พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 117
ภาพเหตุการณ์อันน่าสลดที่มิเอลผลักท่านเคานต์ตกบันไดนั้น กลายเป็นป่าไปภายในชั่วพริบตา
ตอนนี้เป็นป่าที่รู้สึกคุ้นชินขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
นอกจากนี้ยังมีคฤหาสน์อยู่ด้านหน้าเธอที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามกว่าครั้งที่แล้วด้วยดอกไม้และสิ่งของประดับ
“เลดี้ เลดี้! เลดี้อาเรีย! ได้ยินผมไหมครับ บาดเจ็บตรงไหน…!”
เบื้องหน้าเธอมีอาซที่เรียกชื่อของอาเรียอยู่อย่างต่อเนื่อง เธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่หน้าของเขาซีดเผือดราวกับจะเป็นลมล้มพับลงไปเสียเดี๋ยวนี้
สิ่งนั้นดูเสมือนกับภาพลวงตา
“เลดี้!”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของอาซที่เรียกชื่อของตัวเองก้องอยู่ภายในหูของเธออย่างชัดเจน แต่เธอก็ไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้ ราวกับเธอไม่ได้ยิน
มิเอลที่ผลักพ่อของตัวเองลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย กับท่านเคานต์ที่ยื่นมือมาหาตัวเธอด้วยตาเบิกโพลงในช่วงวินาทีที่กำลังจะตกลงไป และอาซที่มาปรากฏตัวในช่วงเวลาอันเหลือเชื่อนั้น
ด้วยความที่มีเรื่องที่เธอไม่อาจคาดคิดมาก่อน เกิดขึ้นอย่างติดต่อกัน อาเรียจึงได้สติในที่สุดหลังจากที่อาซเรียกชื่อเธออยู่หลายครั้ง
“คุณอาซ…”
อาเรียที่รีบลุกขึ้นนั้น ล้มลงไปบนพื้นอีกที เพราะขาของเธอยังไม่มีแรง อาซจึงรีบเข้ามาประคองเธอ
“…เป็นอะไรไหมครับ!”
“คะ ค่ะ… ไม่เป็นไรค่ะ”
อาเรียกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อเรียกสติ แล้วมองเช็กดูมือของตัวเอง โชคดีที่นาฬิกาทรายยังคงอยู่ในมือของเธออย่างครบถ้วน
เธอต้องพลิกนาฬิกาทรายแล้วย้อนกลับไปก่อนที่มิเอลจะผลักท่านเคานต์ตกบันไดให้ได้ เพราะอย่างนั้นก็จะไม่เปิดประตูให้ตอนที่เธอมาที่ห้อง แล้วก็ทำเป็นว่าเธอไม่อยู่ และทำให้เรื่องทุกอย่างไม่เกิดขึ้น…!
“…”
ในวินาทีที่อาเรียกำลังจะพลิกนาฬิกาทรายนั้นเอง อาเรียสะดุ้งเฮือกแล้วยืดตัวขึ้น เพราะมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
‘…เวลามัน ผ่านไปเท่าไรแล้วนะ’
เธอไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไรหลังจากที่มิเอลผลักท่านเคานต์
เวลาที่สามารถใช้นาฬิกาทรายย้อนกลับไปได้คือแค่ 5 นาทีเท่านั้น เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก เดิมทีเธอจึงมักจะเช็กและคำนวณเวลาจากนาฬิกาพกก่อนจะใช้นาฬิกาทรายอยู่เสมอ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นั้น เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนเธอไม่สามารถเช็กนาฬิกาพกก่อนได้
แม้แต่ในช่วงวินาทีนี้ที่เธอกำลังคิดว่าเธอควรจะย้อนอดีตกลับไปดีไหมนั้นเอง เวลาก็ยังคงเดินไป 1 วินาที 2 วินาทีอย่างไม่มีหยุดพัก ทำให้ความลังเลของเธอก็เพิ่มค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น
‘ถ้าพลิกนาฬิกาทรายตรงนี้… ก็จะกลายเป็นว่าเหลือฉันอยู่ตรงนี้คนเดียวน่ะสิ’
เท่าที่เธอเคยเจอมานั้น พอพลิกนาฬิกาทราย ทุกคนรอบๆ ตัวเธอจะย้อนอดีตกลับไป 5 นาทีก่อน แต่อาเรียจะอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ย้อนกลับไป
หากเธอพลิกนาฬิกา แต่ตัวเธอก็ยังคงอยู่ในป่านี้ และหากเวลาย้อนกลับไปตรงจุดที่อาซมาปรากฏตัวที่คฤหาสน์ หลังจากที่สร้อยข้อมือเธอขาดตอนที่มิเอลผลักท่านเคานต์ตกบันไดแล้วล่ะ
คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านั้นแล้ว
นาฬิกาทรายไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบันได้ เธอต้องสงบสติอารมณ์ และหาวิธีอื่น
“ก่อนอื่นกลับเข้าไปในคฤหาสน์กันก่อนดีกว่าครับ”
น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงของอาซดังก้องอยู่ในหัว แม้ว่าอาซจะช่วยประคองอาเรียที่ล้มลง แต่ก็เพราะเธอยังคงนั่งบนพื้นสกปรกอยู่อย่างนั้น
เธอพยักหน้าและพยายามจะลุกขึ้น แต่แล้วจู่ๆ ความรู้สึกเดจาวูก็แวบเข้ามา
‘…จะว่าไปแล้ว คุณอาซมาปรากฏตัวตรงนั้นได้อย่างไรกันนะ’
มาปรากฏตัวได้อย่างไรกัน
ทั้งที่ไม่ใช่วันที่ต้องมาเยี่ยม และก็ไม่ใช่ห้องของเธอที่มาปรากฏตัวประจำด้วย
เขาโผล่มาข้างๆ อาเรียราวกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
บางที… ถ้าเขาไม่มา เธออาจจะพลิกนาฬิกาทรายและเลี่ยงสถานการณ์ไปได้ก็ได้ไม่ใช่หรือ
พอเธอคิดเช่นนั้น เธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจและโกรธเล็กน้อย เพราะคิดว่าเขามาขวางเธอเอาไว้
“…มาได้อย่างไรคะ ไม่ใช่วันที่สัญญากันไว้นี่คะ”
แล้วอาซก็เว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ
“…สร้อยข้อมือมันขาดน่ะครับ”
“สร้อยข้อมือหรือคะ”
“…ความจริง ผมร่ายเวทมนตร์ใส่ลงไปในสร้อยข้อมือที่ให้เลดี้ครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ผมจะได้รู้น่ะครับ แต่จู่ๆ มันก็ขาด… พอรู้ว่าสร้อยข้อมือขาด… ผมก็เลยตกใจ เกรงว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเลดี้น่ะครับ”
มองปราดเดียวเธอก็คิดไว้อยู่แล้วว่ามันดูไม่ปกติ แต่เธอไม่คิดว่าจะมีความหมายอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น เรื่องที่มีเวทมนตร์อะไรแบบนั้น ก็ไม่ได้น่าประหลาดใจอีกต่อไปแล้ว การเคลื่อนย้ายผ่านอวกาศและการย้อนเวลาก็เป็นเวทมนตร์เล็กๆ น้อยๆ ประมาณนั้นแหละ
ยิ่งไปกว่านั้นพอได้ยินเขาบอกว่าเป็นห่วง แล้วก็รีบวิ่งมาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังทันทีแบบนั้น แล้วจะไปว่าอะไรได้ลงกัน อีกทั้งความสามารถที่เขาปกปิดมาตลอดก็ถูกเปิดเผย
หากคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้มีแค่มิเอลเพียงคนเดียว แต่มีเป็นสิบ ไม่สิ เป็นร้อยคนละก็…
อาเรียวางมือซ้อนบนมือของอาซที่กำลังโอบไหล่เธออยู่
“…ขอบคุณที่มานะคะ”
น้ำเสียงที่ฟังดูผ่อนคลายลงแล้วนั้น ถูกเปล่งออกมาอย่างสั่นเทา เรื่องเพียงแค่อาซมาปรากฏตัว และเธอย้อนเหตุการณ์อันน่าสลดนี้กลับไปไม่ได้นั้น เข้าครอบงำสมองเธอ ทำให้เธอรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แต่เธอก็รู้สึกขอโทษกับเรื่องนั้น
จะมีใครบนโลกนี้ที่ทำเพื่อตัวเธอขนาดนี้อีกหรือ ไม่ ไม่มีอีกแล้ว เธอยืนยันได้
คำสารภาพอันจริงใจของอาเรีย ทำให้อาซหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนจะโผเข้ากอดเธอแน่นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาโอบอาเรียไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปเสียเดี๋ยวนั้น
“ขอบคุณมากนะครับที่ปลอดภัย”
ในป่าอันมืดมิดแห่งนี้ ทั้งสองได้รู้สึกถึงความสำคัญของกันและกันอย่างยาวนาน โดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
* * *
แม้จะบอกว่าเป็นฤดูร้อน แต่พอตกกลางคืน ลมก็ค่อนข้างเย็น จึงเข้าไปด้านในบ้านตากอากาศของอาซ
ภายในบ้านตากอากาศที่เตรียมไว้ในป่านั้น ดูหรูหราเป็นประกาย ต่างกับภายนอกที่ดูเรียบง่าย ทั้งพื้นและวอลล์เปเปอร์ ทุกอย่างดูงดงามเสียจนอยากจะชื่นชมดูทีละชิ้น ทีละชิ้นขึ้นมา
ทำให้นึกถึงคฤหาสน์ของเฟรย์ที่แม้จะเล็กแต่หรูหรา เหล่าราชวงศ์ทุกคนคงจะคิดเช่นนั้นแล้วหัวเราะออกมา แต่เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เธอไม่อาจหัวเราะออกมาได้
อาเรียเข้าไปยังห้องรับแขกตามที่อาซที่จับมือเธออยู่นำทาง แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม จิบชาที่พ่อบ้านผู้เฝ้าคฤหาสน์นำมาให้
มันเป็นชาดำใส่น้ำผึ้ง ชานั้นดูเหมือนจะทำให้สติที่กระเจิดกระเจิงของเธอกลับมาสงบลงได้เล็กน้อย พอได้กลิ่นอันหอมหวานของชาแล้ว ก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาก และเหนือสิ่งอื่นใด การที่มีอาซอยู่ด้วยในสถานการณ์ยากลำบากนี้คือการปลอบโยนที่ยอดเยี่ยมที่สุด
อาซที่เฝ้าดูสีหน้าของเธอที่ค่อยๆ กลับมาเป็นปกตินั้น ก็เอ่ยปากถามเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อย่างระมัดระวัง
“ถ้าผมเดาไม่ผิด… เลดี้ติดกับเธอใช่ไหมครับ”
“…น่าจะค่ะ พอมิเอลเรียก ฉันก็เลยออกไปนอกห้อง แล้วจู่ๆ เธอก็ผลักท่านพ่อตกบันไดค่ะ”
แล้วเธอก็กำลังจะกรีดร้องออกมาเพื่อใส่ร้ายเธอพอดี ถ้าอาซไม่มา มันก็จะเป็นสถานการณ์ที่เธอสามารถขวางเอาไว้ได้อย่างง่ายดายด้วยนาฬิกาทราย
‘…ไม่สิ พอคิดอีกครั้งแล้ว ก็อาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้’
ถึงจะฝืนไม่ออกไปนอกห้อง แต่ถ้ามิเอลยืนยันว่าไม่ได้ทำ ก็จบเห่ เพราะเธอไม่มีพยาน ดูเหมือนมิเอลจะเรียกอาเรียออกไปนอกห้องเพื่อจะถามอะไรให้แน่ใจ แต่หากเธอยืนกรานว่าอาเรียผลักท่านเคานต์ แล้วหนีเข้าไปในห้อง ก็จบกัน
แน่นอนว่าอาเรียจะเถียงว่าไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ แต่ปัญหาคือเหล่าคนที่มาเยี่ยมคฤหาสน์วันนั้นอยู่ฝ่ายใคร
“นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่เธอเรียกเหล่าหญิงสาวมางานเลี้ยงน้ำชากันเยอะแยะสินะคะ”
อาซไม่เข้าใจจึงถามกลับ
“หมายถึงอะไรหรือครับ”
“หมายถึงเธอทำเช่นนั้นก็เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้จุดยืนของตัวเองผู้ไม่มีพยานน่ะสิคะ”
พวกเธอคงจะคิดว่าไม่มีทางที่มิเอลจะผลักท่านเคานต์ตกบันไดได้ และคนร้ายก็จะกลายเป็นอาเรียไปโดยปริยาย ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานอะไรเลยก็ตาม
อาเรียอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างคร่าวๆ เธอคิดไว้อยู่แล้วว่ามันแปลกที่เธอจัดงานเลี้ยงน้ำชาที่ทั้งใหญ่โตและยาวนานอย่างไม่สมกับเป็นเธอ แต่เธอคงจะหวังให้เหล่าหญิงสาวที่มาร่วมนั้นเป็นพยานให้ตัวเอง
“ช่างเป็นหญิงที่เฉลียวฉลาดเหลือเกินนะครับ”
อาซพูดพลางกัดฟันของเขาแน่น น้ำเสียงของเขาซ่อนความน่ากลัวที่ฟังดูเหมือนหากมิเอลอยู่ตรงหน้า เขาจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ ให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น
“ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่แตะต้องครอบครัวท่านเคานต์ เพราะเห็นว่าเป็นครอบครัวของเลดี้ แต่…”
เพราะอย่างนั้นถึงได้ดูเหมือนว่าครอบครัวท่านเคานต์ปลอดภัยดี ในขณะที่เหล่าขุนนางค่อยๆ ทยอยโดนลงโทษไปทีละคน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นกุญแจสำคัญ
เรื่องนั้นทำให้นัยน์ตาของอาเรียดูเย็นชาลงเป็นอย่างมาก
“ครอบครัวหรือคะ สำหรับฉันแล้วครอบครัวมีเพียงแค่ท่านแม่คนเดียวเท่านั้นค่ะ ส่วนที่เหลือ… พวกเขาไม่ได้ดีขนาดเป็นครอบครัวได้ อย่างที่ท่านเห็นแหละค่ะ”
ตั้งใจจะใช้ประโยชน์แล้วก็ฆ่าทิ้ง สิ่งนั้นเรียกว่าครอบครัวได้หรือ อาเรียมีท่าทางเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ
อาซที่มองดูท่าทีนั้นอยู่ ก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้นและความสงสารที่มีต่อเธอ
“…ถ้าเลดี้คิดเช่นนั้น เขาก็ต้องให้ชดใช้ความผิดต่อเรื่องในครั้งนี้อย่างสาสมครับ”
“…ทำอย่างไรคะ เธอคือคนที่ตั้งใจและพยายามจะกล่าวหาฉันนะคะ”
ในตอนที่เธอกำลังคิดว่าครั้งนี้การเลี่ยงกับดักที่วางไว้คงจะเป็นการดีที่สุดนั้นเอง อาซก็ถามอาเรียถึงกิจวัตรประจำวันของเธอในวันนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ตอนเช้าไปโรงเรียน ตอนบ่ายดื่มชากับเลดี้ซาร่า แล้วกลับมาคฤหาสน์ตอนพระอาทิตย์ตกค่ะ งานเลี้ยงก็กำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนานเต็มที่เลยค่ะ ฉันไม่สบายใจ แล้วก็อยู่แต่ในห้องค่ะ”
“หลังจากเข้าห้องไปแล้ว ได้เจอใครบ้างไหมครับ”
“เจสซี่สาวใช้ของฉัน ทำความสะอาดห้องแล้วก็ออกไปกลางคันค่ะ”
หลังจากนั้นท่านเคานต์ก็กลับมา แล้วมิเอลก็มาเคาะประตู อาซฟังเธออธิบายถึงตรงนั้น จู่ๆ เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ราวกับเป็นเรื่องที่ฟังแล้วโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“โล่งอกไปทีครับ”
แล้วเขาก็พูดสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ออกมา
“โล่งอกหรือคะ”
“เพราะผมมีโอกาสที่จะช่วยเลดี้ด้วยความสามารถของผมน่ะสิครับ และยังทำให้คนที่พยายามทำร้ายเลดี้ต้องชดใช้ความผิดได้ แล้วก็ยังเป็นโอกาสที่จะตอบแทนความช่วยเหลือที่เคยได้รับจากเลดี้อีกด้วยครับ”
อาเรียเอียงคอราวกับไม่เข้าใจความหมาย
อาซที่จิบชาอึกหนึ่ง และกู้ความสบายใจคืนกลับมาได้ อธิบายถึงแผนการที่จะช่วยอาเรียและทำให้มิเอลได้รับบทลงโทษสถานหนัก
“วันนี้ หลังจากเลดี้ถึงคฤหาสน์แล้ว เลดี้ก็ออกจากเมืองหลวงมากับผมทันทีครับ”
“…คะ”
“เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่อยู่ที่คฤหาสน์ยังไงละครับ เพราะเลดี้แอบหนีออกมา แล้วก็”
“เราจะสร้างหลักฐานที่อยู่ว่าเลดี้ข้ามพรมแดนไปกับผม ไม่ได้อยู่ ณ ที่เกิดเหตุในเวลานั้นครับ โดยที่เราจะกะเวลาให้พอดี ซึ่งเลดี้จะต้องออกจากคฤหาสน์ทันทีที่กลับถึงคฤหาสน์ครับ อาจจะดีกว่าถ้าทำให้เวลากระชั้นกันครับ ขนาดที่ให้ย้อนถามกลับมาว่าเป็นไปได้หรือที่จะเคลื่อนที่ไปถึงตรงนั้นด้วยความเร็วของมนุษย์ได้น่ะครับ เพื่อให้ไม่มีใครคิดสงสัยได้”
“…!”
ตอนนั้นเองอาเรียถึงได้เข้าใจจุดประสงค์ของอาซ แล้วเธอก็สูดหายใจเข้า
ทว่าเจสซี่และแอนนี่รู้อยู่ว่าฉันไม่ได้ออกไปไหนนะ…
‘ไม่หรอก ถ้าเป็นพวกเธอที่ฉลาดและภักดีแล้วละก็ คงจะไม่พ่นคำพูดอะไรไร้สาระหรอก’
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นเรื่องหมูๆ ขนาดนี้
แต่แผนของอาซยังไม่จบเท่านั้น
“แล้วก็จะให้คนเลวที่ตั้งใจจะใส่ร้ายเลดี้ได้รับบทลงโทษสถานหนักครับ”
“หมายความว่าจะใช้ประโยชน์จากมันกลับสินะคะ”
ดวงตาของอาเรียที่ตอบกลับไปเช่นนั้น ก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะเธอได้รับโอกาสในการตะครุบเหยื่อที่เธอเล็งมานานหลายครั้ง
แล้วเธอก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา
“จะว่าไป ฉันทำสร้อยข้อมือขาดน่ะค่ะ พอจะหาสร้อยที่เหมือนกันให้ได้ไหมคะ”
มีความเป็นไปได้ที่หญิงชั่วนั่นจะใช้สร้อยข้อมือเป็นหลักฐาน ดังนั้นเธอจึงคิดขึ้นมาได้ว่าต้องหาสร้อยข้อมือที่เหมือนกัน และเตรียมพร้อมอย่างละเอียดรอบคอบ
อาซยกมือซ้ายของเขาพับแขนเสื้อขึ้น แล้วตอบอาเรียด้วยรอยยิ้ม ราวกับเข้าใจจุดประสงค์ของเธอ
“แน่นอนสิครับ”
* * *
“…ให้ใส่ชุดนี้หรือคะ”
“ไม่ชอบหรือครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่…”
ไม่หรูหราเกินไปหน่อยหรือ
จำนวนเพชรและทองที่ฝังอยู่อย่างแน่นหนาตามขอบเสื้อตามหน้าอกของเดรสสีแดงเพลิง และพวกไข่มุกเล็กๆ ที่โปรยปรายไปทั่วขอบกระโปรงราวกับแสงดาวนั้น ทำให้รู้สึกแสบตา
“ก็ต้องโชว์ตัวเลดี้ให้หลายๆ ที่เห็นไม่ใช่หรือครับ”
“…”
สุดท้ายเธอก็ต้องเปลี่ยนเป็นเดรสที่อาซเป็นคนเตรียมมาให้ เพราะไม่มีทางเลือก เธอใส่ได้พอดีมากขนาดที่นึกสงสัยว่าเขาเอาชุดที่ไซส์พอดีกับตัวเธอขนาดนี้มาได้อย่างไร
หลังจากที่เธอเปลี่ยนชุดและจัดผมให้ดีด้วยตัวของเธอเองคนเดียวเพราะไม่มีสาวใช้มาช่วยแต่งแล้ว อาเรียก็เช็กดูรูปลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งงดงามระดับที่เผลออุทานออกมาเอง แล้วจึงออกจากห้องมา
อาจจะเป็นเพราะเธอใช้เวลานานไปเสียหน่อย พออาซที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนโซฟารู้สึกตัวว่าอาเรียออกมาแล้ว เขาก็หันกลับไปดู แล้วเบิกตาโต ตัวแข็งทื่อ
“…”
พูดอะไรหน่อยสิ
ในขณะที่เขาจ้องมาที่เธอโดยไม่ได้พูดอะไรนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“…ดูแปลกหรือคะ ถึงได้บอกไงคะว่าหรูเกินไป”
แม้จะรู้อยู่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นดูจากหูที่แดงระเรื่อขึ้นมาของเขา แต่เธอก็ถามไปเช่นนั้นเพราะอยากจะฟังคำตอบที่ต้องการ แล้วอาซก็กะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นราวกับว่าตั้งสติได้แล้ว
“ผมเตรียมชุดที่คิดว่าน่าจะเข้ากับเลดี้ไว้ก็จริง แต่… ถ้าเข้ากับเลดี้มากขนาดนี้ ก็คงจะลำบากหน่อยครับ”
“…ทำไมกันละคะ”
เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วถามเขาอีกครั้ง อาซที่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ก็ค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้อาเรีย
เขาเขยิบเข้ามาอยู่ใกล้อาเรียได้ภายในทันที เพราะทั้งคู่ไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก เขาจับมือของเธอ แล้วจุมพิตลงที่หลังมือ ก่อนจะเอ่ยปากพูด
“เพราะผมกลัวว่าคนอื่นจะตกหลุมรักเลดี้น่ะสิครับ แล้วผมก็จะรับมือด้วยได้ยากครับ”
ถึงจะได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้วก็เถอะ
หูของเขาผู้แสร้งทำเป็นพูดจาเป็นผู้ใหญ่และทำเหมือนไม่ได้คิดอะไรนั้น แดงขึ้นมา ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว หัวใจของเขาที่เป็นคนพูดสิ่งเหล่านั้นออกมาเอง ก็คงส่งเสียงราวกับจะระเบิดออกมา
อาเรียกุมมือของเขาแน่น
“…ถึงอย่างนั้นคนที่ฉันเลือกก็คือคุณอาซนะคะ”
ต่อให้อาซจะไม่ใช่เจ้าชาย เธอก็คงจะเลือกเขาอยู่ดีไม่ผิดแน่
ไม่สิ หากเขาเป็นสามัญชน ก็คงตัดสินใจได้อย่างง่ายดายกว่าตอนนี้เสียอีก
ดวงตาของอาซสั่นครั้งหนึ่ง ราวกับเขารับรู้ความจริงใจของอาเรียจากคำตอบนั้น มันเป็นคำตอบที่ต่อให้ฟังเป็นพันๆ ครั้ง ก็ไม่มีวันเบื่อ ทว่าจู่ๆ สายตาของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสายตาที่ปนไปด้วยความขุ่นเคือง
“เฮ้อ…”
“ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ…”
อาเรียเบิกตากลมโพลงด้วยความตกใจ และพอเธอถามกลับ เขาก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง สายตานั้นละจากเธอมาสักพักหนึ่งแล้ว
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าผมช่างเป็นคนที่หน้าไม่อายเหลือเกินน่ะครับ เลดี้ทั้งยังเด็กและไร้เดียงสาขนาดนี้…”
ให้ตายสิ ถ้าผู้ชายคนอื่นพูดอะไรแบบนั้น ฉันคงจะตบเข้าที่หน้าให้แล้ว แต่อาซนั้น… ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงแล้วฉันอายุมากกว่าเขาเยอะ และไม่ใช่คนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เธอคิดว่าถ้าไม่ใช่เพียงเพื่อสถานการณ์ เธอคงจะตอบไปแล้วว่าจะไร้ยางอายก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แม้ไม่รู้ว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ แต่เธอก็คิดว่าเธอคงจะตอบกลับไปว่าถึงจะทำแบบนั้นก็ไม่เป็นไร
เขาเหม่อมองไปในอากาศ ไม่ขยับเขยื้อนอยู่พักหนึ่ง เหมือนกับเป็นวิธีการที่จะช่วยทำให้หัวใจของเขาสงบลงอะไรแบบนั้น
จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปหาอาเรียด้วยใบหน้าบ่งบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสมือนเขาได้ยอมรับความไร้ยางอายของเขาแล้ว
“ไปกันเลยไหมครับ”
อาเรียเผยยิ้มเล็กๆ ให้เขา แล้วพยักหน้า ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหายไปจากบ้านพักตากอากาศหลังเล็กท่ามกลางป่าภายในชั่วพริบตา
………………………………………………………..