พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 14
บทที่ 14
Ink Stone_Romance
จอห์นตั้งใจจะสืบเรื่องไวเคานต์ลูฟร์ จึงไปหาสหายเก่าของเขา ซึ่งในราชอาณาจักรการจะได้เป็นทหารม้านั้น จะต้องได้รับการรับรองจากกลุ่มทหารม้าภายใต้ราชวงศ์เท่านั้น ที่จะได้รับสิทธิ์ในการเป็นทหารม้า ซึ่งทหารม้าส่วนใหญ่จะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว หากเป็นเรื่องที่มกุฎราชกุมารเข้าไปเกี่ยวพันแล้วล่ะก็ หาพรรคพวกที่ทำงานจากกลุ่มทหารม้าแห่งราชอาณาจักรจะรวดเร็วที่สุด
เขาไปหาโรเวลที่เคยทำงานในกลุ่มทหารม้าหมู่ที่ 5 ซึ่งพอจะรู้จักสนิทสนมกันอยู่ เขาคือผู้ที่เคยดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณรอบปราสาทหมู่5 จนได้เลื่อนขั้นมาอยู่หมู่ 1 ได้รับมอบหมายอารักขาพระราชวงศ์และพระบรมวงศานุวงศ์
แม้ว่าจะมีความสามารถแต่ถ้าหากไม่มีพื้นฐานที่มั่นคงก็ไม่มีทางโดดเด่นได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปีอย่างไรล่ะ
ยิ่งตัวเลขมากขึ้น ความสำคัญและความยากของงานยิ่งต่ำ ค่าตอบแทนหรือการได้ทำงานภายใต้ขุนนางนั้น ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ทหารม้าที่มาจากชนชั้นขุนนาง ส่วนใหญ่จะได้รับมอบหมายงานที่ไม่ค่อยได้เจอกับจอห์นและชาวบ้านทั่วไปเท่าไหร่นัก
การเลื่อนขั้นจึงเป็นเรื่องยากพอๆกับการงมเข็มในมหาสมุทร ดังนั้นทหารม้าที่ทนไม่ได้ส่วนใหญ่จึงเข้าไปทำงานในบ้านของชนชั้นสูง จอห์นก็เช่นเดียวกัน
“จอห์น นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! ไม่ได้กลายไปเป็น ท่านเคานต์โรสเซนต์แล้วหรือ”
“มาหาแกอย่างไรล่ะ สหาย”
“ฮ่าๆ เพ้อเจ้อน่า”
โรเวลที่ไม่ได้เจอกับสหายเก่ามานานจึงไม่รีรอที่จะเข้าหา แม้จะเป็นผู้โด่งดังแต่ก็ไม่มีท่าทีเย่อหยิ่งใดๆ และจอห์นก็ดูเหมือนจะโล่งอกคลายกังวลใจเหมือนกัน
โรเวลเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเป็นคนง่ายๆ มีอัธยาศัยดีจึงเป็นที่พอใจของคนชั้นสูง ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกเขาออกมาจากวังหลวง พลางหาที่บริเวณรอบๆ เพื่อนั่งคุยเรื่องราวเก่าๆ กัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ซ้อมฟันดาบจนรุ่งสาง เรื่องของขุนนางโง่เขลาที่ทำสัตว์เลี้ยงตนหายไปบริเวณรอบๆ วัง
“ดันไปเจอที่โรงคอกม้าของเจ้าหญิง นอนกลิ้งอยู่ตรงนั้นอย่างไรเล่า ฉันเหนื่อยแทบอ้วกออกมา!”
“ไปแตะม้าขององค์หญิงเข้า จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ก็หัวฉันจะหลุดบ่าน่ะสิ!”
“แต่จะให้ฉันทำอย่างล่ะ พวกเราไม่ใช่ทหารม้าหรอกเหรอ! ก็ต้องพยายามทำงานที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งช่วยชีวิตแมวซนนั่นอย่างไรล่ะ”
เรื่องราวที่สุกงอมหลั่งไหลไปกับกาลเวลา
โรเวลในฐานะทหารม้าที่ถือเกียรติยศและชื่อเสียงเช่นนี้เขาสงสัยว่าจะเปิดปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือไม่ จอห์นเทเบียร์ใส่ในแก้วที่ว่างพลางหาเวลาที่เหมาะสมในการสืบสาวเรื่อง เนื่องจากเมาสุราเขาจึงพูดได้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อสังเกตดูแล้วเหมือนกับเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างเสียมากกว่า
“แต่ที่น่าแปลกคือองค์รัชทายาททำไมถึงปล่อยให้ไอ้ลูฟร์นั่นหนีไปได้ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ไอ้นั่นน่ะหรือ”
“ทำไมล่ะ เมื่อสองสามวันก่อนไอ้นั่นไม่ได้หนีจากคดีค้ามนุษย์หรอกหรือ”
โรเวลส่ายหัวไปมาพลางกลอกตา สมองที่หยุดทำงานไปชั่วขณะเพราะแอลกอฮอล์ ดูเหมือนว่าจะเรียกให้กลับมายากซะด้วย
เขากลอกตาไปมา ไม่พูดอะไรอยู่สักพัก จู่ๆก็ทุบโต๊ะ ดังปัง ราวกับนึกออก
“เรื่องไวเคานต์ลูฟร์น่ะหรือ”
“ใช่! ไอ้นั่นนั่นแหละ”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ร่วมวางแผนเรื่องนั้นด้วยเลยไม่ค่อยรู้เรื่องนั้นเท่าไหร่หรอก แต่อีกไม่นานคงจะถูกจับได้ล่ะมั้ง ฝ่าบาทลงคำสั่งตามจับตัวซะให้ว่อน!”
“นั่นสินะ”
จอห์นจับแก้วเบียร์พลางยิ้มเจื่อน
หากไม่ได้ร่วมวางแผนด้วยก็จะไม่รู้รายละเอียดสินะ แต่อย่างไรซะ เขาไม่สามารถกลับไปแบบนี้ได้
หากไม่นำข้อมูลสักอย่างกลับไป อาเรียอาจจะเปิดเผยความผิดของตนให้ทุกคนรู้ได้ ชาติกำเนิดต่ำต้อยอย่างนางนั่น ดูเหมือนว่าจะทำเรื่องแบบนั้นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
“แต่จะว่าไปทำไมฝ่าบาทถึงปล่อยไวเคานต์ลูฟร์หลุดมือไปได้ล่ะ ขนาดฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ฉันก็ไม่รู้”
“ปกติแล้วพระองค์ไม่ได้เป็นคนที่วางแผนอย่างรอบคอบอยู่แล้วหรือ ถึงแม้ท่านจะอายุยังน้อยก็เถอะ”
“…ไม่รู้สิ ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นได้”
“ไม่ใช่งานที่ยากเท่าไหร่นัก ทำไมถึงพลาดปล่อยไวเคานต์ลูฟร์ไปได้นะ อย่างน้อยก็ต้องมีเหตุผลไม่ใช่หรือ”
“…..อืม นั่นสินะ”
ยิ่งคำถามของจอห์นมากขึ้นเท่าไหร่ คำตอบของโรเวลยิ่งคลุมเครือเท่านั้น สายตาที่คลายความกังวลเมื่อครู่ สักพักกลับกลายเป็นท่าทางที่แปลกตาไป สองแก้มที่แดงก่ำจากการดื่มสุราทำให้รู้ถึงปริมาณสุราที่เขาได้ดื่มเข้าไป
เพราะจอห์นอยากจะได้ข้อมูลสักอย่างกลับไป จึงไม่ทันได้สังเกตว่าคำถามก็มีขอบเขตของมันเช่นกัน โรเวลส่งสัญญาณราวกับการพบปะครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว
“ใกล้จะได้เวลาเปลี่ยนกะแล้ว ขอโทษแกด้วยแล้วกัน ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า”
“น่าเสียดาย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
“ฉันก็เหมือนกัน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ต้องมาบอกลาแบบนี้ฉันก็เสียดาย“
ทั้งคู่ลุกจากที่นั่ง พลางบอกลากันที่หน้าประตูวัง จอห์นที่ไหล่ห่อกำลังจะลุกออกจากที่นั่ง ทันใดนั้น โรเวลจับไหล่ของเขาพลางกระซิบเตือน
“ฉันแนะนำว่าแกอย่าขุดคุ้ยเบื้องหลังของฝ่าบาทจะดีกว่านะ”
“……เข้าใจแล้ว”
แม้เขารู้สึกขอบคุณคำแนะนำจากเพื่อนแต่ก็ไม่สามารถทำตามได้ เพราะฝ่าบาทที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้ากับอาเรียที่สามารถข่มขู่เขาได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าเขากลัวเด็กผู้หญิงคนนั้นมากกว่าอยู่แล้ว
จอห์นที่คิดว่าจะกลับไปแบบนี้คงไม่ได้จึงพุ่งตรงไปยังคาสิโนเผื่อว่าจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม หากเป็นคนที่อยู่ในละแวกนั้นน่าจะรับรู้ข่าวสารอะไรมาบ้าง
คาสิโนอยู่ห่างจากวังหลวงไปหน่อย แถวนั้นมีเพียงแค่ชาวบ้านอาศัยอยู่เท่านั้น เพราะมันสร้างมาจากเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้านตั้งแต่แรก
ตึกที่เริ่มมีบ่อนการพนันเริ่มเติบโตขึ้นจากเงินที่มากองรวมกัน จนตอนนี้มีการพัฒนาขนาดให้ยิ่งใหญ่ขึ้นสามารถเห็นแสงไฟได้ชัดเจนแม้จะมองจากที่ไกลๆ
แน่นอนว่าสิ่งนั้น เกิดขึ้นก่อนเรื่องของไวเคานต์ลูฟร์ ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ตึกใหญ่ทะมึนที่รกร้างไปแล้วมาแทนที่
เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มมืดมิดไม่มีแสงไฟจนทำให้มองเห็นทางได้ไม่ชัดเจน จอห์นหยิบตะเกียงเล็กออกมาแล้วจุดไฟ เผื่อว่าจะมีร่องรอยเล็กๆ อยู่บ้าง จึงเดินไปทั่วอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นเศษแก้วที่แตกเป็นเสี่ยงเล็กๆ หรือลังที่บุบ ไม่มีสิ่งไหนที่พอจะเป็นร่องรอยเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทเลย
เขาก้มตัวลงหาร่องรอยตามจุดต่างๆ อยู่สักพัก จนปวดตัว เมื่อหันไปมองรอบๆ ก็เจอร้านค้าเก่าๆ อยู่
‘ร้านขายของชำสินะ’
เป็นร้านขายของชำที่เคยไปตามหานาฬิกาทราย จากไฟที่ปิดอยู่ดูเหมือนว่าร้านจะปิดไปแล้ว
จอห์นนึกถึงคำพูดของอาเรียเมื่อครั้งที่แล้ว
‘บอกว่าไม่สามารถเข้าร่วมการประมูลได้สินะ เลดี้อาเรียรู้เรื่องนั้นได้อย่างไรกัน’
เรื่องเล่าต่อกันของไวเคานต์ลูฟร์ เขาเองก็ยังสงสัยว่าอาเรียไปได้ยินข่าวลือจากใครก็ไม่รู้ที่ไหนกัน
จอห์นคิดได้ว่าควรเดินไปหาร้านขายของชำเผื่อได้รู้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก ถึงจะไม่เปิดร้านแต่ก็อาจจะมีคนแก่อยู่ร้านก็ได้ ชาวบ้านบางคนสร้างห้องเล็กๆ ด้านหลังร้านเพื่อเช่าที่พักอาศัย จอห์นจึงตั้งความหวังไว้ที่นั่น
พอรู้จักกันบ้าง ไม่แน่อาจจะบอกความจริงอะไรสักอยากที่รู้อยู่ก็ได้ อยู่ใกล้กับคาสิโนขนาดนี้ต้องได้เจออะไรบ้างแหละ
จอห์นเคาะประตูร้านชำที่ดูเก่าคร่ำครึแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เปลืองแรงหรือเปล่านะ แต่หากถอยกลับไปตอนนี้ก็มีแต่เสียดาย เลยเคาะประตูอีกสองสามครั้งจึงได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดมาจากด้านในพร้อมกับเสียงฝีเท้าคน
“ฉันไม่เปิดร้าน”
“ผมมีเรื่องจะถามจึงมาที่นี่ ถ้าตอบได้ผมจะให้ 50 ชิลลิง”
ปึง ปึง
หลังจากเขาพูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออก พบกับชายแก่ที่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เขาแง้มประตูเพียงเสี้ยวเดียว แล้วยื่นมือออกมาตรงช่องเล็กๆ นั่น จอห์นหยิบเงิน 50 ชิลลิงออกมา พลางเอาใส่มือเขา ชายแก่ก้มลงดูจำนวนเงินพลางถามว่าสงสัยเรื่องอะไรกัน
“อย่ามัวระวังตัวมากไปเลย ผมเป็นลูกค้าที่มารอบที่แล้วน่ะ”
“มารอบที่แล้วเหรอ”
ชายชรามองจอห์นหัวจรดเท้า แต่ดูเหมือนจะจำไม่ได้จึงส่ายหัวไปมา
พยายามบอกว่าไม่รู้ไม่รู้เท่าไหร่ แต่เมื่อบอกว่ามาหานาฬิกาทรายเมื่อครั้งที่แล้ว ชายแก่ก็เบิกตาขึ้นดูท่าว่าจะนึกออกแล้ว
“ผู้เข้าร่วมประมูล!”
“จำได้แล้วหรือ ผู้คุ้มกันที่มาด้วยกันกับเลดี้น่ะครับ”
“อ๋อ อย่างนั้นหรอกเหรอ เข้ามาด้านในก่อนสิ”
ชายชราเปิดประตูต้อนรับอย่างยินดี เชิญจอห์นเข้ามาด้านใน
เขาหาที่นั่งให้จอห์น พร้อมกับรินชาให้ จอห์นรับน้ำใจของเขาเช่นกัน
“ฉันฟังคำของเลดี้เลยขายใบเข้าร่วมประมูลไปแล้วน่ะ แล้วก็โล่งอกไปที่ยังรักษาร้านนี้ไว้ได้ เพราะอย่างน้อยก็ต้องคืนเงินที่ยืมมาน่ะ”
อย่างนั้นก็โล่งอกไป
“วันนี้เลดี้ไม่มาด้วยกันหรือ”
“อ๋อ เลดี้มีธุระส่วนตัวน่ะ”
จอห์นตอบพลางหาวไปด้วย เขาเฝ้าอาเรียตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่จนถึงบ่ายหลังจากได้พบปะโรเวล ดื่มสุรากัน จากนั้นก็ตามหาร่องรอยของฝ่าบาทอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะวันที่เขาทำหน้าที่อย่างหนักหนาสาหัสทำให้ความง่วงเข้าครอบงำ กระดกน้ำชาลงไปไล่ความง่วงแต่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตาจะปิดลงทุกที แม้ว่าเขาจะพยายามที่จะขอน้ำเย็นจากชายชราที่พูดพล่ามไปก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาไม่แม้แต่จะมีแรงพูดอะไรออกไปได้เลย
“หลับแล้วหรือ หลับไปแล้วจริงๆ หรือเนี่ย”
“…”
ชายแก่ตบหน้าจอห์นสองสามที ดูให้แน่ใจว่าหลับจริงๆ แล้วจึงเปิดไฟร้านของชำจนสว่างไปทั่ว
ผ่านไปสักพัก ประตูร้านขายของชำก็เปิดออกพร้อมกับมีชายอีกสองสามคนเข้ามาด้านใน
“เขาบอกว่าหากมีคนน่าสงสัยเข้าให้รายงาน ผมเลยเปิดไฟน่ะครับ ดูแล้วคงจะไม่ตื่นไปอีกสักพักเลยครับ”
ชายแก่พูดพลางลูบนิ้วไปมา
ชายผมดำคนนั้นพยักหน้า เนื่องจากไวเคานต์ลูฟร์หายตัวไปแถวนี้จึงออกคำสั่งพ่อค้ารอบๆ ให้รายงานให้ทันทีเมื่อมีคนน่าสงสัย
เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้ว แม้ว่าจอห์นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไวเคานต์ลูฟร์ แต่คนพวกนั้นสัญญาว่าจะตกรางวัลให้กับผู้ที่รายงานไม่ว่าใครก็ตาม
ที่จริงแล้ว ชายแก่ไม่ได้ฟังคำพูดของอาเรียทั้งยังไม่ได้ขายใบร่วมประมูลนั่น แต่เพื่อรางวัลรายงานผู้ต้องสงสัยจึงมอมยาให้จอห์นหลังจากนั้นจึงแจ้งเรื่อง
“ไปดูหน้าเขาสิ”
หลังจากชายผู้นั้นออกคำสั่ง ก็มีคนไปดูหน้าจอห์นที่กำลังสลบไสลอยู่ ผู้รับคำสั่งส่ายหัวพลางตอบว่าไม่ใช่ลูฟร์ แต่กลับมีชื่ออื่นออกมาจากปากของเขา
“จอห์นขอรับ เขาเคยทำงานกับกลุ่มทหารม้า กระหม่อมทราบมาว่าทำงานด้วยกันอยู่ไม่กี่ปีก็ไปเป็นผู้คุ้มกันให้ท่านเคานต์แล้วขอรับ”
ท่านเคานต์ โรสเซนต์…
แต่มีบุคคลหนึ่งที่ชายผมดำนึกออก เป็นหญิงสาวผมบลอนด์ที่ดูสะบักสะบอม เขาจำได้ว่าวันนั้นหล่อนขึ้นรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลหลังจากออกจากร้านขายของชำ
ลืมเรื่องไวเคานต์ลูฟร์ยังไม่ถูกจับไปเสียสนิท เธอชื่อว่ามิเอลใช่ไหมนะ
ดูเหมือนหล่อนจะเตือนชายชราราวกับรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังจากนั้นก็มีบุคคลที่เกี่ยวกับหล่อนมายังที่เกิดเหตุ
เขารู้สึกใจร้อนกับคำพูดของเธอกลัวว่าข่าวลือจะแพร่กระจายออกไปจึงรีบวิ่งไปที่คาสิโน แต่โชคไม่ดีเนื่องจากตนวางแผนได้ไม่รอบคอบนัก ทำให้พลาดท่าไวเคานต์ลูฟร์ไปเสียแล้ว
คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาตามหาหล่อน แต่เมื่อได้เจอกับผู้คุ้มกันของโรสเซนต์อีกครั้งก็คิดว่าจะต้องตามหาหล่อนให้เจอให้ได้
“สืบสวนท่านเคานต์โรสเซนต์ อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับไวเคานต์ลูฟร์ก็เป็นได้”
เป็นเรื่องยากที่เด็กหญิงจะสามารถรู้เรื่องพวกนี้ได้ตามลำพัง ท่านเคานต์โรสเซนต์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่ไม่มากก็น้อย
“จะทำอย่างไรกับเจ้านี่ต่อดีขอรับ”
“ก่อนอื่น ปล่อยทิ้งไว้ก่อน เพราะยิ่งไปไหนมาไหนอาจจะยิ่งทิ้งร่องรอยไว้ทำให้ตามจับได้ง่ายขึ้น”
เขาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของจอห์นอยู่นานเพื่อจะจดจำใบหน้าของจอห์นอย่างแจ่มแจ้ง จากนั้นเขาได้ยินเสียงร้องจากที่ไกลๆ ราวกับตามหาใครอยู่ เมื่อหันไปร่องรอยของไวเคานต์ก็หายไปแล้ว
จะต้องหาสาเหตุที่ทำให้เจ้าชายอย่างฉันทำงานพลาดให้ได้
………………………………………………..