พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 12
บทที่ 12
Ink Stone_Romance
ก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของซาร่า อาเรียได้เอ่ยถามเธอว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งหมดกี่คน
“รวมดิฉันกับเลดี้อาเรียแล้วก็จะมีหกคนค่ะ”
เหตุผลคือเธอจะได้มอบผ้าเช็ดหน้าปักมือให้กับผู้เข้าร่วมทุกคนนั่นเอง การมอบสิ่งของปักลายเป็นของขวัญให้กันระหว่างหญิงสาวตระกูลผู้ดีนั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้พวกเธอรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแน่นแฟ้น
ในอดีตเธอมักจะเป็นฝ่ายได้รับอัญมณีแสนงดงามจากบรรดาชายหนุ่มอยู่เสมอ เรื่องการให้และรับสิ่งของปักทำมือระหว่างกันจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจยากสำหรับเธอ แต่เมื่อซาร่าพูดเช่นนั้น เธอจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว พวกเธอยังมักจะนำภาพที่วาดเอง บทกลอนโบราณ หรือแม้แต่บทความง่ายๆ มาแลกเปลี่ยนกันอีกด้วย และก่อนที่จะนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นก็มักจะพูดให้แม่หรือพี่น้องของตนได้ฟังเรื่องราวก่อน
อาเรียลองจินตนาการว่าเธอกับมิเอลทำอย่างนั้นให้กัน แค่นั้นเธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจนต้องกลั้นอาเจียนที่พุ่งขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้ว
ถ้าเป็นสีกับหมึกที่ทำจากยาพิษก็ว่าไปอย่าง เธอไม่มีทางทำเรื่องน่าอายและน่าคลื่นไส้แบบนั้นกับมิเอลเด็ดขาด
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะทำแบบนั้นกับบุตรสาวคนอื่นๆ ได้หรือไม่ เธอไม่เคยอ่านหนังสือมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
ซาร่าเห็นแล้วว่ายิ่งอธิบายซ้ำๆ อาเรียก็ยิ่งหน้าซีดลงเรื่อยๆ ดังนั้นจึงแนะนำเรื่องผ้าเช็ดหน้าซึ่งเป็นหนึ่งในหลายวิธีให้เธอไป
เพราะเธอจะได้ไม่ถูกต่อต้านขณะที่ช่วยกระตุ้นพรสวรรค์อื่นของอาเรียขึ้นมา อีกทั้งความสามารถของเธอก็ได้รับการพิสูจน์แล้วด้วย
“ถ้าปักเป็นตราประทับแต่ละตระกูลจะซับซ้อนไป ฉะนั้นปักตราประจำอาณาจักรก็ได้ค่ะ”
ซึ่งตราประทับประจำอาณาจักรก็คือดอกทิวลิป มันไม่ใช่ลายที่ยากเลย ฉะนั้นใช้เวลาสักสองวันก็คงเสร็จทันสำหรับสี่คน
อาเรียดูลายปักดอกทิวลิปที่ซาร่าเตรียมมาด้วยตัวเองและปักผ้าเช็ดหน้าทั้งหกผืนจนเสร็จ
อาเรียไม่จำเป็นต้องปักให้เธอเองดังนั้นเธอสามารถปักเพียงห้าผืนก็ได้ แต่เธอมีอีกคนที่อยากให้มันเป็นของขวัญอยู่ต่างหาก และคนคนนั้นก็คือมิเอลนั่นเอง
อาเรียมอบผ้าเช็ดหน้าที่ปักเป็นลายตราประทับของอาณาจักรให้เธอเพื่อทำให้อารมณ์ของเธอที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกเย็บผ้านั้นปะทุขึ้นมา
“พี่ชักอยากเห็นผ้าเช็ดหน้าที่น้องทำเร็วๆ แล้วสิ ท่านพ่อเองก็คงรออยู่เหมือนกัน”
อาเรียยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ
งานฝีมือที่ถูกปักอย่างประณีตด้วยดายชั้นดีช่างงดงาม ดอกทิวลิปสีแดงสดใสดูสดใหม่ราวกับงอกงามออกมาจากบนยอดเขา
สาวใช้ที่แอบมองอยู่ไกลๆ ไม่อาจเก็บสีหน้าตกใจของเธอเอาไว้ได้ และมิเอลก็ทำได้เพียงขบกัดริมฝีปากล่างตัวเองไว้ เป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้ ดูท่าแล้วความสามารถของมิเอลคงยังไม่พัฒนาขึ้นสักเท่าไหร่
“หรือถ้าน้องมีผืนที่ทำเสร็จแล้ว พอจะให้พี่ดูหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้ค่ะ! ไม่มี ยังไม่มีเลย”
หลังมือของมิเอลที่กำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นกลายเป็นสีขาวซีด
กวนอารมณ์เพียงเท่านี้คงทำให้เจ้าหล่อนตะเกียกตะกายอยู่กับความผิดหวังไปสักพัก ก่อนที่มิเอลจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้เหมือนอย่างที่เคยเป็น เธอจำเป็นต้องกดดันลงไปบ้างสักครั้ง
แต่หากแกล้งมากเกินไปสายตาของคนรอบข้างก็อาจจะหันมาหาเธอแทนเหมือนในอดีต ดังนั้นจึงต้องปรับแรงให้เหมาะสม
คงจะดีทีเดียวหากมิเอลจะซื่อบื้ออย่างนี้ไปจนตาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปมิเอลก็ต้องฉลาดขึ้นเหมือนกัน
ตอนนี้เธอยังเด็กและไม่สามารถรับมือได้เพราะไม่มีใครแสดงออกว่าเป็นปฏิปักษ์กับตน แต่เมื่อใดที่เธอเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว เมื่อนั้นเสี้ยนหนามแหลมคมคงถึงคราวปักลงมาไม่ต่างจากสว่าน
เธอรู้ดีว่าเวลานั้นใกล้มาถึงในอีกไม่นานแล้ว เพราะตามสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นก็คือมิเอลจะมอบสาวใช้ให้เธอเร็วๆ นี้ และอาเรียผู้โง่เขลาก็จะตกหลุมพรางของเธอโดยการโยนขวดน้ำออกไป ถึงจะเป็นเด็กก็ไม่สามารถไว้ใจได้
‘ถึงแม้ฉันที่เป็นคนโยนจะเป็นเด็กที่ร้ายที่สุดจริงๆ ก็เถอะนะ’
พอย้อนนึกไปถึงวันนั้นเหงื่อก็พลันไหลท่วมทั้งหลังและมือ นี่คือจุดเริ่มต้นของอดีตอันแสนมืดมน ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของอาเรียก็เริ่มเน่าเฟะขึ้นทีละน้อย ในขณะที่แสงสว่างของมิเอลผู้แสนจะสดใสก็ค่อยๆ ลบการมีอยู่ของอาเรียให้หมดไปเช่นกัน
ดังนั้นเธอจึงต้องสร้างฐานให้มั่นคงในหลายๆ ด้าน เพราะมันไม่ใช่ปัญหาที่จะจบได้ง่ายๆ ด้วยความเจ็บปวดเพียงชั่ววูบเดียว
แม้จะมีพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างการล่วงรู้อนาคตแต่นอกจากนั้นแล้วความรู้พื้นฐานและความสัมพันธ์ดีๆ ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เธอไม่ควรพอใจที่สามารถจับซาร่ามาเป็นพวกได้เพียงแค่คนเดียว
อาเรียบอกกับมิเอลว่าวันนี้อากาศอบอุ่นเหมาะจะออกไปเที่ยวข้างนอกก่อนจะกลับห้องไป เพราะเธอหวังให้มิเอลใส่ชุดที่ออสการ์มอบให้ออกไปเดินเตร่ข้างนอกโดยเร็ว
จากนั้นเธอก็เตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงน้ำชาด้วยความช่วยเหลือจากเจสซี่ สีหน้าของเจสซี่หม่นลงทันทีที่เธอเลือกชุดที่ดูธรรมดาที่สุดในบรรดาชุดที่เธอซื้อมาเมื่อครั้งก่อน จริงอยู่ที่ทุกชุดก็มาจากตรงนั้นดังนั้นมันจึงเหมือนกันหมด แต่ใบหน้าเธอก็ดูเหมือนจะบอกว่าไม่ควรเป็นตัวนี้อยู่ดี
“เจสซี่ เป็นไงบ้าง”
“…เสื้อดูเรียบง่ายไปหน่อยแต่ก็เรียบร้อยแล้วก็เหมาะกับเลดี้ดีค่ะ”
เจสซี่เอ่ยตอบพลางช่วยจัดปกเสื้อให้อาเรีย
ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนที่ทั้งชุดมีเพียงจีบขอบเล็กน้อยที่หน้าอก แขนเสื้อ และสะโพกนั้นช่างธรรมดาเสียจนดูเหมือนของสามัญชนทั่วไปหากไม่มีเครื่องประดับรูปดอกไม้ที่เสียบอยู่บนผมกับโบหูกระต่ายที่คอ และรองเท้าทำมือคุณภาพดีเหล่านี้
แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ดูจะถูกใจกับชุดที่เธอสวมใส่อยู่นี้มากทีเดียว นี่เธอดูน่าสงสารขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ
ไม่ว่าใครมองก็คงคิดไม่ถึงว่าเธอผู้นี้คือบุตรสาวของท่านเคานต์ ทุกคนอาจจะมองเธอด้วยความสงสารทันทีที่เธอลงมาจากรถม้าก็เป็นได้
“ที่บอกว่าชุดเรียบๆ นี่เหมาะกับฉัน… เธอคงหมายความว่าของแบบนี้เหมาะกับฉันที่มีชาติกำเนิดที่แสนต่ำต้อยสินะ”
“มะ ไม่ใช่เช่นนั้นเลยค่ะ ดิฉันหมายความว่าไม่ว่าเลดี้จะใส่อะไรก็เหมาะกับเลดี้ทั้งหมด เพราะเลดี้สวยอยู่แล้วค่ะ…”
ทั้งที่เธอแค่พูดเล่นแต่เจสซี่กลับแก้ตัวเป็นพัลวันทั้งยังโบกมืออย่างเอาเป็นเอาตาย พอเห็นเธอหัวเราะคิกคักกับสิ่งที่ตัวเองทำ เจสซี่ก็หน้าแดง
ดวงตาของเจสซี่กลอกไปทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างคนที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทัน เธอไม่ได้มีใจประสงค์ร้ายหรือคิดไม่ดีกับเจสซี่ทั้งยังรู้สึกผิดกับการกระทำของเธอเองในอดีต จึงเลิกแกล้งเธอแต่เพียงแค่นี้
“ล้อเล่น”
“…ล้อเล่นหรือคะ”
นี่อาเรีย ‘คนนั้น’ ล้อเล่นอย่างนั้นเหรอ แม้หลังๆ มานี้อาเรียจะทำตัวอ่อนหวานขึ้นมาบ้าง แต่เธอก็ยังไม่ชินอยู่ดี
ช่วงนี้เธอไม่ได้ทำตัวเลวร้ายก็จริงแต่ก็ยังแปลก แต่หากถามว่าเธอแปลกไปตรงไหนก็ยากเกินกว่าจะตอบได้ เจสซี่ที่มักจะคอยดูแลเธออยู่ใกล้ๆ นั้นรู้ดีกว่าใครเลยล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจเอ่ยปากถามหรือตอบอะไรกลับไปได้ จึงได้แต่ยกยิ้มแหยไปให้อาเรียที่เล่นมุกแสนอันตรายนั้นออกมา
และเพราะอาเรียทำตัวสบายๆ กว่าเมื่อก่อนทำให้เจสซี่พอจะหายใจหายคอได้บ้าง ดังนั้นตอนนี้ย่อมดีกว่าแม้จะแปลกไปบ้างก็ตาม
หลังจากเตรียมตัวเสร็จอาเรียก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของซาร่าพร้อมด้วยผู้คุ้มกันทั้งสอง คนหนึ่งในผู้คุ้มกันอารักขาทั้งสองนั้นคือจอห์นที่กลายเป็นหมาของเธอไปแล้วในขณะที่อีกคนเป็นคนที่เธอเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
นี่คือครั้งแรกที่เขาได้กลับมาอารักขาอาเรียหลังจากวันนั้นและเหตุการณ์นั้น ทำให้จอห์นเอาแต่กระวนกระวายเหมือนลูกหมาอยากถ่ายจนผู้คุ้มกันคนอื่นมองเขาแปลกๆ
ระหว่างนั้นอาเรียก็พยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศไปเรื่อยเปื่อยเพราะกลัวว่าจะเกิดความเข้าใจผิดขึ้น
“ดีจังเลยนะที่ช่วงนี้อากาศกำลังดี อารมณ์ก็เลยดีไปด้วยเลย งานเลี้ยงน้ำชานี้จัดในสวน เพราะอย่างนั้นถ้าฝนตกลงมาคงน่าผิดหวังน่าดู”
โชคดีที่เสียงพูดของเด็กน้อยนั้นทั้งไพเราะและสดใสราวกับเสียงนกร้องที่ทำให้ยามเช้าสดใสขึ้นมา จนบรรยากาศน่าอึดอัดนั้นหายไปในพริบตา
ยิ่งไปกว่านั้นคือยังเด็กยังเล็ก ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกไม่เอ็นดูสาวน้อยที่กำลังทำตายิ้มคนนี้
นี่คือทักษะการเข้าสังคมที่เธอได้เรียนรู้จากอดีตที่เคยมีเพียงแค่รูปโฉมที่งดงามเท่านั้น มันเป็นวิธีที่จะได้รับสายตาและความสนใจของทุกคนโดยไม่เลือกเพศหรืออายุ
นอกจากนั้นยังเป็นอาวุธของอาเรียที่มิเอลผู้แสนสงบเสงี่ยมและเลิศเลอไม่อาจทำตามได้อีกด้วย
แต่บางคนก็คอยกระแนะกระแหนเธอว่าอาวุธของเธอคือสิ่งที่เธอได้รับจากมารดาของตัวเองที่เป็นเพียงโสเภณี
และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นอาเรียก็ยอมรับแต่โดยดี เธอมักจะตอบพวกเขาไปว่าการได้รับใบหน้าที่สวยงามและรอยยิ้มที่ดึงดูดสายตาคนรอบข้างมาจากแม่นั้นถือเป็นพรอันประเสริฐ เพราะยิ่งมีหนทางให้เธอได้ใช้มันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แม้กระทั่งตอนนี้ที่เธอได้กลับมายังอดีตอีกครั้ง เธอก็ยังคิดจะใช้มันไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะที่เธอสามารถรักษาชีวิตเอาไว้จนผ่านช่วงบรรลุนิติภาวะมาได้สักพักก็เป็นเพราะเหล่าคนที่รักในรูปร่างหน้าตาของเธอ แม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิดก็ตาม
คฤหาสน์ของครอบครัวชั้นสูงที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงทั้งหมดนั้นล้วนอยู่บนที่ดินที่ราคาแพงราวกับทองคำใกล้กับพระราชวัง ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานนักเพื่อมาให้ถึงคฤหาสน์ของซาร่า
ใบหน้าของผู้ดูแลคฤหาสน์และเหล่าคนรับใช้ที่มาต้อนรับอาเรียมีแต่มิตรไมตรีราวกับว่าซาร่าได้บอกพวกเขาไว้ก่อนแล้ว
คนรับใช้ต้อนรับอาเรียอย่างสุภาพก่อนจะแจ้งให้เธอทราบว่าบรรดาหญิงสาวทั้งหมดได้ไปรวมตัวกันอยู่ในสวนเรียบร้อยแล้ว นั่นเพราะเธอตั้งใจออกมาสายเอง
ก็ปกตินางเอกมักจะมาถึงเป็นคนสุดท้ายนี่นะ เธอจำเป็นต้องมาสายเพื่อให้ได้รับความสนใจจากทุกคน
แต่เธอก็ไม่อาจปลีกตัวออกไปเพียงลำพังได้จึงคิดจะไปให้เร็วขึ้นสักนิด อาเรียถามตำแหน่งของสวนจากคนรับใช้ที่คอยนำทางให้เธอห่างออกไปหนึ่งก้าว
“แค่เดินตามระเบียงนี้ไปอีกหน่อยครับ… เอ่อ เลดี้อาเรีย”
เมื่อรู้ตำแหน่งของสวนอาเรียก็เร่งฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นวิ่งทันที เหล่าผู้คุ้มกันและคนรับใช้จึงต้องเร่งฝีเท้าตามอาเรียที่อยู่ๆ ก็เดินจ้ำอ้าวไปด้วย คฤหาสน์หลังนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก อาเรียจึงมาถึงสวนได้ในเวลาไม่นาน
ภายในสวนที่เธอมาถึงพร้อมกับเสียงหายใจหอบเหนื่อยนั้นมีหญิงสาวรวมกันอยู่ห้าคน พวกเธอทุกคนต่างหันมามองอาเรียที่กำลังหายใจกระหืดกระหอบด้วยสีหน้าตกใจและงุนงง
อาเรียจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะจับชายกระโปรงยกขึ้นมาแล้วถอนสายบัวอย่างสุภาพ
“ฉันขอโทษที่มาสายค่ะ ฉันคืออาเรียแห่งตระกูลโรสเซนต์ และเป็นเพราะฉันไม่รู้ว่าควรแต่งตัวแบบไหนดีก็เลย…”
ก็ดูชุดฉันสิคะ ชุดที่มีแต่รอยเปรอะเปื้อนอย่างไรล่ะ
สายตาของเหล่าบุตรสาวต่างพุ่งไปที่ชุดของอาเรียเป็นตาเดียวเพราะการสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองได้รับความสนใจของเธอ ทุกคนต่างก็ตกใจกับชุดที่แสนซอมซ่อไม่ต่างจากชุดที่สามัญชนทั่วไปใส่กัน
แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีรสนิยมไปเสียเลย เพราะแม้เสื้อผ้าของเธอจะดูธรรมดาแต่เธอก็ยังใส่เครื่องประดับมากมายเพื่อดึงดูดสายตา ถึงจะบอกได้ยากว่าเครื่องประดับเหล่านั้นใช่ของมีราคาหรือเปล่าก็เถอะ
เหล่าบุตรสาวที่มารวมตัวกันอยู่ในสวนต่างพูดไม่ออกเพราะภาพของเธอช่างต่างจากข่าวลือมากเหลือเกิน ในจำนวนนั้นซาร่าคือคนที่ตั้งสติได้ก่อนใคร เธอเข้ามาทักทายอาเรียพร้อมกับบอกให้บุตรสาวคนอื่นๆ รักษามารยาทด้วย
ตอนนั้นเองพวกเธอถึงได้รู้ตัวว่าตนได้ทำกิริยาที่เป็นการเสียมารยาทไปเพียงใดและรีบเข้ามาทักทายอาเรียทันที
อาเรียกล่าวทักทายพวกเธอด้วยรอยยิ้มเขินอายและแก้มแดงระเรื่อ ภาพนั้นดูคล้ายดอกลิลลี่ดอกเล็กที่เป็นตราประทับของตระกูลท่านเคานต์โรสเซนต์ จนทำให้ความรักใคร่เอ็นดูประทับอยู่ในหัวใจของพวกเธอทุกคน
แม้จะมาสาย แต่เมื่ออาเรียมาถึงที่งานเลี้ยงน้ำชาก็เริ่มขึ้นทันที ชากุหลาบที่ถูกผลิตในต่างแดนอันไกลโพ้นถูกเตรียมเอาไว้ รวมทั้งคุกกี้และเค้กแสนหวานก็ถูกวางเอาไว้จนเต็มโต๊ะ
อาเรียผู้ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ไม่มีแอลกอฮอล์มาก่อนในชีวิตได้แต่เฝ้ามองงานนี้อย่างสนอกสนใจ แต่สำหรับคนอื่นๆ ภาพนั้นกลับทำให้พวกเขาตีความหมายไปอีกทาง และเสื้อผ้าแสนเรียบง่ายของเธอก็มีส่วนเสียด้วยสิ
ทำไมเธอถึงได้ดูบริสุทธิ์เหมือนคนธรรมดาทั่วไปขนาดนั้นกัน นี่คงไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งเคยเห็นคุกกี้กับเค้กเป็นครั้งแรกหรอกใช่ไหม แม้จะไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแต่เสื้อผ้าและท่าทางของอาเรียก็ทำให้พวกเธอคิดแบบนั้นอยู่ดี
ในที่สุดบุตรสาวคนหนึ่งที่ไม่สามารถเก็บความสงสัยเอาไว้ได้ก็ถามอาเรียออกไป
“บุตรสาวแห่งโรสเซนต์ เพิ่งเคยมางานเลี้ยงน้ำชาเป็นครั้งแรกใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ ครั้งนี้ครั้งแรกเลยค่ะ คุกกี้กับเค้กพวกนี้ดูน่ารักจังมากเลยนะคะ”
ตายจริง เสียงถอนหายใจหลุดออกมาจากปากของใครสักคน
มันมีทั้งความตกใจและความสงสารแฝงอยู่ เธอเข้ามาอยู่ในตระกูลท่านเคานต์ได้ 1 ปีแล้ว เป็นไปได้อย่างไรว่าเธอเพิ่งเคยไปงานเลี้ยงน้ำชาแค่งานเดียว
สาวๆ วัยแรกรุ่นในตระกูลชั้นสูงต่างก็ต้องเคยสนุกกับงานเลี้ยงน้ำชาในคฤหาสน์ของตัวเอง และเพื่อเป็นการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่แวดวงสังคมด้วย
ครอบครัวไหนที่มีพี่น้องก็จะจัดงานเล็กๆ ขึ้นกันเอง และครอบครัวไหนที่ไม่มีก็จะจัดโดยเชิญคนสนิทมาร่วมด้วย
ซาร่าเองก็มักจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาโดยเชิญบรรดาคนสนิทมาร่วมเพราะเธอไม่มีพี่น้อง และงานเลี้ยงน้ำชาในวันนี้ก็เช่นกัน งานเลี้ยงน้ำชาที่ควรจะมีเสียงพูดคุยกลับมีเพียงความเงียบ
ตอนนี้ในหัวของเหล่าบุตรสาวมีข้อสงสัยข้อหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือคำถามเล็กๆ ที่ว่าข่าวลือที่ทำให้โลกวุ่นวายข่าวนั้นเป็นแค่ข่าวโคมลอยหรือไม่ เพราะทั้งการแต่งตัว ท่าทาง คำพูด และรอยยิ้มที่สดใสของอาเรียทำให้พวกเธอคิดแบบนั้น
เหมือนกับที่ซาร่าได้ให้คำมั่นไว้ไม่มีผิด ก่อนที่อาเรียจะมาถึงนั้น ซาร่าได้ขอให้พวกเธอใจดีกับเธอ เพราะเธอแทบจะไม่เหมือนในข่าวลือเลย
ทีแรกนั้นไม่มีใครเชื่อเลยเพราะซาร่าเป็นคนใจดีมีเมตตามาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่พอได้มาเห็นกับตาตัวเองแบบนี้ถึงได้รู้ว่าซาร่าพูดถูก
‘เพราะคนฉันมักจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นยังไงล่ะ’
อาเรียยิ้มออกมาอย่างงดงามเมื่อมองเห็นว่าเหล่าบุตรสาวเอาแต่หันมองกันไปมาใบหน้าเคร่งเครียด
งานเลี้ยงน้ำชาได้เริ่มขึ้นแล้ว ณ บัดนี้
………………………………………………..