พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่747 บริการยังไม่เต็มที่
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่747 บริการยังไม่เต็มที่
บทที่747 บริการยังไม่เต็มที่
ไม่กี่วันหลังจากการต่อสู้ที่หน้าคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ ตระกูลลัดดาวัลย์ก็ค่อยๆสงบลงมา แม้ว่าโลกภายนอกจะยังคงพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างคึกคัก แต่ตระกูลลัดดาวัลย์ก็จมอยู่กับความสุขของการกลับมาของรพีพงษ์และยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง
หลังจากที่รพีพงษ์กลับมา ก็ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสมบูรณ์ เดินทางออกไปข้างนอกมานานขนาดนี้ ท้ายที่สุดแล้วกลับมาอยู่บ้านก็รู้สึกสบายกว่า
ในระหว่างช่วงที่เขาไม่อยู่ ดัมพ์รงค์พวกเขาทั้งสามคนก็ฝึกฝนเรียนรู้เน่ยจิ้งกับเวทัสมาโดยตลอด คุณสมบัติของทั้งสามคนนั้นไม่ธรรมดา ในเวลาเกือบห้าเดือน ทั้งสามคนได้ประสบความสำเร็จก้าวเข้าสู่เป็นยอดฝีมือเน่ยจิ้งได้
สำหรับทยุตินักเรียนอย่างเป็นทางการที่ทำให้ชลาธิปต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับค่าฝึกฝนเล่าเรียน แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมากในวงการบอดี้การ์ด แต่เขาก็ยังมีคุณสมบัติน้อยกว่าดัมพ์รงค์พวกเขามาก ผ่านไปนานขนาดนี้ ยังคงบรรลุไม่ถึงเน่ยจิ้งพื้นฐาน
ทยุติช้ำใจ ชลาธิปก็ยิ่งช้ำใจกว่า ค่าเล่าเรียนหนึ่งร้อยล้านที่เขาจ่ายไปนั้นไม่น้อยไปแม้แต่บาทเดียว ปรากฏว่านักเรียนที่ตัวเองสนับสนุนกลับฝึกฝนไม่ประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามทั้งสามคนที่สังเกตการณ์ฟังอยู่ด้านข้างฝึกฝนจนประสบความสำเร็จ สิ่งนี้ทำให้ในใจของเขารู้สึกแย่มาก
แต่ทว่าลองคิดดูแล้วตอนนี้เขาพักอาศัยอยู่ที่ตระกูลลัดดาวัลย์ ถ้าเขามีเรื่องอะไร ดัมพ์รงค์พวกเขาไม่มีทางยืนมองเฉยๆแล้วไม่สนใจอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะบรรลุถึงระดับเน่ยจิ้ง ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น
ดัมพ์รงค์ในฐานะศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของอาจารย์ต่อจากรพีพงษ์ หลังจากที่รพีพงษ์จากไปไม่นาน ก็ก้าวเข้าสู่เน่ยจิ้งพื้นฐาน
หลังจากเวทัสผ่านช่วงเวลาของ“การสอน”นี้ เกิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนักค่อนข้างมาก ตอนนี้เขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของเน่ยจิ้งชั้นต้น คาดว่าใช้เวลาอีกไม่นาน ก็สามารถก้าวหน้าถึงระดับเน่ยจิ้งขั้นกลางได้
รวมทั้งครั้งนี้รพีพงษ์ได้พาไออ้วนและครองภพทั้งสองคนกลับมาด้วย จำนวนของยอดฝีมือเน่ยจิ้งที่ตระกูลลัดดาวัลย์มีอยู่ในปัจจุบัน บรรลุถึงเจ็ดคน ซึ่งเทียบได้กับระดับทีมของปรมาจารย์เน่ยจิ้งในไชน่าทาวน์ของอเมริกา
ถ้าหากว่ารวมทั้งรพีพงษ์ ความแข็งแกร่งของตระกูลลัดดาวัลย์ในปัจจุบัน ก็บรรลุถึงระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจ แม้แต่สำนักศิลปะการต่อสู้โบราณที่มาหาเรื่อง ก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้อย่างใจเย็น
รพีพงษ์ให้ครองภพจัดเตรียมกองกำลังของลอบสังหารไว้ตำแหน่งใกล้กับคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ แม้ว่าเมื่อมือสังหารเหล่านี้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือเน่ยจิ้งขั้นกลางอาจไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ฝีมือในการซ่อนตัวของพวกเขา ต่อให้เป็นยอดฝีมือเน่ยจิ้งก็ไม่อาจค้นหาจนเจอ ในฐานะกองกำลังของการสืบสวนและติดตาม มีประโยชน์เป็นอย่างมาก
สำหรับครองภพเอง จากผู้นำของลอบสังหารกลายเป็นหัวหน้าของทีมรักษาความปลอดภัยของตระกูลลัดดาวัลย์ รับผิดชอบการจัดการทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตระกูลลัดดาวัลย์
ครองภพบอกว่าตัวเองเคยเป็นหัวหน้าองค์กรลอบสังหารมาครึ่งชีวิต เบื่อหน่ายกับชีวิตที่ต้องเดินอยู่บนปลายมีดมานานแล้ว สำหรับหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของตระกูลลัดดาวัลย์เหมาะกับเขามาก
ในวันที่สองที่รพีพงษ์กลับมา ขวัญนลินได้รับการดูแลจากชนิสราและพี่เลี้ยงเด็กที่ว่าจ้างมา รพีพงษ์และอารียาทั้งสองคนก็อยู่ในโลกที่มีความสุขกันสองต่อสอง เพิ่งจะกลับมา ทั้งสองคนต่างก็ต้องหมั่นเอาอกเอาใจกันเป็นอย่างดี ขวัญนลินก็กลายเป็นก้างขวางคอไปโดยปริยาย….
ผ่านไปไม่กี่วัน รพีพงษ์อุทิศทั้งตัวและหัวใจให้กับครอบครัว ตื่นขึ้นมาวิ่งทุกวัน ซื้ออาหาร ทำกับข้าว และพาขวัญนลินไปเดินเล่นในสวนสาธารณะพร้อมกับอารียา จัดการกับเรื่องของตระกูลลัดดาวัลย์เป็นครั้งเป็นคราว ทานอาหารกับทุกคนในตอนเย็น ในตอนกลางคืนก็ทำสงครามรักกับอารียา ต่อเนื่องไม่เคยหยุด
แน่นอนว่า ในใจของรพีพงษ์ยังสงสัยว่าเหตุใดอาจารย์จึงมีศัตรูมากมายขนาดนี้ เขาตั้งใจว่าจะหาเวลาช่วงหนึ่ง ไปพบอาจารย์ครั้งหนึ่ง บอกเรื่องนี้กับอาจารย์ ถือโอกาสถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น รวมทั้งครั้งนี้เขาก็ฆ่าปรมาจารย์ไปหนึ่งคน ตระกูลภูธนนั้นอาจจะมาแก้แค้น ปัญหาของรพีพงษ์ ยังคงมีอยู่
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่อยากสนใจเรื่องนี้ ตอนนี้เขาเพียงแค่อยากใช้เวลาไม่กี่วันนี้อยู่กับอารียา ถือโอกาสจัดงานงานเลี้ยงฉลองให้กับขวัญนลินอีกครั้ง
เรื่องอื่นๆ รอหลังจากงานเลี้ยงฉลองแล้วค่อยไปคิด
เช้าวันนี้ รพีพงษ์ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ลืมตาขึ้นมา เห็นที่กำลังพิงอยู่ที่หน้าอกของเขา มือข้างหนึ่งลูบไปบนตัวของเขาเบาๆ บนใบหน้ายังไม่หายแดงจากเมื่อคืนนี้
บนตัวของอารียาห่มผ้าซาตินบางๆอยู่ผืนหนึ่ง และรูปร่างที่เรียวบางก็ปรากฏขึ้นภายใต้ผ้าซาติน
“ทำไมตื่นเช้าจัง?”รพีพงษ์เอ่ยปากถาม
อารียายิ้มแย้มแจ่มใส ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดง เอ่ยปากพูดว่า: “อยากตื่นขึ้นมามองนายเช้าๆ ไม่ได้เหรอ”
“ดูเหมือนว่ายังไม่เต็มที่”รพีพงษ์ถอนหายใจแล้วพูด
“อะไรยังไม่เต็มที่เหรอ?”อารียามองรพีพงษ์ด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยปากถาม
“แน่นอนว่าบริการยังไม่เต็มที่ ดูเหมือนว่าจากนี้ไปฉันจะต้องเพิ่มความพยายามมากขึ้น ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเธอกลับไม่เหนื่อยเลย ยังมีอารมณ์ที่จะชื่นชมฉันอยู่ นี่ไม่ใช่บริการไม่เต็มที่แล้วคืออะไร”รพีพงษ์เอ่ยปากถาม
ใบหน้าของอารียาก็แดงขึ้นมาในทันที เหลือบมองไปที่รพีพงษ์ด้วยความไม่พอใจ และเอ่ยปากว่า: “นายนี่มันคนเลว ใครบอกว่าบริการไม่เต็มที่ล่ะ เมื่อคืนนี้ฉันเมื่อยล้ามาก ถ้านายเพิ่มความพยายามมากขึ้นอีก ฉันก็รับไม่ไหวแล้ว”
เมื่อรพีพงษ์ได้ยินอารียาพูดแบบนี้ รอยยิ้มที่ภาคภูมิใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า สิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งภาคภูมิใจที่สุดก็คือ เมื่อได้ยินผู้หญิงของตัวเองพูดแบบนี้
“รับไม่ไหวเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าท่าทางเธอยังกินไม่พอล่ะ?”รพีพงษ์กล่าวรอยยิ้ม
อารียาพูดกับรพีพงษ์ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียง และเอ่ยปากว่า: “เอาล่ะ รีบตื่นได้แล้ว ฉันยังต้องไปให้หนูลินดื่ม…..อะแฮ่ม รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินอารียาพูดแบบนี้ รพีพงษ์ก็เลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่ารสสัมผัสบางอย่างยังอยู่
หลังจากตื่นนอน รพีพงษ์และอารียาก็ไปอุ้มหนูลินด้วยกัน รพีพงษ์ก็ได้ลองเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเด็ก และฉากนั้นค่อนข้างวุ่นวาย
ในช่วงบ่าย ภายใต้การร้องขออย่างหนักแน่นของไออ้วนและดำเกิงทั้งสองคน รพีพงษ์จึงพาพวกเขาไปที่ของทานเล่นตามถนนที่มีชื่อเสียงในเกียวโต ทั้งสองคนไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองมากนัก ดังนั้นสำหรับสถานที่ของทานเล่นตามถนนแบบนี้ มีความโหยหาอยู่ลึกๆมาโดยตลอด
ถนนของทานเล่นนี้มีชื่อว่าถนนวัชรสาร เป็นสถานที่รวบรวมอาหารที่เลิศรสในเกียวโตไว้ เป็นเพราะมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างโด่งดัง จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในเกียวโต ดังนั้นทุกวันจึงมีนักท่องเดินทางมาค่อนข้างมาก
รพีพงษ์จำได้ว่าตอนเด็กๆตัวเองชอบกินร้านอาหารเก่าแก่บนถนนสายนี้มาก ดังนั้นจึงพาไออ้วนและดำเกิงมาที่ร้านอาหารนี้
พวกเขาทั้งสามคนหาโต๊ะได้แล้วนั่งลง รพีพงษ์สั่งเมนูอาหารอร่อยๆทั้งหมดในร้านมาอย่างล่ะหนึ่งอย่าง จากนั้นก็สั่งเบียร์ไปไม่กี่ขวด และกินไปพร้อมกับพวกเขาด้วย
ทันทีที่ไออ้วนเห็นอาหารเลิศรส ได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาหมดในทันที ยับยั้งชั่งใจใดๆของยอดฝีมือเน่ยจิ้งชั้นต้นก็ไม่มีเลย กินอาหารบนโต๊ะอย่างตะกละตะกลาม
ดำเกิงเองก็ยังอดไม่ได้ ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เมื่อมองเห็นอะไรก็กินอะไรกินอย่างมูมมาม
“พวกนายสองคนกินช้าๆหน่อย ไม่พอก็ค่อยสั่งอีก ระวังอย่าให้ติดคอตัวเองล่ะ”รพีพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
โต๊ะข้างๆรพีพงษ์พวกเขา เป็นกลุ่มคนที่ดูไปแล้วหรูหราฐานะร่ำรวย คนเหล่านี้ดูไม่เหมือนในคนท้องถิ่นของเกียวโต แต่ว่าจากลักษณะท่าทางก็สามารถมองออกได้ ฐานะของคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในบรรดาคนเหล่านี้มีเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียว เมื่อเห็นท่าทางของไออ้วนและดำเกิงที่กินอาหาร ก็แสดงความดูถูกออกมาทันที
“คนบ้านนอกคอกนาจริงๆ หรือว่าชาติก่อนจะอดอยากจนตายเหรอ? กินมูมมามอย่างกับหมู น่าขยะแขยง”