พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 127
* * *
“เลดี้จะกลับคฤหาสน์เลยจริงๆ หรือครับ”
“แน่นอนค่ะ ก็ตอนนี้ที่นั่นคือบ้านของฉันแล้วนี่คะ”
อาเรียพยักหน้าแล้วตอบคำถามเจือแววกังวลของอาซ เขาคงจะกังวลที่เคนยังคงอยู่ในคฤหาสน์ แม้ว่ามิเอลจะได้รับโทษไปแล้วก็ตาม
เพราะขณะที่เคนกำลังรีบตามหลังมิเอลที่ถูกลากไปนั้น เขาได้จ้องเขม็งมาที่อาเรียกับอาซราวกับจะฆ่าให้ตาย สายตานั้นมีแต่ความอาฆาตมาดร้ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ามิเอลเลย
อาซจับมืออาเรียไว้ไม่ยอมปล่อยพลางเอ่ยโน้มน้าวอาเรียอีกครั้ง
“ไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศผมดีไหมครับ ผมยังมีอีกหลังหนึ่งในนครหลวง ไม่ใช่หลังที่อยู่ในป่าหรอกครับ หรือถ้าเลดี้ไม่สะดวกผมจะหาที่ที่เหมาะกับเลดี้ให้ครับ”
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจที่เขาเป็นห่วง เธอเพิ่งจะถูกมิเอลใส่ร้าย ฉะนั้นเธอจึงอยู่ในสภาพที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องได้รับอันตรายแบบไหนอีก การออกจากคฤหาสน์อย่างที่อาซว่าอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีก็ได้
เพียงแต่ว่า
“…ไม่ได้หรอกค่ะ ท่านแม่เองก็ยังอยู่ที่คฤหาสน์แล้วบรรดาข้ารับใช้ที่บ้านก็กำลังเป็นห่วงฉันกันน่ะค่ะ”
อาเรียยกยิ้มขมขื่นพลางยกเคาน์ติสที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ขึ้นมาเป็นข้ออ้าง อาซจึงไม่อาจตอบอะไรกลับไปได้ ทำได้แค่เลียริมฝีปาก
ตัวเธอเองก็รู้สึกผิดที่ทำให้เขาเป็นห่วง แต่เรื่องของมิเอลยังไม่ได้ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบ เธอจึงยังต้องอยู่ที่คฤหาสน์ เพราะหากทำเช่นนั้นเธอก็สามารถรับรู้ข้อมูลของมิเอลได้รวดเร็วขึ้น
รวมถึงวิธีที่จะได้ลงทัณฑ์มิเอลด้วย
จำคุก 20 ปีอย่างนั้นหรือ หากเป็นสามัญชนคงเป็นอีกเรื่องแต่สำหรับสตรีชั้นสูงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้วถือว่าเป็นโทษที่หนักเอาการ ชัดเจนว่ามันคือโทษที่ถูกเงื่อนไขไว้แล้วว่ายื่นอุทธรณ์ได้
นอกจากนั้น ตอนใกล้จะจบการพิจารณาคดีเคนยังบอกว่าเขาขอถอนแจ้งความ เพราะฉะนั้นเขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อหามิเอลออกมาให้ได้ ซึ่งสำหรับชนชั้นสูงแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
และอีกปัญหาหนึ่งก็คือเด็กสาวชนชั้นสูงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถออกจากบ้านหลังเดิมของตัวเองไปได้โดยง่าย
ดูเหมือนอาซเองก็เพิ่งจะนึกได้ว่ายังมีปัญหาอยู่อีกมากมายหลายอย่าง เขาจึงเอ่ยปากออกมาด้วยความเสียดาย
“ผมอยากให้เลดี้เป็นผู้ใหญ่เร็วๆ จังเลยครับ”
เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรอก
เธอรู้ได้ด้วยประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาอย่างโชกโชน แต่อาเรียก็เข้าใจว่าอาซผ่านความอบอุ่นจากมือที่กอบกุมกันไว้
เขาเพียงแค่อยากอยู่กับอาเรียได้ทั้งวันให้เร็วที่สุด
“ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะให้เลดี้อยู่เคียงข้างและคอยปกป้องเลดี้ได้ยังไงล่ะครับ แล้วยังโอ้อวดได้อย่างเต็มภาคภูมิเสียทีว่าเลดี้คือคนของผม”
“ไม่ใช่ว่าตอนนี้ก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่หรือคะ”
ในเมื่อวันนี้อาซเอาแต่นั่งรถม้าสวยงามตระการตาอย่างสง่าผ่าเผยเทียวไปเทียวมารอบนครหลวงเสียขนาดนั้น
นั่นทำให้อาซหัวเราะออกมาเบาๆ
“ปฏิเสธยากเสียแล้วสิครับ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากให้มีที่ที่ผมสามารถอยู่กับเลดี้ได้อย่างเป็นทางการมากกว่านี้อยู่ดีครับ เลดี้เองก็ …จะได้ไม่ต้องทำตัวแปลกๆ ด้วยไงครับ”
ตอนนั้นเอง อาเรียถึงนึกได้ว่าเธอแตะเนื้อต้องตัวอาซอย่างเช่นการทำตัวแนบชิดติดกับเขาต่อหน้าคนมากมาย เธอเบิกตาโตขณะที่สองแก้มก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เธอพูดอะไรไม่ออก พลันความอายก็คืบคลานเข้ามา
แล้วจะฟื้นฝอยหาตะเข็บมาทำให้เธอเขินอีกทำไม
หากถูกคนอื่นที่ไม่ใช่อาซต้อนถามเธอคงรับมือได้สบายๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคืออาซเธอจึงไม่อาจทำแบบนั้นได้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้เสมอนั่นล่ะ
อาเรียจึงตอบออกไปเสียงห้วน
“ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ เลดี้ทำได้ ผมแค่อยากให้เลดี้ทำตอนไม่มีใครอยู่มากกว่า”
“ไม่ค่ะ”
“นะครับ”
“ไม่ค่ะ และตอนนี้ฉันก็จะไม่พูดแล้วด้วย”
“ผมขอโทษครับ ถึงจะมีคนอยู่ก็ไม่เป็นไร ทำอย่างที่เลดี้อยากทำเถอะครับ”
สุดท้ายอาซก็ขอโทษพลางยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน อาเรียถึงได้คลายใจแล้วพลอยยิ้มตามเขาไปด้วย
ยิ้ม ที่ทำให้หัวใจอันพองฟูด้วยความปลื้มปีติเพราะสิ่งที่หวังมานานประสบผลสำเร็จได้ละลายลงอีกครา
* * *
“ท่านไม่สามารถถอนแจ้งความได้เพราะการพิจารณาคดีได้จบไปแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขออุทธรณ์ครับ ผมจะจ่ายเงินค่าประกันตัวให้ ช่วยปล่อยมิเอลด้วยเถอะนะครับ”
เคนซึ่งไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะได้รับโทษหนักขนาดนี้กล่าวตอบด้วยสีหน้าว้าวุ่น
ไม่อยากเชื่อเลยว่าศาลจะปฏิเสธกันอย่างเย็นชาเช่นนี้
หากเป็นท่านเคานต์ผู้มีเส้นสายกว้างขวางคงสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ง่ายดายกว่านี้ แต่คราวนี้ท่านเคานต์กลับกลายเป็นผู้เสียหาย เคนก็เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มผู้อ่อนต่อโลกที่เพิ่งจบจากวิทยาลัยเท่านั้น
แน่นอนว่าปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยง่ายแต่เพราะเฟรย์ยืนขวางอยู่เขาจึงไม่ได้แก้เสียที ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอำนาจขององค์รัชทายาทด้วย
เคนกัดฟันกรอดก่อนจะขอเข้าไปเยี่ยมน้อง
“มิเอลไม่เคยอยู่ในที่แบบนี้ผมคงต้องขอเข้าไปดูให้แน่ใจ และเธอเองก็ยังเด็กอยู่ด้วยครับ”
“เข้าใจแล้วครับ ท่านต้องเขียนเอกสาร เสร็จแล้วตามผมมานะครับ”
เคนต้องเขียนเอกสารที่แสนซับซ้อนแล้วจึงจะสามารถพบกับมิเอลได้
หากเทียบกับคฤหาสน์แล้วกับเป็นสถานที่ที่ต่ำตมอยู่เหมือนกัน แต่มันคือห้องขังสำหรับชนชั้นสูงดังนั้นนอกจากความแคบแล้วก็ไม่มีตรงจุดไหนที่แปลกพอให้จับผิดอีก
“ท่านพี่…!”
“มิเอล”
เคนรีบเข้าไปหามิเอลที่ร้องทักทายเขาทั้งน้ำตา ตาของเธอบวมแดงราวกับร้องไห้มาตลอดตั้งแต่จบการพิจารณาคดี
เคนจึงรีบส่งผ้าเช็ดหน้าเข้าไปให้มิเอล
“ตะ ตอนนี้น้องควรทำยังไงดีค่ะ…”
“พี่จะพาน้องออกไปเอง ไม่ต้องกังวลนะ”
“ฮึกฮือ…”
มิเอลร้องไห้ออกมาเสียงดังเมื่อเคนบอกว่าจะพาเธอออกไป ดูจากที่เธอไม่สามารถตอบอะไรออกมาได้อย่างที่ควรจะเป็นทั้งยังเอาแต่ปาดน้ำตา จิตใจเธอคงรู้สึกไม่มั่นคงมากจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ทหารรักษาการณ์จึงเหลือบมองเข้ามาด้านในเพราะข่าวว่าเธออาจใช้ยากดประสาทได้
หลังจากรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยจากการปลอบโยนของเคนแล้ว มิเอลก็เริ่มสาปแช่งอาเรียอีกครั้ง
“เพราะนางผู้หญิงชั้นต่ำนั่น ชีวิตน้องถึงได้…! น้องกลัวเหลือเกินค่ะว่าจากนี้คนอื่นจะมองคิดกับน้องยังไง…! ฮึก… จะรักษาภาพลักษณ์ไว้ได้ยังไง! แล้วคุณออสการ์ล่ะจะคิดเช่นไร! ถ้าโดนถอนหมั้นน้องจะทำยังไงดีคะ! ว่าไงล่ะคะ!
มิเอลก่นด่าอาเรียพลางร่ายเรียงทุกสิ่งอย่างที่เธอต้องเสียไป เธอพูดเหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นเหตุมาจากอาเรียทั้งสิ้น
เธอโยนความรับผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตนไปให้อาเรีย
“แล้วแม่นั่นก็อยู่ที่คฤหาสน์จริงๆ นี่คะ! แล้วกลายเป็นว่าไปอยู่เมืองข้างๆ ได้ยังไงกัน! ท่านพี่เองก็เห็นไม่ใช่หรือคะ!”
“…เห็น เห็นสิ”
เพราะหลังจากมาถึงบ้านแล้วเขามักจะมองดูห้องของอาเรียเป็นประจำเสมอ เขาจำได้ว่าภายในห้องของอาเรียเปิดไฟอยู่ และเขาเองก็เหมือนจะเห็นเงาของเธอด้วย เขาเชื่อว่าอาเรียไม่ได้แอบหนีออกไปแน่นอน เพราะเขาคอยมองเธออยู่ตลอด
เพราะแบบนั้นเขาถึงเชื่อคำพูดของมิเอลที่บอกว่าอาเรียก็อยู่ด้วยตอนท่านเคานต์ตกลงมา เพราะคนที่อยู่ข้างเดียวกันอย่างมิเอลไม่มีทางโกหกเขาอย่างแน่นอน
หากอาเรียไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์จริงๆ และมิเอลเป็นคนก่อเหตุแต่เพียงผู้เดียวละก็ น้องต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขาแล้วสิ เพราะมันเป็นแบบนั้นเสมอมา
‘เพราะอย่างนั้นฉันถึงไม่เคยสงสัยมิเอล แล้วก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรเลยสักอย่าง…’
เขาไม่เคยสงสัยเพราะมิเอลมักจะทำได้ดีในแบบของเธอ เธอคือคนที่มักได้รับคำชมเชยว่าฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ
แม้เขาจะไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับเธอนานนักเนื่องจากเขาต้องเข้าไปเรียนในวิทยาลัย แต่มิเอลก็เป็นเด็กที่เติบโตมาพร้อมคำชมจากใครหลายคนไม่ขาดปาก
แน่นอนว่าเมื่อองค์รัชทายาทก้าวออกมา เขาได้แต่มองอยู่เฉยๆ เพราะหากเขาทำอะไรบุ่มบ่ามลงไปอาจทำให้ถูกใส่ความได้ นอกจากนั้นเขายังสงสัยด้วยว่าองค์รัชทายาทกับอาเรียน่าจะสร้างหลักฐานบางอย่างขึ้นมาเพื่อบอกว่าพวกตนได้ออกเดินทางไปยังต่างเมืองอันไกลโพ้น
และเมื่อได้มาเห็นสภาพมิเอลที่พังทลายไม่เหลือชิ้นดีแบบนี้เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่ยืนมองอยู่เฉยๆ เพราะสิ่งที่เขาต้องการจากงานนี้มาตั้งแต่แรกคือสิทธิโดยชอบธรรมในการดูแลคฤหาสน์
เขาเคยคิดจะช่วยอาเรียที่ถูกต้อนให้กลายเป็นคนร้ายเพื่อจะนำมาโอ้อวดตัวเองก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดที่เพิ่มเข้ามา หาใช่เจตนาที่มีมาแต่เดิม
มิเอลเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยจากคำพูดของเคนที่บอกว่าเขาเห็นอาเรียอย่างชัดเจน เธอถามเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“…ทะ ทำไมไม่บอกตอนนี้เลยล่ะคะว่าพี่ก็เห็นเธอ”
“มิเอล อย่างที่พี่เองก็เคยพูดไปแล้ว มันเสี่ยงเกินไปที่จะบอกว่าทั้งน้องและพี่เห็นเธอในเวลาเดียวกัน แล้วยังต้องถูกตั้งคำถามอีกว่าเราจะไปรุมอยู่หน้าห้องอาเรียทำไมแต่แรก”
“บอกว่ามันเป็นการประชุมกันของคนในครอบครัวก็ได้นี่คะ!”
“แล้วจะไปประชุมอะไรกันหน้าห้องอาเรียล่ะ แล้วมันก็แปลกที่เราจะพูดถึงการประชุมในครอบครัวขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจัดมาก่อนสักครั้ง ไหนจะอธิบายได้ยากอีกว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย”
เมื่อเขาพูดย้ำคำตอบเดิมที่เคยพูดไปแล้วกับมิเอลซึ่งพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง เธอก็ร้องไห้ออกมาเป็นเขื่อนแตกอีกรอบทันที
“พี่จะไปตรวจสอบหลักฐานให้ละเอียดอีกครั้ง และจะยื่นอุทธรณ์พร้อมเงินประกันด้วย น้องไม่ต้องห่วงแล้วรออีกหน่อยนะ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ ท่านพี่ แล้วก็น้องมีอีกเรื่องอยากขอร้องท่านพี่ น้องอยากให้ท่านไอซิสมาเยี่ยมน้องหน่อยน่ะค่ะ… น้องมีเรื่องต้องบอกเธอ”
“เข้าใจแล้ว ไว้จะบอกให้”
หลังออกมาจากห้องขังเคนก็รีบตรงดิ่งไปดูหลักฐานที่อาเรียยื่นมาทันที โดยมีทหารรักษาการณ์ที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงซึ่งทำงานอยู่ในศาลตามติดมาถึงสองคนราวกับกลัวว่าเขาจะไปทำให้หลักฐานเสียหาย
แต่โชคร้าย
‘ไม่มีอะไร… ผิดปกติเลย’
หากทั้งสองสร้างหลักฐานขึ้นเพียงที่ใดที่หนึ่งก็คงพอจะทำอะไรได้บ้าง แต่นี่พวกเขาเล่นผ่านเมืองมากมายและยื่นกระทั่งใบผ่านทางของราชอาณาจักรโครอาเป็นแห่งสุดท้าย เอกสารจากอาณาจักรอื่น… ไม่ว่าพยายามจะปลอมแปลงอย่างไรก็ไม่อาจทำได้แน่นอน
นอกจากนั้นเวลาที่ต้องรีบเดินทางอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพักเท่านั้นจึงจะไปถึงได้ก็ถูกจดเอาไว้อย่างชัดเจน หากองค์รัชทายาทเดินทางคนเดียวก็คงไม่น่าแปลกใจ แต่มันเป็นเวลาที่นานเกินไปสำหรับอาเรียซึ่งไม่คุ้นชินกับการเดินทางระยะไกล
‘ไม่อาจแย้งได้เลย…’
หากเป็นหลักฐานที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ละก็ ไม่มีทางปลอมแปลงได้แน่ ไม่สิ มันคือหลักฐานที่ได้รับการออกแบบมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนไม่อาจแย้งได้ต่างหากล่ะ ทั้งที่บอกว่ามันเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนแต่กลับใช้เวลาอยู่ในเมืองน้อยนิดเหลือเกิน
เคนมองดูพวกมันอยู่เป็นเวลานานก่อนจะพับแฟ้มที่เก็บหลักฐานลง
“ดูหมดแล้วหรือครับ หากยังมีตรงไหนที่สงสัย ให้ผมอธิบายให้ฟังไหมครับ”
“…ไม่ครับ ไม่เป็นไร ก่อนอื่นผมอยากขอยื่นอุทธรณ์และเงินประกันตัวครับ”
“เข้าใจแล้วครับ แต่คงต้องใช้เวลาสักครู่เพราะต้องผ่านท่านผู้พิพากษาก่อน ตามผมมาได้เลยครับ”
[แม้อายุจะยังน้อยแต่ความผิดที่ก่อนั้นหนักหนาและดิฉันกลัวว่าจะไปก่อเหตุซ้ำอีกจึงขอคัดค้านการประกันตัวค่ะ ส่วนเรื่องอุทธรณ์ดิฉันจะดูกำหนดการแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในภายหลังค่ะ]
เคนอ่านแล้วก็ขยำมันก่อนจะปาลงพื้น
คัดค้านการประกันตัวอย่างนั้นหรือ! ทั้งที่เธอคือชนชั้นสูงแห่งจักรวรรดิที่แม้จะฆ่าคนก็ยังได้ประกันตัว! จะต้องเป็นเพราะอำนาจขององค์รัชทายาทไม่ผิดแน่
มิหนำซ้ำไอซิสยังแจ้งความประสงค์ว่าจะไม่มาพบกับมิเอลอีกด้วย เธออ้างว่ากำลังยุ่งและกำลังจะต้องเดินทางไปยังราชอาณาจักรโครอาในเร็ววัน แต่ดูแล้วเธอคงไม่ต้องการติดต่อกับมิเอล ไม่สิ กับตระกูลเคานต์โรสเซนต์อีกต่อไปแล้ว
‘หากท่านพ่อยังปกติดีละก็…!’
หากเป็นเช่นนั้นเขาคงเกลี้ยกล่อมดยุกให้ปล่อยมิเอลออกมาได้
แต่ในความเป็นจริงท่านเคานต์กลับต้องมานอนไม่ได้สติด้วยน้ำมือของมิเอล ซึ่งเหล่าชนชั้นสูงคนอื่นๆ ต่างมองว่ามันเป็นความผิดที่น่าขยะแขยงและพากันเมินเฉยต่อสองพี่น้องไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากผลักผู้เป็นพ่อให้ตกนรกทั้งเป็นเขาถึงรู้สึกอับอายเมื่อระลึกได้ว่าพ่อของตนมีอำนาจมากมายเพียงใด เขาได้อำนาจมาโดยชอบแล้วก็จริงแต่ก็ไม่สามารถใช้มันได้เช่นกัน
‘แล้วอาเรียยังมาเมินฉันอีก!’
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่คนรับใช้ทุกคนในคฤหาสน์ต่างพากันปรนนิบัติอาเรียเป็นอย่างดี ราวกับเธอเป็นแก้วที่แตกสลายได้ง่ายอย่างไรอย่างนั้น
เธอทำเหมือนตัวเองเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงในตระกูลเคานต์
แม้จะสายเกินไปมากแต่คนร้ายควรจะเป็นอาเรียไม่ใช่มิเอล แต่เขาเองก็ไม่อาจใส่ความอะไรเธอที่เตรียมตัวและโต้แย้งอย่างครบถ้วนกระบวนความได้อีกแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วเธอได้รับทั้งความสงสารและความรักจากใครหลายคน ทั้งยังถูกขนานนามว่าเป็น ‘เลดี้ผู้น่าสงสาร’ ราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ และแม้จะมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่มติมหาชนต่างเห็นพ้องต้องกันว่านิสัยใจคอกับสติปัญญาของเธอเหมาะสมจะเป็นคู่ครองขององค์รัชทายาทอีกต่างหาก
กระทั่งในบรรดาชนชั้นสูงยังไม่มีใครกล้าแย้ง
เขาไม่อาจบอกเรื่องนี้ให้มิเอลรู้ได้จึงได้แต่เดือดดาลอยู่หน้าเตียงของท่านเคานต์ แต่แล้วก็กลับได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องดังออกมาจากห้องของท่านเคานต์
“หมอ! เรียกหมอประจำตระกูลมาสิ! เร็วเข้า!”
เสียงเคาน์ติสนั่นเอง
เธอส่งเสียงร้องตะโกนดังไปทั้งคฤหาสน์ด้วยสีหน้าตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก เรียกหมออย่างนั้นหรือ หากเป็นเรื่องที่ทำให้วุ่นวายได้ขนาดนั้นก็มีอยู่สองอย่าง คือท่านเคานต์ตายแล้วหรือไม่ก็ลืมตา
‘หรือว่า…!’
เขายังทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง!
ร่างทั้งร่างพลันสั่นสะท้านด้วยความกลัวที่ตนสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดและความคิดว่าอาจต้องจ่ายค่าตอบแทน
ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องไปดูให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องท่านเคานต์กันแน่ เคนจึงจับบานประตูอย่างระมัดระวังแม้จะกลัวมากก็ตาม
……………………….