พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 43
บทที่ 43
Ink Stone_Romance
“หรือว่าจะเป็นขุนนางตระกูลใหญ่จากต่างแดนกันคะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเรนที่ไม่แม้แต่จะมองอาเรียเมื่อสักครู่ ก็หันหน้าไปทางอาเรีย สีหน้าของเธอเย็นชาและแข็งกระด้างต่างไปจากมิเอล
แววตาที่ไม่ได้เห็นมาสักพักหนึ่งแล้ว เรนยิ้มมุมปากเบาๆ และถามอาเรียว่าทำไมเธอถึงคิดเช่นนั้น
“อืม ขออภัยที่ต้องพูดแบบนี้นะคะ แต่คนที่มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สมบัติแบบนี้ ดิฉันนึกถึงใครในราชอาณาจักรแห่งนี้ไม่ออกเลยค่ะ อีกอย่างดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมิเอลหลายอย่างเลยด้วย”
“เช่นอะไรหรือครับ”
เขาถามกลับอย่างกับจะยั่วโมโห ทำไมยังทำท่าสุขุมแบบนั้นได้อยู่อีกนะ ท่าทางที่เขาแสดงออกมาราวกับจะบอกว่า‘อย่าถามอะไรไร้สาระให้เปลืองเวลาดีกว่า’อย่างไรอย่างนั้น และนั่นยิ่งทำให้อารมณ์เสียมากกว่าเดิม
กล้าดียังไง เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ แต่ถึงเขาจะทำแบบนั้น อาเรียก็ต้องข่มความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ แล้วตอบย้ำคำถามที่ตั้งใจจะตีเนียนของเขา“ก็เรื่องที่ว่าไม่มีใครในประเทศนี้ไม่รู้ว่ามิเอลถูกสู่ขอแล้วไงล่ะคะ ดูเหมือนเจ้านายของคุณจะยังไม่ทราบความจริงข้อนี้ หรือไม่ก็อาจจะทราบอยู่แล้ว แต่เป็นคนที่มีอำนาจพอที่จะไม่สนใจมันก็ได้ พอมา
คิดถึงของขวัญที่นำมาให้ในวันนี้ ก็ดูจะเป็นไปได้ทั้งสองทางเลยค่ะ”
จากเมื่อครู่ที่เพียงแค่หันหน้ามองอาเรียเท่านั้น ในตอนนี้เรนหมุนตัวของเขาไปทางอาเรียและมองตาเธอ ดูเหมือนตอนนี้จะรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้วสิท่า
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นลงและคงใบหน้าสุขุมเช่นเดิม นั่นทำให้อาเรียไม่สบอารมณ์อีกครั้ง
“โอ้โฮ แล้วเลดี้พอจะยกตัวอย่างบุคคลแบบนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“…ถ้าเป็นกรณีแรกที่ดิฉันได้กล่าวไปก็คงจะเป็นขุนนางชั้นสูงจากต่างอาณาจักร ที่ไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับขุนนางในอาณาจักรนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นอย่างหลังแล้วนั้น”
“อย่างหลัง ทำไมหรือครับ”
แม้ความเป็นไปได้จะใกล้เคียงกับศูนย์ก็ตาม แต่ถ้าต้องเลือกคนที่มีลักษณะแบบนั้นในอาณาจักรนี้แล้ว ก็มีอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น อีกอย่างตัวเลือกอย่างท่านมาร์ควิสวินเซนต์ก็ตัดออกไปได้เลย เพราะเขาชอบซาร่าแล้ว
“คงจะมีเพียงเจ้าชายท่านเดียวเท่านั้นค่ะ”
ใบหน้าสุขุมของเรนประหม่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่อาเรียที่สบตาเขาอยู่ ก็เห็นสีหน้านั้นของเขาได้อย่างชัดเจน
เขาเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนที่เคาน์ติสและมิเอลจะทันได้สังเกตอะไร และยิ้มกว้างขึ้นมาทันที อาเรียขมวดคิ้ว เธอไม่สามารถเข้าใจในการกระทำของเขาได้
“ช่างเป็นการสันนิษฐานที่น่ารักจังเลยนะครับ ผมเกือบจะถูกโน้มน้าวไปกับข้อสมมุติที่ดูสมเหตุสมผลนั่นแล้วเชียว”
“หมายความว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่างหรือคะ”
“ไม่ทราบสิครับ ผมไม่สามารถตอบอะไรได้ทั้งนั้น ถ้าบอกว่าสิ่งที่เลดี้พูดมานั้นถูกต้อง ก็จะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเจ้านายผม แต่ถ้าผมบอกปัดข้อสมมุติเหล่านั้นไป ก็จะเป็นการช่วยลดขอบเขตข้อสันนิษฐานให้กับเลดี้อาเรียที่เฉลียวฉลาดอย่างไรเล่าครับ”
สุดท้ายเรนก็ไม่ตอบอะไร และเอาตัวรอดออกไปอย่างไหลลื่นราวกับงูเหลือม
ช่างเป็นคนที่น่าหงุดหงิดเสียจริง เพราะช่องว่างระหว่างอายุที่ต่างกัน คงจะใช้เสน่ห์แบบผู้หญิงกับเขาไม่ได้ แถมยังไม่บอกใบ้อะไรเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อพิจารณาจากท่าทางของเขาแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ทั้งท่าทีเจ้าเล่ห์ดั่งงูเหลือม ไม่ยอมปริปากถึงอะไรที่อยู่นอกเหนือไปจากความต้องการของตนอีกเล่า
อาเรียตัดสินเขาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเธอ เธอขีดเส้นให้เขาเป็น‘บุคคลต้องระวัง’เธอสังหรณ์ว่าหากว่าเขาและเจ้านายของเขาอยู่ข้างมิเอลแล้วล่ะก็ จะส่งผลให้เป้าหมายของเธอสำเร็จได้ยากขึ้น
‘…ในตอนที่ไม่มีนาฬิกาอย่างนี้ ก็คงต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเท่านั้น’
คงไม่สามารถขอความร่วมมือจากเรนได้มากกว่านี้ อาเรียผ่อนคลายสีหน้าลง และปั้นยิ้มหวานน่ารักให้ดูสมกับที่เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอมักจะทำกัน แล้วค่อยหาโอกาสในครั้งต่อไป
“ดูเหมือนดิฉันจะเสียมารยาทไปแล้วสินะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมสนุกกับเรื่องที่เราคุยกันมากๆ ”
สายตาที่ไร้ซึ่งการโกหกของเขาจ้องมองอาเรียอยู่นาน แม้จะเล็กน้อยแต่แววตาของเขาก็มีความสนุกสนานแฝงอยู่
เพราะอาเรียไม่มีเหตุอะไรให้ต้องพูดกับเขาต่อไป เธอจึงเพิกเฉยสายตาคู่นั้นของเขา และดื่มชาที่ถูกยกมาเป็นอาหารว่าง จากนั้นสายตาของเรนที่จ้องมองมาก็หายไป เขาหันเหความสนใจไปที่มิเอลอีกครั้ง
***
หลังจากนั้นไม่กี่วัน งานเลี้ยงฉลองบรรลุนิติภาวะก็ผ่านพ้นไป อาเรียสงสัยใคร่รู้ว่าซาร่าและท่านมาควิสวินเซนต์ จะยังเป็นคู่บุพเพสันนิวาสเหมือนในอดีตหรือไม่ ถึงขนาดที่กระสับกระส่ายนอนไม่หลับเป็นเวลาสองวันเลยทีเดียว
แม้จะรู้ว่าความสงสัยนี้จะกระจ่างขึ้นในงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ก็ตาม แต่กระนั้นความกังวลที่แผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ ก็ทำให้เธอข่มตานอนไม่หลับตลอดทั้งคืนจนแสงแห่งรุ่งอรุณมาเยือน
ถึงจะไม่ได้นอนเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่อาเรียก็ตื่นมาทันเวลา เธอแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกด้วยความวุ่นวายแต่เช้า ขอบตาบวมถูกประคบด้วยผ้าขนหนูเย็นๆ ก่อนที่เธอจะหยิบชุดเดรสสีเหลืองอ่อนตัวใหม่มาสวมใส่
เนื้อผ้าที่มีความหรูหราต่างจากชุดเรียบง่ายที่เธอเคยสวมใส่ ลูกไม้ที่ถูกถักทออย่างประณีตบริเวณแขนเสื้อและ ชายเสื้อยิ่งทำให้ดูสวยงามมากขึ้น
ของประดับที่หาได้ยากยิ่งเพิ่มความหรูหราให้กับชุด หลังจากหวีผมให้เป็นระเบียบ ก็นำโบติดผมสีแดงมาติดโดยปล่อยให้ส่วนปลายห้อยยาวลงมา มองดูน่ารักสมวัย
“อ่อ…เลดี้ค่ะ ดิฉันสามารถไปในสภาพแบบนี้ได้จริงๆ หรือคะ”
แอนนี่ถามขึ้น แม้จะสวมชุดสาวใช้สีหม่นดังเดิม แต่ใบหน้าของเธอถูกแต่งเต็มด้วยเครื่องสำอาง และถักเปียผมไว้อย่างเรียบร้อย เมื่อมองดูใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของเธอแล้ว เธอน่าจะรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก แต่ทำไมถึงพูดแบบนั้นกันนะ
“ได้สิ แต่งหน้าแบบนี้ก็ดูเข้ากับเธอดีแท้ๆ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
“…ที่จริงแล้ว ดิฉันไม่เคยตามเลดี้ไปที่งานเลี้ยงเลยน่ะค่ะ เลยคิดว่าถ้าไปในสภาพแบบนี้จะเป็นอะไรไหมน่ะค่ะ”
“ใช่ว่าชุดสาวใช้จะมีกฎเกณฑ์อะไรเสียหน่อย อีกอย่างเสื้อผ้าของเธอก็ไม่ได้มีคราบสกปรกอะไรด้วย ทั้งยังแต่งหน้าทำผมอีก จะมีใครว่าอะไรได้กันเล่า”
นอกจากนั้นยังแต่งหน้าได้น่ารักน่ามองอีกด้วย อย่างที่เขาว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง ยิ่งเป็นแอนนี่ที่มีกระอยู่ตามใบหน้าด้วยแล้ว ยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ผิวหน้าที่ดูไม่มีชีวิตชีวานั่น พอได้รับการดูแล ก็เปล่งปลั่งน่ามองขึ้นมาเลยไม่ใช่หรือไง
“ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไปทีค่ะ…”
หางเสียงแผ่วเบาดูไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ
อาเรียหัวเราะออกมาเล็กน้อย ช่างดูไร้เดียงสาไม่รู้อะไรเสียจริง บรรดาสาวใช้ที่ติดตามเจ้านายไปงานเลี้ยง มักจะแต่งหน้าแต่งตัวกันทั้งนั้น นั่นก็เพราะหวังที่จะได้เลื่อนสถานะทางสังคมของตนเองยังไงละ
เหล่าขุนนางที่ไม่ได้มีหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นเมื่อเทียบกับขุนนางด้วยกันเอง มักจะเป็นเป้าหมายของผู้หญิงเหล่านั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็มีอำนาจอยู่แล้ว ไม่ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะชนชั้นต่ำต้อยเพียงไรก็ไม่สำคัญ เพราะพวกเขาสนใจแค่หน้าตาที่งดงามเท่านั้น
หากตำแหน่งภริยาที่ตบแต่งอย่างถูกต้องมันยากเกินไป ก็มีผู้หญิงหน้าโง่บางคนยอมกินในที่ลับ ผู้หญิงที่พร้อมจะกระโจนไปข้างหน้าด้วยเชื่อมั่นในรูปโฉมตนเองมักจะเป็นแบบนั้น และเมื่อช่วงเวลาวัยเยาว์อันสดใสผ่านพ้นไป ก็ถูกเขี่ยทิ้งในที่สุด
บางทีเมื่อก่อนเธอเองก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ อาเรียยิ้มเยาะให้กับตัวตนในอดีตของเธอ เธอคิดว่าแอนนี่จะลงเอยแบบผู้หญิงโง่ๆ พวกนั้นหรือไม่ แล้วออกจากคฤหาสน์ไปพร้อมกับแอนนี่
“อุ๊ย เลดี้อาเรีย ระหว่างที่ไม่ได้เจอกัน สูงขึ้นมากเลยนะคะ”
“นั่นสิคะ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ยังตัวเล็กอยู่เลย”
“เพราะร่างกายผ่านวัยเจริญเติบโตมาแล้วแน่เลยค่ะ ดิฉันเองก็มีช่วงที่จู่ๆ ก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกัน”
“แต่ดูมีน้ำมีนวลต่างจากดิฉันเลยนะคะ ดูดีมากเลยค่ะ”
“ดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกันด้วยนะคะ”
“ว่าแต่วันนี้แต่งตัวสวยมากเลยค่ะ ซื้อชุดมาใหม่หรือคะ”
บรรดาเลดี้ที่ไม่ได้พบกันมานาน พูดคุยกันอย่างสนุกสนานราวกับนกน้อยที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วในยามเช้า
ช่วงวัยนี้ในอดีตอาเรียก็สูงขึ้นอย่างพรวดพราดและมีน้ำมีนวลไม่ต่างจากปัจจุบัน ดูเหมือนว่าร่างกายของเธอจะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน
เธอหวังว่าบรรดาเลดี้เหล่านี้คงจะไม่พูดเอะอะเสียงดังแบบนี้ในทุกครั้งที่ร่างกายของเธอมีการเปลี่ยนแปลงหรอกนะ อาเรียยิ้มอย่างอ่อนหวานและทำตัวให้สนุกกลมกลืนเข้ากับบทสนทนาของทุกคน
“ดูเหมือนช่วงนี้จะมีแต่เรื่องสนุกๆ เต็มไปหมด เลยทำให้ความอยากอาหารมากขึ้นตามไปด้วยค่ะ การได้เจอกับพวกเลดี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องสนุกๆ นั้นด้วยนะคะ ดิฉันเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงใจแทบขาดแน่ะค่ะ”
“…น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง”
“เลดี้อาเรียเอง ก็เป็นที่ชื่นชอบของพวกเราเหมือนกันนะคะ”
ทั้งรูปโฉมที่ดึงดูดสายตาไหนจะยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในงานเลี้ยงอีก บรรดาเลดี้ทั้งหลายต่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินอาเรียพูดประจบเอาใจ
อาเรียยิ้มเยาะให้กับความรักที่ดูเสแสร้งของพวกเธอแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“งานฉลองบรรลุนิติภาวะเป็นอย่างไรบ้างคะ มันยังดูเป็นเรื่องไกลตัวไปสำหรับดิฉัน เลยอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรน่ะค่ะ”
“มีเรื่องให้พูดอยู่เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ! แล้วยังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นด้วยค่ะ! “
บรรดาเลดี้ที่เข้าร่วมงานฉลองบรรลุนิติภาวะด้วยกันกับซาร่า ตอบออกมาพร้อมทำตาเป็นประกาย ไม่ว่าจะมองยังไง ก็คงจะเป็นเรื่องของซาร่าเป็นแน่ แม้จะเป็นเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้ว แต่พอเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นตามที่คิดไว้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือคะ อยากรู้จังเลยค่ะ”
“เผอิญว่าดิฉันไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง จะให้พูดเองก็กระไรอยู่ ได้แต่หวังว่าเลดี้ซาร่าจะมาถึงเร็วๆ น่ะสิคะ”
“เกี่ยวกับเลดี้ซาร่าหรือคะ”
“ค่ะ เป็นเรื่องใหญ่เลยละค่ะ แต่ดิฉันไม่ใช่เจ้าตัว เลยไม่แน่ใจว่าจะพูดเรื่องนี้ได้รึเปล่า”
เธอทำหน้าเคลิ้มราวกับกำลังเพ้อฝันอยู่ คงจะเห็นเหตุการณ์ที่ท่านมาร์ควิสวินเซนต์ได้พบกับซาร่าเข้าสินะ
คนที่มาจากตระกูลขุนนางที่แทบจะไม่ต่างจากชนชั้นล่างแบบเธอ ทั้งชีวิตคงแทบจะไม่มีวาสนาได้คู่ครองกับบุรุษที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าท่านมาร์ควิสวินเซนต์เป็นแน่ เลยแสดงท่าทีแบบนั้นออกมาสินะ
บรรดาเลดี้ที่รวมตัวกันต่างภาวนาให้ซาร่ามาถึงแต่โดยเร็ว ทั้งที่ปกติเธอไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงสายเลยสักนิด แต่ทำไมวันนี้กลับมาสายเสียอย่างนั้น คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหลังจากงานฉลองบรรลุนิติภาวะหรอกใช่ไหม ทุกคนต่างรอคอยซาร่าด้วยใจที่เต้นรัว
และแล้วหลังจากงานเลี้ยงเริ่มไปประมาณหนึ่งชั่วโมงซาร่าก็มาถึง ในระหว่างที่รอเธอนั้นบรรดาเลดี้ผู้น่าเบื่อเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ และแน่นอนว่าอาเรียได้แนะนำสาวใช้คนใหม่ที่เธอพามาให้ทุกคนรู้จักด้วย
“เป็นสาวใช้ที่หน้าตาดีทีเดียวค่ะ”
แม้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นคำชมที่ไม่ได้จริงจังอะไร แต่แอนนี่ก็เขินตัวแดงทำอะไรไม่ถูก
“ขอโทษที่มาสายค่ะ รออยู่หรือเปล่าคะ”
“เลดี้ซาร่า! เกิดเรื่องอะไรรึเปล่าคะ”
เพราะซาร่าไม่เคยมางานเลี้ยงสายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกคนในงานเลี้ยงจึงเชื่อว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย
ซาร่าค่อยๆ หน้าแดงขึ้นมา
“มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ…”
มีเรื่องอะไรจริงๆ ด้วยสินะ! อาเรียที่รู้ถึงอนาคตอยู่แล้วพลันตาเป็นประกายไปพร้อมๆ กับเลดี้ท่านอื่นๆ ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรกันแน่นะ
“ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานฉลองบรรลุนิติภาวะหรือเปล่าคะ”
เลดี้เหล่านั้นถามออกไปอย่างไม่ลังเลใดๆ เพราะซาร่าทิ้งชนวนสงสัยเอาไว้แต่ไม่ยอมอธิบายอะไร เลยทำให้ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มสูงขึ้นเฉียดฟ้าเลยทีเดียว
ซาร่าตอบคำถามอย่างซื่อตรง ราวกับไม่ได้คิดจะปกปิดอะไร
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
“ที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรในงานฉลองบรรลุนิติภาวะกันแน่คะ”
“ท่านมาร์ควิสวินเซนต์…ช่วยหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ดิฉันทำตกให้ค่ะ”
“ตายจริง…! “
“จริงหรือคะนี่”
เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อนี้ เลดี้แต่ละคนต่างแสดงท่าทีประหลาดใจต่างกันออกไป
ส่วนอาเรียที่รู้เรื่องในอนาคตอยู่แล้ว ก็แกล้งทำเป็นยกมือมาปิดแก้มทั้งสองข้างเอาไว้ ซาร่าหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“แล้วยังไงคะ เรื่องราวมันเป็นอย่างไรต่อจากนั้น ท่านมาร์ควิสได้เอาผ้าเช็ดหน้ากลับไปไหมคะ”
“ถึงจะน่าอายที่ต้องพูด แต่ก็เป็นแบบนั้นค่ะ ท่านบอกว่าลวดลายที่ปักสวยมากจึงขอเก็บไว้ค่ะ”
“แล้วหลังจากนั้นเล่าคะ คงไม่ได้จบลงแค่นั้นใช่ไหมคะ”
“ท่านก็ขอเต้นรำด้วยเลยตอบตกลงไปค่ะ ช่างเป็นคนที่อ่อนโยนและมีน้ำใจต่างจากข่าวลือที่ว่าเป็นคนบึ้งตึงเลยค่ะ”
เนื่องจากท่านมาร์ควิสวินเซนต์ต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำของตระกูลตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ที่ผ่านมาเลยทุ่มเทให้กับการทำงานเท่านั้น ไม่เคยมีหญิงใดอยู่ข้างกายเลย
อีกทั้งที่ผ่านมาก็ไม่เคยเข้าร่วมงานสังสรรค์ใดๆ นอกจากงานบรรลุนิติภาวะที่ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะถือเป็นวาระโอกาสในการเฉลิมฉลองให้กับบุคคลชนชั้นสูงที่ได้เป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ จึงจำเป็นต้องมีตัวแทนแต่ละตระกูลเข้าร่วมงานนั่นเอง
ดังนั้นโอกาสที่จะได้พบกับเขาจึงมีเพียงงานฉลองบรรลุนิติภาวะงานเดียวเท่านั้น คนที่ง่วนอยู่กับงานตลอดเวลาแบบเขา มักจะไปร่วมงานเลี้ยงเป็นเวลาสั้นๆ ให้คนเห็นใบหน้าพอเป็นพิธีแล้วก็ออกจากงานเลี้ยงไป
ในครั้งนี้เขาก็ตั้งใจจะไปร่วมงานแล้วรีบกลับออกมาเช่นเคย แต่ท่ามกลางความวุ่นวายในงานเลี้ยงก็ได้เจอกับซาร่าเข้าอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน
“อุ๊ยตายจริง! “
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร! “
“ถึงขนาดที่ท่านมาร์ควิสวินเซนต์ขอเต้นรำด้วยแล้วละก็ แสดงว่าต้องเป็นรักตั้งแต่แรกพบแน่ๆ เลยค่ะ”
ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสามารถ ทั้งยังหน้าตาดีรูปร่างสูงโปร่งแบบเขา มักจะเป็นที่หมายปองของบรรดาเลดี้ที่ยังโสด รวมถึงนิสัยที่ดูเข้าถึงยากและยังไม่สามารถพบเจอได้บ่อยๆ นั่นด้วย
ผู้หญิงหลายๆ คนมักเพ้อฝันทำนองว่า‘ใครที่จะเป็นคนกุมหัวใจของชายที่หนักแน่นดุจดั่งหินผาได้กันนะ บางทีเจ้าของหัวใจดวงนั้นอาจจะเป็นฉันก็ได้’
“แล้วผู้รับใช้คนนั้นมาด้วยเหตุอะไรหรือคะ”
ถึงขั้นร่วมเต้นรำด้วยกันแบบนี้แล้ว แน่นอนว่าคงเป็นของตอบแทนจากเขาหรือไม่ก็เป็นการขอออกเดตด้วยแน่นอน แต่ทุกคนก็อยากให้ซาร่ายืนยันมันด้วยปากของเธอเอง และรอคำตอบของเธอพร้อมกับสายตาเป็นประกาย
“เขาเอาช่อดอกไม้ และสร้อยคอมาส่งให้ค่ะ แล้วก็…”
“แล้วก็อะไรคะ”
“แล้วก็… จดหมายชวนไปเดินเล่นด้วยกันที่ชายทะเลสาบก่อนหิมะจะละลายค่ะ”
“ตายแล้ว…! “
“ช่างโรแมนติกอะไรอย่างนี้”
แม้การกระทำของเขาจะเหมือนกับที่ผู้ชายอื่นๆ ทำกัน แต่เนื่องจากข่าวลือที่บอกว่าเขาเป็นคนเย็นชาเข้าถึงยาก เลยทำให้บรรทัดฐานพวกนั้นลดน้อยลงไป
ระหว่างที่เลดี้ทั้งหลายส่งเสียงดังวุ่นวายบอกให้เธอหาซื้อชุดเดรสใหม่เพื่อใส่ไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบกับเขานั้น ซาร่าก็ส่งรอยยิ้มที่ดูลำบากใจมาให้อาเรีย
…………………………………………