พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 122
“…ปะ ไปไหนแล้ว”
มิเอลผู้ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังได้แต่กะพริบตาปริบๆ หลังจากอาเรียกับอาซหายวับไปราวภาพลวงตา
เมื่อครู่พวกเขายังอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ไม่สิ มากกว่าเรื่องนั้นคือจู่ๆ เจ้าชายโผล่มาจากไหนกัน
มิเอลรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้และคิดว่ามันคือความฝัน เธอคลำไปรอบๆ มือสั่นระริก กระทั่งไปเจอเข้ากับกำไลข้อมือที่ขาดไปแล้ว
มันคือกำไลที่อาเรียเคยใส่
‘ฉันไม่ได้ฝันไป…’
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาหายไปไหนกันแน่
“เลดี้! เกิดอะไรขึ้นคะ!”
บรรดาคนที่ได้ยินเสียงกรัดร้องของมิเอลต่างพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ทันได้ฉุกคิดอะไร ภาพอันน่าสลดซึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าก็ทำให้พวกเขาต่างก็หน้าซีดเผือดและส่งเสียงร้องดังลั่น
“ว้ายยย!”
“พ… พระเจ้าช่วย!”
“…ท่านเคานต์!”
“เรียกหมอมาเร็ว!”
พวกที่อยู่ชั้นล่างได้พบกับท่านเคานต์ก่อนจะได้เห็นมิเอล ทำเอาต่างคนต่างก็ร้องโวยวายบอกเล่าภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าให้คนทั้งโลกได้รู้
ตอนนั้นเองมิเอลจึงได้หลุดพ้นจากพันธนาการคำถามเรื่องที่อาซกับอาเรียหายไปต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยฟื้นคืนสติ เธอถือกำไลไว้ในมือก่อนจะป่าวประกาศตัวการที่ก่อให้เกิดภาพสยดสยองนี้
“…ท่านพี่ค่ะ! ท่านพี่เป็นคนทำ! จู่ๆ เธอก็ผลักท่านพ่อแล้ว… แล้วก็หนีไปค่ะ”
มิเอลที่กู่ร้องทั้งน้ำตาและใบหน้าซีดเผือดพาให้สีหน้าของผู้ที่ได้พบเห็นมีแต่ความสับสน
“ล เลดี้อาเรียหรือคะ…”
“ดิฉันก็คิดแบบนั้นเช่นกันค่ะ! คนเราไม่มีทางปิดบังธาตุแท้กันได้ง่ายๆ หรอกค่ะ! เธอหลอกทุกคนมาตลอดอย่างไรล่ะคะ!”
“แล้วเธอหนีไปไหนเสียแล้วล่ะคะ! บังอาจนัก! รีบไปตามจับมาเร็วสิคะ!”
มิเอลที่ได้รับการสนับสนุนจากปฏิกิริยาจากบรรดาแขกเหรื่อที่ขึ้นเสียงสูงอย่างบ้าดีเดือดต่างจากท่าทีงงงวยและสองจิตสองใจของเหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ได้แต่ส่ายหน้าว่าเธอไม่รู้เรื่องใดๆ
“…ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ดิฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นค่ะ ฮึก…”
แต่ใบหน้าของเหล่าคนรับใช้กลับดูไม่เชื่อถือเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอเคยให้ร้ายอาเรียมาหลายครั้งหลายหนเสียเหลือเกิน
เหล่าบุตรีขุนนางหลายคนที่อยู่ข้างมิเอลก็มีสีหน้าไม่สบายใจเช่นกัน แม้จะพูดออกมาไม่ได้แต่เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เธอทำตลอดมานั้นก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าคำพูดของเธอเป็นความจริง
มิเอลเองก็สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้จึงเริ่มสร้างพยานที่ไม่มีจริงขึ้นมา
“เลดี้มีเดียกับเลดี้เวนดี้ก็เห็นมิใช่หรือคะ คิดว่าน่าจะได้สบตากันเสียด้วย”
มิเอลตีหน้าเศร้าเหลือแสนขัดกับแววตาแข็งกร้าวแล้วเอ่ยชื่อเลดี้ทั้งสองขึ้นมา
เลดี้สองคนที่ถูกพาดพิงต่างก็เป็นบุตรีจากตระกูลต่ำต้อยไร้ความสำคัญด้วยกันทั้งคู่ บุตรีจากตระกูลไร้อำนาจอิทธิพลที่ไม่ว่าจะเป็นกลางอย่างไรก็ต้องเลือกข้าง
“…คะ!”
“…!”
แล้วพวกเธอจะกล้าปฏิเสธคำถามของว่าที่ดัชเชสได้อย่างไร
แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่เห็นและไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่สองสาวก็ได้แต่หันมองกันก่อนจะพยักหน้ารับ
“ค่ะๆ… เห็น เห็นค่ะ”
“ดิฉันด้วยค่ะ… ดิฉันเห็นเลดี้อาเรียวิ่งหนีลงบันไดไปค่ะ”
“ตายจริง… แม่หญิงโสดนั่นกล้าดีอย่างไร…!”
คำให้การจากเลดี้ทั้งสองทำให้ทุกคนที่มารวมกันแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา
“ดิฉันมั่นใจค่ะว่าเป็นเพราะท่านพ่อไม่พอใจที่ท่านพี่ไปคบหากับเจ้าชาย…”
และเมื่อเธอพูดถึงแรงจูงใจที่มีน้ำหนักมหาศาล บรรดาผู้ชมก็ยิ่งโกลาหลขึ้นไปอีก
มิเอลจึงรีบยืนยันสิ่งที่จะกลายเป็นเครื่องตัดสินลงไปทันที
“แล้วดูนี่สิคะ! กำไลนี่! ดิฉันพยายามจะจับตัวท่านพี่อาเรียเอาไว้ แต่เธอก็ตัดมันทิ้งแล้ววิ่งหนีไป!”
กำไลที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้เป็นของอาเรียจริงๆ จนบรรดาคนรับใช้ที่เข้าข้างอาเรียโดยสมัครใจต่างก็จนปัญญา
มิเอลผู้วางกับดักที่จะผลักอาเรียให้จนตรอกได้อย่างสมบูรณ์แบบก้มหน้าลงแล้วแอบยิ้มออกมาเล็กน้อยไม่ให้ใครเห็น
“…มิเอล”
และเคนซึ่งกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์นี้อยู่ไกลออกไปก็ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น
* * *
ท่านเคานต์ซึ่งตกลงมาจากบันไดถูกนำตัวไปที่ห้องทันที
เขาตกลงมาจากบันไดทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนและอย่างไรบ้างจึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ง่ายๆ แต่จะให้ปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่ได้เช่นกัน ทุกคนจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
แพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากมายรวมถึงแพทย์ประจำตัวต่างมารวมตัวกันที่คฤหาสน์เพื่อช่วยชีวิตท่านเคานต์
โชคดีที่เขายังไม่ถึงฆาตแต่ดูเหมือนศีรษะจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จึงยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเลย
“…ผมเสียใจด้วย แต่เขาอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยตลอดชีวิต…”
เคาน์ติสหน้าซีดเผือดและทรุดลงกับพื้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของหมอประจำตัว ทั้งสะเทือนใจที่ท่านเคานต์ซึ่งคอยปกป้องเธอมาตลอดต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ และคนที่เป็นต้นเหตุยังเป็นลูกในไส้ของเธอเองอีก
“ฮึก… ท่านพ่อ…”
“…มิเอล น้องออกไปก่อนจะดีกว่า”
เคนตบไหล่มิเอลที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างท่านเคานต์ คำพูดที่บอกให้ออกไปนั้นเย็นเยียบเกินกว่าจะมองว่าเป็นคำปลอบประโลม
มิเอลถูกพาไปยังห้องรับแขกปลอดคนโดยมีเคนช่วยประคอง
หลังจากปิดประตูและหันมองรอบตัวแล้ว เคนก็ปล่อยมือที่ประคองมิเอลออกมากุมขมับแทนก่อนจะพูดขึ้น
“มิเอล ไม่ว่าพี่จะคิดอย่างไร เรื่องนี้มันก็…”
“ท่านพี่ ท่านพี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือคะ”
คำพูดของเคนทำให้มิเอลลบสีหน้าเศร้าสลดเหลือแสนออกไปในชั่วพริบตาแล้วพูดถ้อยคำรุนแรงด้วยใบหน้าเย็นชา
แววตาของเคนสั่นไหว
เมื่อได้มาเห็นคนเป็นพ่อสลบไม่ได้สติทำเอาเขาใจสั่น แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าตนไม่อาจหลีกหนีเพราะได้ร่วมมือในแผนของเธอไปแล้วก็ตาม
มิเอลจับมือเขาไว้แน่นก่อนจะเริ่มโน้มน้าวด้วยถ้อยคำหวานหูพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ท่านพี่ เรื่องมันเกิดไปแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นท่านพี่ต้องทำหน้าที่แทนท่านเคานต์และคุมตัวท่านพี่อาเรียไว้ในคฤหาสน์ ไม่ให้เธอได้พบเจอใครค่ะ เพราะหากเรายังแสดงเจตนาว่าจะไม่ลงโทษเธออีกเป็นครั้งที่สอง เราจะไม่สามารถทำอะไรในชั้นศาลได้เลยนะคะ”
“….”
“หรือท่านพี่คิดจะปล่อยให้เธอได้อยู่กับเจ้าชายอย่างนั้นหรือคะ”
“เรื่องนั้น…”
ไม่มีทาง
เคนขมวดคิ้วมุ่น มิเอลสะกิดโดนจุดที่เขาสนใจมากที่สุดและรีบวางเหยื่อล่อไม่ให้เขาหนีไปไหนได้อีก
“เพราะฉะนั้นเราต้องรีบบอกให้กองทหารรักษาการณ์รู้นะคะ ก่อนที่ท่านพี่อาเรียจะหนีไปไกลพร้อมเจ้าชาย”
“….”
“เราต้องรีบจับตัวเธอมาจัดการให้เร็วที่สุดนะคะ เพราะยิ่งปล่อยให้ล่าช้าไปกว่านี้ มันก็จะยิ่งเกินกว่าอำนาจของท่านพี่ ท่านพี่เองก็รู้ไม่ใช่หรือคะ”
คำพูดของเธอฟังดูมีเหตุผล ในที่สุดเคนจึงเรียกทหารรักษาการณ์มาเพื่อแจ้งความเอาผิดอาเรียโทษฐานพยายามฆ่าท่านเคานต์
ด้วยเหตุนี้หน่วยลาดตระเวนจึงถูกก่อตั้งขึ้นเพราะข้อหาพยายามฆ่าท่านเคานต์ และผู้คนต่างพากันวิ่งวุ่นเพื่อตามหาอาเรียที่หายตัวไปตลอดทั้งคืน
แต่เธอไปอยู่แห่งหนใดกัน พวกเขาพากันค้นหาทั่วทั้งนครหลวงแต่กลับหาไม่เจอแม้แต่ผมเส้นเดียวของอาเรีย ในที่สุดจึงต้องเริ่มส่งหนังสือไปถึงเมืองใกล้เคียงตั้งแต่บ่ายวันถัดมา
[ฉันเชื่อว่าครั้งนี้คุณจะทำได้ดี ออสการ์เองก็คาดหวังไว้มากเช่นกันค่ะ]
มิเอลถือจดหมายจากไอซิสที่มาถึงเมื่อกลางดึกไว้ในมือพร้อมกับฮัมเพลงด้วยความเบิกบานใจ หากท่านเคานต์ไม่ฟื้นขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะราบรื่นไร้อุปสรรค
เธอจะได้เป็นดัชเชสและได้แต่งงานกับออสการ์ตามแผน
‘อย่างไรเสียก็เป็นพ่อที่ช่วยอะไรฉันในอนาคตไม่ได้ สู้ไม่มีจะดีเสียกว่า’
เพราะผู้ที่จะอยู่กับเธอต่อไปในภายภาคหน้าคือออสการ์ หาใช่ท่านเคานต์
เธอละทิ้งความศรัทธาในตัวท่านเคานต์ไปตั้งแต่วันที่เขารับโสเภณีเข้ามาเป็นภรรยาใหม่แล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือทางเลือกอันฉลาดหลักแหลมเหลือจะกล่าว เพราะเธอได้มอบโทษสถานหนักให้แก่ผู้เป็นพ่อ และยังได้กำจัดนางโสเภณีและลูกสาวผ่านโอกาสนี้ด้วย
“ท่านแม่ล่ะ”
“…ยังไม่ยอมออกมาจากห้องเลยค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ ท่านควรทานอาหารให้เยอะๆ สิ”
เพราะอีกไม่นานเธอจะต้องถูกไล่ออกไปตัวเปล่า และจะต้องร่อนเร่อยู่ข้างถนนเหมือนเมื่อก่อนนี้อย่างไรล่ะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ควรกินให้เยอะๆ เข้าไว้ไม่ใช่หรือไร
‘ว่าแต่ทำไมยังจับไม่ได้อีก’
ทหารรักษาการณ์ต่างช่วยกันตามอย่างสุดกำลังความสามารถ เจ้าหญิงไอซิสเองก็ส่งคนมาเช่นกัน ตัวเธอหรือก็โน้มน้าวเคนให้ส่งพลทหารออกจากคฤหาสน์ท่านเคานต์ แล้วเหตุใดจึงยังจับไม่ได้อีก
‘คงไม่ได้เกี่ยวกับมกุฎราชกุมารที่หายไปหรอกใช่ไหม’
มกุฎราชกุมารที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันแล้วพาอาเรียหายลับไป
เธอสงสัยว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไป แต่กำไลข้อมือขาดๆ เส้นนี้ก็เป็นคำอธิบายชั้นดีว่าอาเรียหายไปพร้อมเจ้าชายจริงๆ
‘หายไปได้อย่างไรกัน พวกเขาหายไปในเสี้ยววินาที เหมือนภาพหลอนหรือควันไฟอย่างไรอย่างนั้น’
ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่อาจเอ่ยถึงเจ้าชาย หากพูดไปว่าจู่ๆ เจ้าชายก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วพาอาเรียหนีหายไป ใครเล่าจะเชื่อ
เขาคงมาแก้ต่างให้อาเรียในภายหลัง แต่ตอนนี้เธอเองก็มีทั้งกำไลที่ขาดและพยานบุคคลอยู่เช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าทั้งสองจะใช้วิธีอะไรก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได่อย่างแน่นอน
‘และโชคชะตาก็ได้ลิขิตไว้แล้วว่าเจ้าชายจะต้องเป็นของดัชเชส’
หลังจากนั้นไม่กี่วันมิเอลถึงได้ยินข่าวคราวของอาเรีย
“…ออกไปจากนครหลวงอย่างนั้นหรือคะ ไปพร้อมกับเจ้าชายหรือ”
“…เหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
ข่าวที่เคนเพิ่งไปรู้มาจากภายนอกทำให้มิเอลต้องขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม เธอคิดเพียงแต่ว่าอาเรียหนีไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะออกไปนอกนครหลวง
เธอไม่คิดว่าอาเรียจะหนีไปได้ไกลขนาดนั้นในสถานการณ์ที่ถูกมองว่าเป็นผู้กระทำผิด ดังนั้นการออกตามหาจึงอยู่แค่บริเวณใกล้เคียงเท่านั้น
นอกจากนั้นยังได้ยินมาว่าอาเรียอยู่ระหว่างทางกลับมายังนครหลวงหลังจากหยุดแวะไปเสนอหน้าอยู่ทุกเมืองที่ผ่านจนกระทั่งไปถึงราชอาณาจักรโครอา ราวกับกำลังพักผ่อนอย่างสนุกสนานกับเจ้าชาย
“มันไม่บ้าไปหน่อยหรือคะ”
“นั่นน่ะสิ นี่มันบ้าไปแล้ว”
เคนตอบกลับไปเช่นนั้น เขาดูโกรธขึ้งมากกว่ามิเอลเป็นเท่าตัว สายตาราวกับจะหักคออาซเสียเดี๋ยวนี้หากทำได้
ทั้งที่เขาวางแผนว่าจะจับอาเรียมาขังไว้แท้ๆ แต่นอกจากจะไม่ได้ขังแล้วเธอยังได้ไปไหนต่อไหนกับอาซสองต่อสองตั้งหลายวัน นั่นทำให้ใจเขาร้อนรุ่มแทบระเบิด
“พวกเขาคงคิดจะเดินทางไปที่ไหนสักที่เพื่อกลับมาบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนร้ายน่ะสิคะ โง่เขลาเสียจริง”
นี่พวกเขาคิดจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากข้อสงสัยด้วยการเดินทางง่อยๆ ทั้งที่มีทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐานพร้อมแล้วอย่างนั้นหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าทั้งสองจะรีบร้อนขึ้นมาออกจากนครหลวงเพียงใดก็คงไม่สามารถหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้อยู่ดี นอกเสียจากว่าจะย้อนเวลากลับไป
“ถ้าอย่างนั้น ก็อยู่ระหว่างจับกุมตัวกลับมาหรือคะ”
“เปล่า ได้ยินว่าเธอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและจะไปสู้กันในชั้นศาล จึงไม่ได้จับกุมตัวและกำลังเดินทางกลับมานครหลวงพร้อมกองทหารรักษาการณ์”
“ผู้หญิงอะไร ทั้งต่ำทรามทั้งโง่เขลา…”
บางทีมิเอลก็เคยคิดว่าอาเรียอาจจะฉลาดอย่างในข่าวลืออยู่บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรลูกที่ออกมาจากท้องของโสเภณีย่อมไม่มีทางฉลาดหลักแหลมได้ แล้วก็ไม่อาจโป้ปดเรื่องสายเลือดในตัวได้
“พี่จะร้องขอให้เปิดการพิจารณาคดีทันทีที่เธอมาถึง เพราะฉะนั้นน้องต้องตรวจทานสิ่งที่ได้เตรียมไว้ให้แน่ใจ อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด”
ดูท่าเคนคงไม่ยอมยกโทษให้อาเรียหลังจากได้รู้ว่าเธอไม่ได้หนีไปเพียงลำพัง หากแต่ไปพร้อมกับอาซ
มิเอลแย้มยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดแข็งกร้าวของเคน
“แน่นอนค่ะ น้องเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ ท่านพี่”
* * *
ไม่กี่วันหลังจากนั้น อาเรียที่เข้ามายังนครหลวงด้วยความมั่นใจก็กลับถึงคฤหาสน์พร้อมกองทหารรักษาการณ์รายล้อมรอบตัว
เหล่าทหารได้แต่คอยมองอยู่เฉยๆ ราวกับไม่สามารถเข้าไปบีบบังคับจับกุมได้ เพราะเธออยู่กับเจ้าชาย
มิเอลที่ออกมารอตั้งแต่รถม้าของอาเรียมาถึงบริเวณใกล้นครหลวง วิ่งเข้าไปหาอาเรียที่กำลังลงมาจากรถม้าและตะโกนใส่เธอทั้งน้ำตาทันที
“ทำได้อย่างไร…! ทำกับท่านพ่อแบบนั้นได้อย่างไรคะ!”
ฝีมือการแสดงอันยอดเยี่ยมนั้นทำให้อาเรียต้องกล้ำกลืนเสียงหัวเราะที่แทบจะระเบิดออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกหรือนี่… ท่านพ่อเป็นแบบนั้นจริงๆ…!”
ภาพที่เธอถามกลับไปราวกับเพิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องจริงนั้น ดูไม่มีเค้าของผู้กระทำผิดสักนิด ความจริงแล้วดูเธอจะไม่เชื่อมากกว่า
“พี่… พี่คิดว่าที่มีคนมาห้อมล้อมแบบนี้เพราะอยากพาพี่กลับมาเร็วๆ เสียอีก… เพราะอย่างนั้นพี่ถึงได้รีบกลับมาเพราะกลัวจะถูกต่อว่า…”
อาเรียเอ่ยเช่นนั้นทั้งที่ไหล่สั่นระริก
และคนที่เข้ามาโอบกอดไหล่บางแสนน่าสงสารคู่นี้ไว้ก็มิใช่ใครอื่น นอกจากอาซ
“แปลกจริง เลดี้ไม่มีทางเป็นคนร้ายได้เด็ดขาด”
อาเรียที่กำลังหวาดกลัวได้แต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของอาซเมื่อเขาเข้าข้างเธอ ทั้งที่เมื่อก่อนหน้านี้เพิ่งจะให้คำมั่นว่าจะไม่ทอดทิ้งมิเอลแท้ๆ
อาจมีบางคนก่นด่าการกระทำสองหน้าของอาเรีย แต่ไม่ใช่อาซ เขากลับชอบที่เธอสร้างความเห็นของคนส่วนใหญ่ขึ้นมาเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ
และในตอนนี้เธอก็มาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว เขาไม่มีทางเกลียดเธอได้ลง
“…แม้เจ้าชายจะตรัสเช่นนั้น แต่ก็มีทั้งพยานหลักฐานและพยานบุคคลนะคะ ดิฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อแต่ว่า… ดิฉันได้เห็นกับตาตัวเองเพคะ”
อาเรียถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่าพยานบุคคลและอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมถอยแม้ว่าเธอจะแสดงออกสุดตัวก็ตาม
อาซเข้าใจว่านั่นเป็นเพราะเธอกลัวจึงก้มลงไปมองอาเรีย แต่นอกจากจะไม่ได้สั่นเพราะกลัวแล้ว เขายังเห็นว่าเจ้าตัวแอบยิ้มอีกต่างหาก
‘โกหกสินะ’
แม้จะบอกว่ามีพยานบุคคลจริงๆ แต่เธอก็ได้สร้างหลักฐานมี่ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้เตรียมไว้อยู่แล้ว แม้กระทั่งพยานบุคคลก็ยังปลอมอย่างนั้นหรือ ผู้คนมากมายได้ฟังคำพูดของมิเอลและน่าจะเชื่อไปแล้ว
‘เธอติดกับดักที่เธอทุ่มเทสร้างขึ้นมาเองเสียแล้ว’
ภาพที่ดูไร้หนทางจะช่วยเหลือนั้นทำให้อาซจำต้องเอ่ยออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เช่นนั้น เราค่อยไปแก้ข้อเท็จจริงกันในศาลดีกว่านะครับ”
“…หากฝ่าบาทประสงค์เช่นนั้นก็คงต้องเป็นตามนั้นค่ะ โธ่ ท่านพ่อที่น่าสงสาร… แล้วเราจะเปิดการพิจารณาคดีกันเมื่อไรดีคะ”
มิเอลที่เพิ่งจะบอกให้อาเรียยอมรับผิดทำหน้าเศร้าแล้วหันไปถามเคนซึ่งกำลังจ้องมองอาซไม่วางตา
ในเมื่อสองพี่น้องคู่นี้กำลังขุดหลุมพรางและรอให้เหยื่อมาติดกับ คนที่น่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่อาเรียหรอกหรือ
อาซยกยิ้มขมขื่นพลางตบหลังอาเรียเบาๆ และลูบผมเธอ เห็นแบบนั้นใบหน้าของเคนพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยทนอารมณ์โกรธไม่ได้อีกต่อไปแล้วตอบทั้งที่ยังกัดฟันกรอด
“…ในเมื่อผู้ต้องหาปรากฏตัวแล้ว เริ่มดำเนินการเลยจะดีกว่า”
ถึงเวลาลงทัณฑ์คนบาปที่แท้จริงแล้ว
……………………….