พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 133
* * *
“พูดเช่นนั้นไปได้ยังไงกัน!”
ทันทีที่เข้ามาในห้องไอซิสก็ไล่คนรับใช้ทั้งหมดออกไปแล้วต่อว่ามิเอล
เพราะระหว่างทางที่มายังโครอาไอซิสก็เอ่ยเตือนมาตลอด แต่สุดท้ายมิเอลกลับเอาเรื่องเจ้าชายมาเล่าให้จักรพรรดิหนุ่มอย่างโรฮันฟังจนได้
‘โกหกอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!’
แต่มิเอลยังไม่อาจตัดสินสถานการณ์ได้อย่างที่ควรจะเป็นจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ตะ ต้องรู้ไว้สิคะ ท่านจะได้เตรียมตัว ไม่เช่นนั้นหากทุกอย่างที่พยายามสร้างมาพังทลายไปหมดจะทำยังไงล่ะคะ…!”
“เลดี้มิเอล!”
“ท่านอาจจะสับสนตอนแรกแต่จะต้องเชื่อดิฉันแน่ค่ะ! เพราะมันคือความจริงยังไงล่ะคะ! หากท่านไม่เชื่อคำพูดดิฉัน ท่านจะต้องเสียใจ”
ไอซิสซึ่งกำลังโมโหที่มิเอลเอาแต่ยืนกรานหนักแน่นได้แต่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ มิเอลดื้อด้านหัวชนฝาจนโรฮันถึงกับจะส่งคนมา ดังนั้นก็ถือว่าเรื่องได้เกิดขึ้นมาแล้ว มันย้อนกลับไม่ได้แล้ว
หากมิเอลเป็นแค่สาวใช้ธรรมดาๆ เธอคงอาละวาดบอกว่ามิเอลเป็นบ้าไปแล้ว แต่นี่กลับเป็นระเบิดที่ถือจดหมายสำคัญของเธออยู่
“หากมีอะไรผิดพลาดเพราะเลดี้แม้เพียงอย่างเดียวละก็…!”
เมื่อไอซิสเปิดเผยความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจออกมาด้วยความอัดอั้น มิเอลก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไรจึงพูดเสริมให้ไอซิสคลายความกังวลลง
“ตายจริง ดิฉันไม่คิดให้รอบคอบเอง ดัชเชสไม่ต้องห่วงนะคะ คราวนี้ดิฉันจะเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างเองค่ะ จริงๆ นะคะ”
สีหน้าของไอซิสจึงเปลี่ยนไปในพริบตา
เพราะหากมิเอลพาตัวเองเข้าไปทำเรื่องสุ่มเสี่ยงก็จะเป็นการทำลายตัวเอง ดังนั้นเคนซึ่งไม่มีใครให้กล่าวโทษก็จะเปิดเผยจดหมายพวกนั้นได้ลำบากตามไปด้วย
ไม่สิ หากเธอพูดเสริมไปว่าตนเกือบจะทำงานใหญ่ผิดพลาดเพราะมิเอล อีกฝ่ายคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่
อย่างไรเสียไอซิสก็ขบคิดมาตลอดอยู่แล้วว่าเธอจะสลัดมิเอลทิ้งไปเมื่อไรดี ดังนั้นก็คงไม่เลวหากจะใช้โอกาสนี้ไล่มิเอลไป
“…เช่นนั้นเลดี้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ให้ชัดเจนดีกว่านะ เราจะได้ส่งคู่ฉบับไปยังคฤหาสน์เคานต์”
‘ฉันจะได้มั่นใจยังไงล่ะ’
ไอซิสพูดพร้อมกับหยิบจดหมายออกมา มิเอลพยักหน้า ดูเธอจะเชื่อจริงๆ ว่าจักรพรรดิวัยหนุ่มแห่งโครอาจะเชื่อคำพูดของตัวเอง
สมกับเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักความเป็นจริงของโลก โง่เขลาเสียจริง
“ได้ค่ะ”
ไอซิสไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอจะบิดเบี้ยวไปเช่นนี้ได้ในระยะเวลาเพียงปีเดียว มันเคยเป็นความสัมพันธ์ที่สามารถกลายเป็นครอบครัวเดียวกันได้ แต่ในตอนนี้ต่างคนกลับต่างซ่อนกรงเล็บแหลมคมต่ออีกฝ่าย
“สุดท้ายช่วยลงนามให้ด้วยนะ เราอยากให้เลดี้ลงนามไว้ด้านบนของทั้งสองฉบับ เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราไม่ได้ปลอมแปลงขึ้นมาค่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อมิเอลส่งจดหมายทั้งสองฉบับที่เธอตั้งใจเขียนอย่างดีให้ไอซิส พลันสีหน้าของไอซิสก็กลับมาสดใสดังเดิมราวกับรู้สึกพอใจ
เป็นหน้าตาที่ดูโล่งใจอย่างไรพิกล ต่างจากมิเอลน้อยที่แสนโง่เขลา โรฮันผู้ฉลาดหลักแหลมไม่มีทางเชื่อคำพูดของมิเอลแน่นอน
ทั้งสองใช้เวลาคืนนี้ผ่านไปพร้อมความคิดและเป้าหมายที่แตกต่างกันจนวันใหม่
“ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าครับ”
คำพูดของข้ารับใช้ที่โรฮันส่งมาทำให้มิเอลซึ่งตัวเกร็งเพราะความตื่นเต้นมาตั้งแต่เมื่อขึ้นลุกพรวดขึ้นจากที่ทันที เธอตื่นเต้นเสียจนไม่สามารถทานอาหารเช้าที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีจนหมดด้วยซ้ำ
หวังว่าจักรพรรดิหนุ่มแห่งโครอาจะเป็นคนเฉลียวฉลาดและเชื่อคำพูดเธอ มิเอลคิดเช่นนั้นพลางเดินตามหลังข้ารับใช้ไป ไม่สิ เธอคิดว่าเขาต้องเชื่อเธอแน่เพราะสิ่งที่เธอเห็นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
มิเอลมายืนหอบอยู่หน้าห้องทำงานของโรฮันซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเธอมาพอสมควร และแล้วประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆ
มิเอลตกใจแล้วรีบก้มหน้าแสดงความเคารพอย่างอ่อนน้อม
“ดะ ดิฉันมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองเช่นนั้นหรอก มาใกล้ๆ สิ”
เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าโรฮันตามที่เขาสั่ง
ผมสีเงินของเขาส่งประกายยามต้องแสงแดดที่ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่าง มันทำให้เขาดูลึกลับจนตรึงสายตาเธอไว้ได้เป็นเวลานาน ผมสีนี้หาได้ยากนักในจักรวรรดิ
และนัยน์ตาสีทองของเขาก็ช่างงดงามราวดวงตะวัน เป็นความงดงามคนละแบบกับแววตาของออสการ์ที่มักจะเย็นชาเสมอ
“ผมอยากคุยเรื่องเมื่อวานนี้ให้รู้เรื่อง”
มิเอลที่เอาแต่ใจลอยมองโรฮันตกใจจนหน้าแดงระเรื่อเมื่อเขาพูดเข้าเรื่องอย่างกะทันหัน
‘มาเพื่อพูดเรื่องสำคัญแต่กลับมาลุ่มหลงใบหน้าของบุรุษอย่างนั้นหรือ’ มิเอลตำหนิตัวเองก่อนจะตั้งสติ กลืนน้ำลาย และตอบไปอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ เจ้าค่ะ…! ท่านอาจจะทราบอยู่แล้ว แต่ว่า… มกุฎราชกุมารของจักรวรรดิทรงมีความสามารถพิเศษบางอย่างและดิฉันคิดว่าควรจะทูลให้ท่านทรงทราบโดยตรง เพราะดิฉันมั่นใจว่ามันจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อสิ่งที่ท่านกำลังทำเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ เป็นอุปสรรคต่อผมเชียวหรือ ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องสำคัญสินะ แล้วความสามารถพิเศษของมกุฎราชกุมารที่ว่ามันคืออะไรล่ะ”
โรฮันเอ่ยเร่งมิเอลด้วยสายตาสนอกสนใจ คำพูดที่เธอบอกว่ามันจะขวางทางข้างหน้าของเขาทำให้เขานึกอยากรู้ขึ้นมา
สายตาเดียวกันกับที่มิเอลเพิ่งเห็นไปเมื่อคืนนี้ จักรพรรดิหนุ่มเป็นคนหลักแหลมอย่างที่เธอคิดจริงๆ ด้วย
นั่นทำให้มิเอลรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยและมีความมั่นใจที่จะเปิดเผยความลับของมกุฎราชกุมารมากขึ้น
“เป็นความสามารถแบบที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็ล่องหนได้เจ้าค่ะ มันเหมือน… สามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระเลยเจ้าค่ะ”
เขาหรี่ตาลงเมื่อได้ฟังสิ่งที่มิเอลพูด ความสามารถพิเศษ เคลื่อนไหวไปได้ทุกที่อย่างอิสระ เขาดูเหมือนกำลังคิดถึงสิ่งที่มิเอลพูดอย่างละเอียด
โรฮันจมอยู่กับความคิดสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าสนใจใคร่รู้เมื่อครู่นี้หายไปจนสิ้น ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของโรฮันทำให้มิเอลได้แต่ยืนบีบมือคอยเขาด้วยความกระวนกระวาย
“อืม ผมยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร ถึงเขาจะเป็นมกุฎราชกุมารของจักรวรรดิแต่ในฐานะคนคนหนึ่งแล้วมันจะเป็นไปได้หรือ”
ใบหน้าของโรฮันที่ถามกลับมามีแต่ความสงสัย ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้มีแววต่อว่าหรือจับผิดเหมือนคนอื่น มันคือคำถามจากใจจริงๆ ว่ามันจะเป็นไปได้หรือ
มิเอลจึงยืนยันสิ่งที่เธอได้พูดไปเสียงดัง
“ดิฉันเห็นกับตาเลยเจ้าค่ะ!”
“เห็นกับตาหรือ ที่ว่ามกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิเคลื่อนตัวไปอีกที่อย่างรวดเร็วน่ะหรือ …เธอไปเห็นที่ไหนและเห็นได้ยังไงกัน”
“เรื่องนั้น… เกิดขึ้นที่คฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์เจ้าค่ะ ดิฉันแวะไปทำธุระที่นั่นพักหนึ่งจึงได้เห็นเจ้าค่ะ… คือ… เป็นตอนที่ท่านเคานต์ตกลงมาจากบันไดพอดีเลยเจ้าค่ะ จู่ๆ มกุฎราชกุมารก็ปรากฏท่านมาแล้วก็หายลับไปเจ้าค่ะ ราวกับภาพลวงตาทีเดียวเจ้าค่ะ”
การจะโน้มน้าวใจด้วยคำโกหกปะปนกับความเป็นจริงมันง่ายดายที่ไหนกัน เมื่อเธอยืนยันพร้อมกับพูดถึงเรื่องนั้น โรฮันก็เลิกคิ้วถามกลับ
“คฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์หรือ …อ้อ เธอกำลังพูดถึงคดีน่ากลัวที่ลูกตั้งใจจะฆ่าพ่อตัวเองสินะ”
ดูเหมือนเรื่องที่มิเอลผลักท่านเคานต์ตกบันไดจะดังข้ามจักรวรรดิมาจนถึงโครอาเลยทีเดียว
แต่คำพูดที่ว่า ‘อาเรียเป็นคนผลักท่านเคานต์’ ดูจะไม่ได้ดังข้ามมาด้วย มิเอลจึงได้แต่พยายามเก็บกลั้นอารมณ์โกรธแค้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งแล้วช่วยแก้ไขสิ่งที่โรฮันยังเข้าใจผิดอยู่
“…คำตัดสินออกมาเช่นนั้นแต่ดิฉันเห็นเจ้าค่ะ ว่าเลดี้อาเรียเป็นคนผลักท่านเคานต์ลงมาจริงๆ และหลังจากนั้นมกุฎราชกุมารก็ปรากฏท่านขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองจะหายไปดังควันเจ้าค่ะ เรื่องจริงนะเจ้าค่ะ!”
ภาพที่เธอยืนยันคอเป็นเอ็นนั้นทำให้โรฮันกระตุกยิ้ม ซึ่งมิเอลไม่มีทางเข้าใจว่านั่นหมายถึงอะไรจึงพูดโน้มน้าวใจโรฮันอีกครั้ง
“ดิฉันทราบดีเจ้าค่ะว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ เพราะที่ดิฉันปิดปากเงียบมาจนป่านนี้ก็เพราะเหตุนั้นเช่นกัน… เลดี้มิเอลที่น่าสงสาร… จะว่าไปเมื่อพูดเรื่องการโกหกแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีแต่โทษสถานหนักแล้วเหตุใดดิฉันจะโกหกล่ะเจ้าค่ะ ขอท่านโปรดรับรู้ความรู้สึกของดิฉันที่ต้องการจะบอกและช่วยท่านแม้สักนิดเถอะนะเจ้าค่ะ”
คำพูดของมิเอลที่กล้าพูดว่าตัวเองน่าสงสารก็นับว่ามีเหตุผลในระดับหนึ่ง
เธอคงไม่มีทางมาบอกจักรพรรดิของประเทศหนึ่งว่ามกุฎราชกุมารมีพลังความสามารถพิเศษเว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นบ้า เพราะหากเธอทำพลาดไปนั่นก็หมายความว่าเงาหัวเธอก็จะหายไปด้วย
แน่นอนว่าเธอคือสาวใช้ที่ไอซิสเป็นคนพามาด้วยตัวเองดังนั้นเขาจึงไม่อาจสังหารเธอได้โดยง่าย แต่มิเอลก็อาจต้องโทษสถานหนักอย่างที่เธอพูดได้จริงๆ
ยกตัวอย่างก็เช่น ตัดลิ้นจอมเจ้าเล่ห์นั่นเสีย
แต่โรฮันผู้มีปัญญาไม่มีทางตัดสินใจอย่างโหดร้ายเช่นนั้น ในทางตรงกันข้ามเขากลับสอบถามคนที่นำข้อมูลสำคัญนี้มาบอกเขาอยู่เป็นเวลานาน
“เข้าใจแล้ว ฉันเองก็คิดว่ามันมีเหตุผล แล้วนายล่ะว่ายังไง วิการ์”
จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อใครอีกคนขึ้นมามิเอลจึงหันมองไปรอบตัวด้วยความตกใจ เธอจึงได้เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในมุมที่เธอไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่ตื่นเต้น
‘วิการ์ เรย์ออส…!’
เขาคือหนึ่งในขุนนางของจักรวรรดิซึ่งเคยให้คำแนะนำกับไอซิสบ้างเป็นบางครั้ง และมิเอลก็คุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี มิเอลรู้สึกตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มสันจมูกและหน้าผากเพราะตัวเองกำลังปลอมตัวเป็นสาวใช้อยู่
วิการ์เองก็มั่นใจจึงยกยิ้มแปลกประหลาดให้ใบหน้าที่ไม่ได้เจอเป็นเวลานานพลางเอ่ยตอบ
“กระผมก็คิดว่ามีเหตุผลขอรับ กระผมเองก็เคยเห็นมกุฎราชกุมารย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกเช่นกันขอรับ กับเหตุการณ์นี้ก็เคลื่อนไหวไปได้เร็วเช่นกัน จนไม่น่าเชื่อว่าจะไปพร้อมเลดี้ชนชั้นสูงเลยทีเดียวขอรับ”
โชคดีที่วิการ์ทำเป็นไม่รู้จักมิเอล
วิการ์พูดต่อ
“และกระผมก็คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรหากเราจะประเมินความสามารถพิเศษนั่นให้เกินจริงเอาไว้ก่อนแม้ว่าสุดท้ายแล้วสาวใช้คนนี้จะโกหกก็ตามขอรับ”
คำสนับสนุนที่หนักแน่นจากวิการ์ทำให้โรฮันพยักหน้า
จริงอย่างที่วิการ์พูด การเตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย อย่างไรก็ดีกว่าประเมินต่ำเกินไปและประมาทเลินเล่ออยู่แล้ว
“ดีล่ะ นายยังว่าอย่างนั้นฉันจะเชื่อก็แล้วกัน ฉะนั้นฉันก็จะเชื่อเธอด้วย”
สีหน้าและคำตอบที่น่าพอใจของโรฮันทำเอามิเอลเข่าอ่อน เพราะเธอตื่นเต้นมากต่างจากที่มั่นใจว่าเขาจะเชื่อเธอ
โรฮันที่ลุกจากที่มาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้เข้ามาช่วยประคองมิเอล ใบหน้าด้านข้างของเธอจึงสัมผัสกับอกแกร่งของเขาเข้า
“ฝะ ฝ่าบาท…!”
“เราอยากทานมื้อเที่ยงกับผู้มีพระคุณที่นำข้อมูลสำคัญมาบอกเราเสียหน่อย เธอพอจะมีเวลาหรือไม่”
ทั้งสายตาและเส้นผมของโรฮันที่ถามเธอเช่นนั้นเป็นประกายระยิบระยับ จนเธอรู้สึกว่ามันช่างอ่อนหวานเหลือเกิน
และความงามของชายหนุ่มก็เพียงพอจะทำให้ใบหน้าขาวราวน้ำนมของมิเอลแดงเรื่อขึ้นมาได้
“ดะ ดิฉัน…!”
เธอมีออสการ์อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นโรฮันเองก็กำลังจะกลายเป็นสวามีของไอซิสมิใช่หรือ
เธอไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ต่อชายอื่นนอกเหนือจากออสการ์เลยไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปเช่นไร วิการ์จึงเป็นคนตอบแทน
“เธอเป็นสาวใช้ที่มาพร้อมท่านไอซิส ฉะนั้นคงพอมีเวลาอยู่บ้างกระมัง ว่าแต่กระผมขอร่วมโต๊ะกับฝ่าบาทด้วยได้หรือไม่ขอรับ”
“นายจะถามสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่แล้วทำไม”
มิเอลตีตนไปก่อนไข้ว่าจะได้ร่วมโต๊ะกับเขาเพียงสองคนแต่สุดท้ายแล้วไอซิสก็เข้ามาร่วมด้วย ทั้งสี่จึงได้ทานมื้อกลางวันด้วยกัน”
ในเวลาอาหาร ไอซิสที่มั่นใจหนักหนาว่ามิเอลจะต้องจะต้องได้รับโทษสถานหนักได้แต่จ้องมองมิเอลซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่อยากเชื่อ
“สาวใช้ของเลดี้มีปัญญาเฉียบแหลมมากทีเดียว”
เขาดูเหมือนจะเชื่อว่ามกุฎราชกุมารหายตัวไปที่อื่นได้จริงๆ จนถึงขั้นเอ่ยชื่นชมมิเอลเช่นนี้
แต่เมื่อไอซิสนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เธอกับเขาเคยคุยกันผ่านจดหมายแล้วเขาก็เป็นคนสุขุมและมีเหตุมีผลมากทีเดียว แต่เขาไม่ใช่คนที่จะยอมเข้าใจคำพูดเพ้อฝันไร้สาระของเด็กสาวคนหนึ่งแน่นอน
“…ขอบคุณค่ะ”
ไอซิสตอบพลางลอบสังเกตเขาไปด้วย
อาหารกลางวันถูกเตรียมด้วยความเอาใจใส่แต่เธอกลับไม่รับรู้ถึงรสชาติของมันสักนิด
“และผมยังชอบแววตาของเธอด้วย มันเป็นแววตาของผู้ที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จนอยากจะคุยด้วยอีกสักหน่อย”
มิเอลก้มหน้างุดสองแก้มแดงระเรื่อ ภาพนั้นช่างน่าเอ็นดูเสียจนโรฮันต้องยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยถามเธอ
“เราอยากได้เธอมาเป็นนางกำนัลของเราหากท่านหญิงไอซิสอนุญาต”
โรฮันทำตัวเป็นกันเองกับมิเอลทั้งยังพูดทีเล่นทีจริง มิเอลได้แต่นั่งหน้าแดงไม่อาจประเมินสถานการณ์ในตอนนี้ได้
แล้วไหนจะวิการ์ที่มาถึงก่อนกำหนดอีก ไอซิสส่งสายตาหาวิการ์เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้น ราวกับตีความสายตานั้นออก วิการ์ยักไหล่แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ท่านโรฮัน ไหนๆ ดัชเชสไอซิสก็มาถึงโครอาแล้วเรามาหารือกันเรื่องพิธีแต่งงานบ้างดีไหมขอรับ”
“พิธีอภิเษกหรือ”
โรฮันถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย ราวกับเขาไม่เคยได้ยินคำว่าพิธีอภิเษกที่ว่ามาก่อนเลย
นั่นทำให้ใบหน้าของไอซิสที่กำลังทานอาหารอยู่แข็งทื่อเป็นหิน
“…เอ๊ะ เอ่อ ขอรับ ก็ฝ่าบาทตัดสินใจจะแต่งงานกับดัชเชสไอซิสมิใช่หรือขอรับ”
วิการ์เองก็ถามกลับอย่างกระวนกระวาย ทันใดนั้นโรฮันก็หยุดทานอาหารราวกับเข้าใจสิ่งที่วิการ์พูดก่อนจะเอ่ยตอบ พร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยที่มุมปาก
“อ้อ เรื่องนั้นนี่เอง ถ้าเช่นนั้นท่านไอซิสคงมาโครอาเสียเที่ยวแล้วกระมัง …เหมือนนายจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ เรื่องนั้นฉันบอกจะมอบให้เป็นรางวัลในกรณีที่ ‘ฉันได้ครอบครองจักรวรรดิแล้ว’ และฉันก็จะไม่ทำเช่นนั้นโดยไม่ประเมินความคุ้มค่าของมันด้วย ฉันว่าฉันแจ้งผ่านเอกสารไปแล้วนะ”
หมายความว่าอย่างไรกัน… ไม่ใช่ว่าอภิเษกแล้วค่อยโจมตีจักรวรรดิหรอกหรือ
ไอซิสตกใจจนลืมแม้แต่จะกะพริบตา เธอจ้องมองโรฮันด้วยสีหน้าซีดเผือด แต่โรฮันกลับไปก้มหน้าก้มตาทานอาหารอีกครั้งราวกับมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าสบอารมณ์นักสำหรับเขา
“อ้อ… เช่นนั้นเองหรือขอรับ กระผมมีหน้าที่เพียงนำส่งสารจึงไม่รู้ลึกถึงขั้นนั้น พวกท่านคุยกันเช่นนี้เองสินะครับ จะว่าไปกระผมว่ามันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ท่านวิการ์…!”
ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งผู้ที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกอย่างดีที่สุดอย่างวิการ์ก็ยังเข้าข้างโรฮัน
เธอเริ่มเรื่องนี้ก็เพราะคำแนะนำจากเขาทั้งนั้น แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน แววตาของไอซิสล่องลอยไปมาเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นราวกับถูกโยนเข้าไปท่ามกลางพายุไต้ฝุ่น
เห็นแบบนั้นวิการ์จึงพูดเสริมพร้อมรอยยิ้มราวกับคนดีให้ไอซิส
“ดัชเชสเตรียมงานไว้หมดแล้วฉะนั้นอีกไม่นานจักรวรรดิจะต้องตกอยู่ในมือของท่านโรฮันแน่ขอรับ จริงไหมครับท่านไอซิส”
“…คิดว่าอย่างนั้นค่ะ…”
ไอซิสตอบเช่นนั้นทั้งที่กำลังร้อนใจ มือเธอสั่นระริก ความคิดว่าเธอต้องรีบโจมตีจักรวรรดิให้เร็วที่สุดเพื่อทำให้สถานะของตัวเองมั่นคงวิ่งวุ่นอยู่เต็มหัว
รอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโรฮันและวิการ์ขณะมองเธอ
……………………….