พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่732 ป้ายบัญชาการลอบสังหาร
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่732 ป้ายบัญชาการลอบสังหาร
บทที่732 ป้ายบัญชาการลอบสังหาร
คนที่ตามมานั้นเห็นหัวหน้าของพวกเขาถูกตบจนล้มลงกับพื้น ก็ตกใจกลัวทั้งหมด มองไปเห็นสายตาของชาลิสาเปลี่ยนเป็นให้ระวังตัวไว้
ชาลิสาจ้องไปที่คนเหล่านั้นอย่างโมโห ด้วยความรู้สึกกล้าหาญ
พวกนั้นรับรู้ได้ว่าหญิงคนนี้แตะไม่ได้ ก็ถอยหลังออกไป อยากจะหนี
ชาลิสาไม่ให้โอกาสพวกมัน พุ่งเข้าไปโดยตรง ด้วยความเร็ว ทำเอาพวกเขาล้มลงกับพื้นเลยทีเดียว
ทุกคนในผับล้วนมองชาลิสาอย่างตะลึง แล้วปรบมือทันใด แล้วชื่นชมชาลิสา
ชาลิสาโบกมือ กำลังมองไปที่พวกสวะนั่นที่กองอยู่บนพื้น ด้วยความสบายใจ
เมื่อก่อนก็มักจะมีพวกสวะมาหยอกล้อเธออยู่บ่อยๆ แต่เธอคิดเสมอว่าตัวเองคือยอดฝีมือเน่ยจิ้ง คิดเล็กคิดน้อยกับคนธรรมดาไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงอดกลั้น
ตอนนี้คำพูดของรพีพงษ์ทำให้เธอรู้ถึงจุดยืนของเธอ ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือเน่ยจิ้งประเทศจีน ตอนพวกสวะต่างชาติมาหาเรื่องเธอ ก็ควรที่จะจัดการกับพวกเขาเสีย ไม่งั้นที่เธอพยายามเป็นระดับเน่ยจิ้งนั้น จะมีความหมายอะไร
และหลังจากที่เธอจัดการกับคนเหล่านี้แล้วนั้น รู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก บางที แบบนี้เธออาจสบายใจขึ้นบ้างก็ได้
เธอหันไปมองรพีพงษ์ พบว่ารพีพงษ์กำลังจ้องตนอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆยกนิ้วโป้งให้
ชาลิสาเขิลอาย คิดว่ารพีพงษ์กำลังชื่นชมเธอ ขณะเดียกวันนี้รพีพงษ์ได้กล่าวอย่างจริงใจว่า “ต่อไปเรื่องแบบนี้ ถ้ามีผู้ชายอยู่ด้วย ให้ผู้ชายจัดการจะดีกว่า ไม่งั้นเธอจะแต่งงานยากนะ”
ชาลิสาชักตาใส่ ไม่นาน จึงจะนึกขึ้นได้ว่ารพีพงษ์หมายความว่าอะไร คนนี้ กำลังบอกว่าตนชอบใช้ความรุนแรง ดังนั้นจึงแต่งงานยากงั้นหรอ?!
เธอกำหมัดขึ้นมา อยากที่จะชกรพีพงษ์ในทันใด ชายที่ไม่ค่อยคิดอะไรแบบนี้ หาภรรยาได้ไงกันแน่?
“ฉันจะได้แต่งไม่ได้แต่งงานเกี่ยวไรกับคุณด้วย! ฉันชอบใช้กำลังแบบนี้แล้วจะทำไม! เหอะ!” ชาลิสากล่าวอย่างโมโห
รพีพงษ์รู้ว่าแตะต้องไม่ได้ จึงไม่โต้ตอบใดๆ
ขณะนี้บาร์เทนเดอร์คนนั้นเดินมายังด้านหน้าของพวกเขา หลังจากที่เหลือบไปมองสวะเหล่านั้นที่กองอยู่กับพื้นแล้วนั้น ก็กล่าว “มากับผมเถอะ”
รพีพงษ์และชาลิสามองหน้ากัน เดินตามบาร์เทนเดอร์คนนั้นเข้าไปด้านใน
ไม่นาน บาร์เทนเดอร์ได้พาคนสองคนมายังหน้าประตูห้อง แล้วกล่าว “คนที่พวกคุณตามหาอยู่ที่นี่”
จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
รพีพงษ์ไม่ลังเล เปิดประตู แล้วเดินเข้าไป
ทั้งสองเพิ่งถึง ประตูที่อยู่ด้านหลังก็ถูกปิดลง ในนี้มืดไปหมด ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟ รพีพงษ์ใช้อุณหภูมิบนตัวของชาลิสาเพื่อรู้จุดยืนของเธอ ห้องทั้งห้อง นอกจากพวกเขาทั้งสองแล้ว ราวกับไม่มีใครอื่นอีกเลย
รพีพงษ์เงียบสงบ ปัจจุบันนี้เขาเป็นเน่ยจิ้งขั้นกลาง การรับรู้ดีกว่าคนปกติทั่วไปถึงสิบเท่า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาจะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“คุณยืนอยู่ที่เดิมอย่าขยับไปไหน ผมไปดูเอง” รพีพงษ์กล่าว จากนั้นก็เดินไปด้านหน้า
ชาลิสาไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะรพีพงษ์มีความสามารถโจมตีระดับปรมาจารย์ แม้จะมีคนมาหาเรื่องจริงๆ แต่ก็จะเป็นอีกฝั่งนั่นแหละโชคร้าย
เดินไปด้านหน้าไม่กี่ก้าว รพีพงษ์ก็รับรู้ได้ถึงลมเบาๆ เขาหยุด แล้วลงมือทันที จับคอของคนหนึ่งได้ในทันที ออกแรง เพื่อกดเขาให้ลงกับพื้น
อีกด้าน ก็มีคนไม่ส่งเสียงใดๆอยู่ด้านหน้าของเขารพีพงษ์ถีบไป คนนั้นส่งเสียงโอดครวญขึ้นมา ชนเข้ากับกำแพงด้านหลัง
คนที่เข้ามาใกล้รพีพงษ์ทั้งสองนี้ไม่มีเน่ยจิ้ง แต่ฝีมือตัวเบาของพวกเขาทำให้รพีพงษ์ประหลาดใจ
ไฟในห้องนี้ได้ถูกเปิดขึ้นทันใด รพีพงษ์เห็นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สองฝ่ายของชายวัยกลางคนนี้ แบ่งเป็นด้านล่ะห้าคนที่สวมชุดทำงานกลางคืน
คนเหล่านี้กำลังจ้องรพีพงษ์อยู่ ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โบกมือ ยิ้มพลางกล่าว “ฝีมือไม่เลว ไม่คาดคิดว่าจะสามารถคาดเดาสถานการณ์ของลูกน้องฉันในขณะมืดมิดได้ หลายปีมานี้ ฉันเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก”
รพีพงษ์ก็มองคนเหล่านี้ที่อยู่ด้านหน้าอย่างแปลกใจ เขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อย ว่าในห้องนี้จะมีคนทั้งหมดสิบสามคน แต่เขากลับไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อย
ดูๆแล้วการที่ลอบสังหารได้ขึ้นเป็นกลุ่มนักฆ่าชั้นนำของโลกนั้น ไม่ง่ายเลย
แม้พวกนักฆ่าเหล่านี้จะไม่มีเน่ยจิ้ง แต่ถ้าพวกเขาสามารถเข้าใกล้ร่างกายของยอดฝีมือเน่ยจิ้งได้ล่ะก็ เพียงแค่มีความเร็วเพียงพอ อาวุธครบครัน แม้จะเป็นเน่ยจิ้งขั้นกลาง เกรงว่าก็จะถูกฆ่าได้เช่นกัน
ถ้าพวกเขาใช้ยาพิษโดยตรง เกรงว่าจะน่ากลัวมากเลยทีเดียว
“คุณคือหัวหน้าลอบสังหาร?” รพีพงษ์กำลังมองไปที่ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วถาม
ชายวัยกลางคนยืนขึ้นมา แล้วกล่าว “ไม่ถึงขั้นหัวหน้า แค่ดูแลแทนลูกพี่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น พวกแกเป็นใคร ทำไมถึงได้รู้ฉายาลอบสังหารนี้ได้?”
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วกล่าว “ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ คนที่บอกฉายาผมนั้น น่าจะเป็นลูกพี่ของพวกคุณ”
ชายวัยกลางคนชักตาใส่รพีพงษ์ แล้วกล่าว “เด็กน้อย แกอย่าตลกต่อหน้าฉัน มิเช่นนั้นแกจะไม่รู้เลย ว่าแกตายยังไง”
รพีพงษ์ยักไหล่ แล้วกล่าว “ลูกพี่ของคุณคือจรัส?”
ชายวัยกลางคนตะลึง แล้วถาม “แกรู้ชื่อของลูกพี่ฉันได้ไง?”
“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว ลูกพี่ของคุณบอกฉายานี้กับผม” รพีพงษ์กล่าว
“เป็นไปไม่ได้! ตอนนี้ลูกพี่ของฉันถูกขังอยู่ในคุกที่ห้า ที่นั่นทำได้แค่เข้าแต่ออกไม่ได้ แม้แกจะเคยเจอลูกพี่ฉัน งั้นแกก็น่าจะเหมือนเขา คือเคยเขาไปในคุกที่ห้าแล้ว ทำไมตอนนี้ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฉันได้ แกเป็นใครกันแน่!” ชายวัยกลางคนถาม
“ผมรู้จักลูกพี่พวกคุณตอนอยู่ในคุกที่ห้าจริง และเขาก็ได้เล่าเรื่องความเป็นอยู่ของพวกคุณให้ผมฟังตอนอยู่ที่นั่น แล้วเรื่องที่ว่าคุกที่ห้าเข้าได้แต่ออกไม่ได้นั้น ก็ไว้สำหรับคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น อยากออกมา ก็มีทางเสมอ” รพีพงษ์กล่าว
“หยุดตอแหลได้แล้ว รีบบอกตัวตนที่แท้จริงของแกมา มิเช่นนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!” ชายวัยกลางคนยังคงไม่เชื่อคำพูดของรพีพงษ์อยู่ดี
รพีพงษ์เริ่มเซ็ง แล้วนำป้ายนั้นที่จรัสให้เขาออกมา แล้วกล่าว “ผมไม่ได้หลอกพวกคุณ ถ้าได้เห็นป้ายนี้ พวกคุณน่าจะเชื่อ”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนเห็นป้ายนั้นในมือของรพีพงษ์ ก็ส่งเสียงตกใจขึ้นมา “ป้ายบัญชาการลอบสังหาร!”
คนสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาคุกเข่าลงทันใด คำนับให้กับป้ายที่อยู่ในมือของรพีพงษ์