็ตะโกน “คุ้มขวัญ?”
หญิงสาวชะงัก ไม่คาดคิดว่าอีกฝั่งจะเรียกชื่อของตัวเองออกมา แต่ในอำเภอคีงเมน คนที่รู้จักชื่อเธอก็มีจำนวนไม่น้อย จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
“ไง? อยากใกล้ชิดฉัน? อย่าคิดว่าเรียกชื่อฉัน แล้ววันนี้ฉันจะปล่อยแกไปนะ” คุ้มขวัญดูแคลน
ในขณะนี้คนรอบข้างล้วนสงสารดำเกิง เพราะพวกเขารู้ ว่าเจ้าของรถสีชมพูนี้ คือคุณหนูของตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ
“คุ้มขวัญ คุณไม่รู้จักผม?” ดำเกิงถาม
คุ้มขวัญดูดำเกิง ในสมองผุดร่างของคนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ตาโต ชี้ไปที่ดำเกิงแล้วถาม “แกคือดำเกิง?”
ดำเกิงยืดอก แล้วกล่าว “ถูกแล้ว ผมเอง”
คุ้มขวัญหัวเราะ แล้วกล่าว “ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไอ้สวะอย่างแก ถ้ารู้ว่าเป็นแก ฉันจะชนเข้าไปเลยล่ะ!”
ดำเกิงบูดบึ้ง เห็นคุ้มขวัญยังคงดูถูกเขาดั่งเช่นในตอนนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“แม้เมื่อกี๊คุณจะชน แต่ผมก็ยังหลบได้อย่างสบาย คุ้มขวัญ จะบอกให้นะ ผมไม่เหมือนสองปีที่แล้ว ผมในตอนนี้ ได้เติบโตถึงขั้นที่แม้แต่คุณก็คาดไม่ถึง ครั้งนี้ที่ผมมา เพื่อล้างแค้นในตอนนั้น!” ดำเกิงกล่าวอย่างเยือกเย็น
คุ้มขวัญบึนปาก แล้วกล่าว “ฝันไปเถอะ ไอ้สวะอย่างแก ตอนนั้นพี่ชายฉันต่อยแกจนแกตั้งรับไม่ทัน แกคิดว่าผ่านไปสองปี แล้วจะชนะเขาได้หรอ ไอ้งั่ง”
พูดจบ คุ้มขวัญจะออกไปจากที่นี่ เธอขี้เกียจเสียเวลากับไอ้สวะ
ในขณะเดียวกันนี้เอง ดำเกิงจับข้อมือของคุ้มขวัญไว้ แล้วกล่าว “ผมจะชนะเขาหรือไม่ รอให้ไปที่บ้านของคุณก็จะรู้แล้ว ถ้าคุณจะไป ต้องขอโทษคุณยายคนนั้นเสียก่อน”
คุ้มชวัญหันไปชักตาใส่ดำเกิง แล้วตะคอก “ปัญญาอ่อนป้ะ ทำไมฉันต้องขอโทษยายนั่นด้วย ปล่อยฉันนะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
“ถ้าวันนี้ไม่ขอโทษ ก็อย่าคิดจะไปไหนได้!” ดำเกิงกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! ดำเกิง ไอ้สวะ กล้าสั่งฉันหรอ!” คุ้มขวัญไม่พอใจ
ดำเกิงไม่พูดพร่ำทำเพลงลากคุ้มขวัญไปอยู่ต่อหน้าของคุณยาย แล้วกล่าว “ขอโทษ”
คุ้มขวัญถูกดำเกิงบีบจนเจ็บ เธออยากจะจัดการดำเกิงซะตั้งแต่ตอนนี้ แต่เธอรู้ว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆสู้ดำเกิงไม่ได้ จึงได้ยอมถอย ดังนั้นจึงได้ขอโทษคุณยายคนนั้นอย่างรำคาญ
ดำเกิงจึงปล่อยเธอไป
เธอเดินไปยังเดินหน้าของรถ แล้วตะคอกไปที่ดำเกิง “ฝากไว้ก่อน ฉันไม่มีทางปล่อยแกไว้แน่!” พูดจบ ก็ได้เข้าไปนั่งในรถสปอร์ต แล้วออกไป