พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 140
แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเช้าก็ตามแต่แขกหลายคนที่หลั่งไหลมาเพื่อจะอวยพรวันเกิดอาเรียเริ่มมารวมตัวกันอยู่ที่โถงชั้นหนึ่ง พลางถามไถ่ทุกข์สุขหญิงสาว
ในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ ไม่ได้เชิญแขกแค่กลุ่มขุนนางชนชั้นสูงแต่ยังเชิญบรรดานักเรียนในสถาบันอีกด้วย
ยังไม่รู้อีกหรือว่าทุกอย่างทำไปเพื่อผลาญทรัพย์สินของท่านเคานต์ที่นอนป่วยไม่รู้เรื่องอยู่เท่านั้น แต่พวกเขากลับอิจฉาริษยาในความเมตตาของอาเรียที่มีให้เด็กนักเรียนเหล่านั้น
“เลดี้อาเรีย!”
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ! เลดี้อาเรีย!”
“พระเจ้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้พบเลดี้…!”
“เป็นเพราะเลดี้อาเรีย ทำให้ผมได้เข้าทำงานในตำแหน่งดีๆ ได้ครับ!”
อาเรียพูดขอบคุณเหล่านักเรียนแต่ละคนที่แทบจะน้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติ
“ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการเล่าเรียนอยู่แน่เลย ขอบคุณที่มาเยือนนะคะ แม้จะไม่ได้เตรียมอะไรไว้มากมายนัก อย่างน้อยก็ทานอะไรสักหน่อยนะคะ”
“ขะ..ขอบคุณครับ…!”
“อ้อ เพื่อเป็นการขอบคุณที่สละเวลามาแสดงความยินดี ดิฉันเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้ด้วยล่ะค่ะ เตรียมไว้เยอะเลย ก่อนกลับอย่าลืมหยิบไปด้วยนะคะ”
ตอนแรกคิดว่าจะเตรียมเป็นเซตขนมธรรมดา แต่เพราะสั่งขนมที่หาทานไม่ได้ทั่วไปเสียแล้ว จึงมั่นใจว่าของขวัญพวกนี้จะทำให้พวกเขาเอ่ยปากชมได้ไม่หยุดแน่นอน
เพราะอย่างนี้จึงบรรลุเป้าหมายการผลาญทรัพย์สินของท่านเคานต์ได้อย่างไรล่ะ
“ตายจริง นี่ต้องร่วมงานเลี้ยงกับคนธรรมดาจริงๆ เหรอคะเนี่ย…”
“สมกับเป็นคนจากชนชั้นธรรมดามาสืบทอดสมบัติของขุนนางจริงๆ เลย”
โชคร้ายที่เรื่องนั้นกลับไม่ระแคะระคายอำนาจของเคน เนื่องจากคนพวกนั้นคือญาติสนิทของเคน
พวกเขาไม่ถึงกับต้องมางานก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าอยากจะมาพิสูจน์ข่าวลือที่ว่าตระกูลท่านเคานต์กำลังจะหมดตัว จึงตอบรับคำเชิญของอาซและมางานนี้
“ต้องร่วมงานเลี้ยงกับคนธรรมดาหรือนี่…”
คนที่ไม่รู้ว่าโลกหมุนไปขนาดไหนแล้วบังอาจพูดพลางส่งแววตาดูถูก ทำให้นักเรียนที่อยู่รอบๆ อาเรียเดินตรงเข้ามาและแสดงสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
“เลดี้อาเรีย…”
“คือว่า… แค่พวกเราได้พบเลดี้อาเรียก็เพียงพอแล้วล่ะครับ ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ”
อาเรียที่รู้ว่านักเรียนเหล่านั้นต่างเป็นเด็กดีและมีจิตใจที่อ่อนโยน จึงเผยสีหน้าเป็นห่วงกลัวว่าพวกเขาจะเสียใจ
อีกทั้งยังมีบางคนที่คิดว่าตัวเองไม่น่าบังอาจมางานที่มีแต่คนชั้นสูงแบบนี้เลยด้วย พวกเขาต่างเสียใจที่อาเรียต้องมาโดนนินทาว่าร้ายเพราะพวกเขา
และเธอก็ไม่มีข้อแก้ต่างอะไรกับคำพูดหยาบคายที่พูดถึงเธอ จึงได้แต่หน้าแดงก่ำพลางยิ้มเยาะกับสถานการณ์เหล่านั้น
แต่สำหรับอาเรียแล้วอย่าคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าเศร้าเลย เธอมีแต่ความสมเพชเหล่าชนชั้นสูงที่โง่เขลาเท่านั้น
“แปลกจริง งานวันนี้จัดเพื่อแสดงความยินดีให้กับ ‘อาเรีย โรสเซนต์’ นี่นา ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นมาร่วมงานด้วยนะคะ”
อาเรียไม่ได้มีเจตนาที่ดีตั้งแต่ต้น
ซึ่งนั่นก็มาจากมิเอลและข้ารับใช้ของหล่อนที่มีส่วนกระตุ้นด้วยเช่นกัน แต่เป็นเพราะหากเป็นเด็กที่ดีตั้งแต่แรกแม้จะโดนกระตุ้นเท่าไหร่ก็ไม่กล้าทำเรื่องไม่ดีได้หรอก
เพราะการที่หล่อนปรากฏตัวในฉะนั้นวันดีๆ แบบนี้ หล่อนคงไม่อยู่เฉยแน่
” ‘แขกที่ไม่ได้รับเชิญ’ มาพูดจาไร้มารยาทกับ แขกรับเชิญ ‘ตัวจริง’ แบบนี้ ดิฉันจะรู้สึกยินดีได้อย่างไรกันล่ะคะ “
อาเรียพูดเสียงดังเพื่อให้ทุกคนได้ยิน จากนั้นคนอื่นที่ยังไม่รู้สถานการณ์ก็รีบรวมตัวกันทันที
ไร้มารยาทอย่างนั้นเหรอ ใครกัน
เพราะส่วนใหญ่คนที่ร่วมงานคือคนที่อาเรียเชิญด้วยตัวเอง คนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพูดคุยกันหาตัวจับด้วยสีหน้าตกใจ
พวกชนชั้นสูงที่พูดดูถูกอาเรียและคนธรรมดาเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงยกยิ้มพลางกระซิบกระซาบกัน
“ก็ไม่ได้แต่เรื่องขึ้นมานี่คะ ทำไมต้องโกรธถึงขนาดนั้นด้วยล่ะ คนทั่วไปคงจะอารมณ์อ่อนไหวแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยสินะ ช่างไม่น่ามองเสียจริง”
“ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ได้รับเชิญมาจากผู้แทนท่านเคานต์นี่ จะมาบอกว่าไม่ได้รับเชิญแบบนี้ก็กล่าวเกินไปนะคะ”
ทันใดนั้นผู้คนในงานต่างตกใจพร้อมกับเริ่มพูดถึงสถานการณ์นั้นออกมาเรื่อยๆ
“ตายจริง นั่นพวกเขาพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ”
“น่าเกลียดเสียจริง… เพิ่งเคยเห็นคนที่พูดโดยไม่ไตร่ตรองแบบนั้นครั้งแรกเลยล่ะ”
งานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความยินดีกลับเปลี่ยนกลายเป็นเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ บรรยากาศภายในงานก็เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ อาเรียที่แสดงสีหน้าเรียบเฉยจึงพูดขอโทษสั้นๆ ราวกับว่าตัวเองไม่รู้มาก่อน
“ได้รับเชิญจากท่านพี่เคนอย่างนั้นเหรอคะ… ดิฉันพลาดไปแล้วแน่เลย ถ้าอย่างนั้นรบกวนย้ายที่ไปบริเวณที่พี่เคนจัดเตรียมไว้น่าจะดีกว่านะคะ เพราะตรงนี้เป็นงานเลี้ยงของดิฉันน่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างนั้นก็ได้นะคะ ดิฉันเองก็ไม่ได้อยากอยู่นักหรอกค่ะ หนาวขนาดนี้อีกสักพักก็ว่าจะเข้าไปด้านในแล้ว หน้าหนาวแบบนี้ยังจัดงานเลี้ยงในสวนเนี่ยนะ สมกับเป็นชาวบ้านเลือดร้อนเสียจริง ยิ่งไปกว่านั้นเราก็ไม่ได้อยากอยู่ในบริเวณซอมซ่อแบบนี้เท่าไหร่หรอก”
เลดี้คนหนึ่งในกลุ่มทำเป็นปัดชุดเดรสของตัวเองราวกับว่าสกปรกพลางพูด ไม่นานพวกหล่อนก็ตรงไปยังประตู
อาเรียจึงโบกมือส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ไปปิดประตูทางเข้า
“ตายแล้ว พูดอะไรกันคะ ใครจะจัดงานเลี้ยงในฤดูหนาวตามที่เลดี้พูดกันคะ ด้านในคฤหาสน์ต่างเป็นแขกที่ดิฉันเชิญมาทั้งนั้นนี่คะ”
“…ว่าอย่างไรนะคะ”
ทั้งข้ารับใช้ที่ไปยืนกั้นหน้าประตูทางเข้า และคำพูดของอาเรียนั้นชัดเจนว่าพวกเธอเข้าไปไม่ได้ จึงได้แต่ยืนเหม่อไม่พูดอะไรต่อ
เป็นสีหน้าราวกับว่าไม่มีที่สำหรับพวกเธอ
“หวังว่าจะรีบไปจากบริเวณที่ดิฉันตั้งใจเตรียมไว้ด้วยนะคะ เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเลยค่ะ ส่วนบริเวณที่ท่านพี่เตรียมไว้…คงต้องไปหาเอาเองแล้วนะคะ โชคร้ายที่ท่านพี่มีเรื่องใหญ่ต้องออกไปธุระตั้งแต่เช้าแล้ว ส่วนดิฉัน…ก็ไม่รู้อะไรเลยน่ะค่ะ”
อาเรียยกยิ้มอย่างสง่างามพลางออกคำสั่งกับพวกหล่อน ถึงกับออกไปหน้าคฤหาสน์และถามว่าเตรียมรถม้าไว้หรือเปล่า
เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้เห็นว่าผู้ที่เป็นเจ้าของตัวจริงก็คืออาเรียที่ชุบตัวขึ้นมาใหม่ท่ามกลางชนชั้นสูง ไม่ใช่เคนที่อยู่ในตระกูลท่านเคานต์แต่มีแค่ชื่อเป็นเปลือกนอกเท่านั้น
เพราะแม้แต่เคน คนที่เชิญพวกหล่อนยังไม่ปรากฏตัวขึ้นด้วยซ้ำ เหล่าเลดี้ชนชั้นสูงที่พูดดูถูกอาเรียและคนธรรมดามีแต่จะสร้างความไม่สบายใจอย่างนั้น พวกหล่อนนิ่งไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงกลับไปพร้อมกับหน้าตาบึ้งตึง และรถม้าก็ถูกเตรียมไว้อยู่พอดี
“สุดยอดไปเลยค่ะเลดี้อาเรีย!”
“เป็นห่วงกลัวว่าเลดี้จะเสียใจนะคะ…!”
ดูท่าจะไม่รู้ว่าอาเรียสามารถตอบโต้ได้จริงๆ จึงออกปากชมยกใหญ่แบบนั้นช่างดูโง่เขลาเสียจริง
เรื่องแค่นี้ยังตอบโต้ไม่ได้ ต่อไปจะใช้ชีวิตในโลกที่อันตรายได้อย่างไรกันล่ะ ในโลกที่ทุกคนต่างอิจฉาริษยา ต่างพยายามจะฆ่าฟันกัน
ในระหว่างที่ได้รับคำชมต่างๆ อาเรียก็ยินดีกับเรื่องนั้นอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นบุคคลที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏตัวขึ้น
“…ตายจริง ไม่คิดว่าเลดี้อาเรียจะมีด้านนี้ด้วยนะคะ”
“เลดี้ซาร่า…”
ซาร่ามาตั้งแต่เช้าเพื่อจะมาอวยพรวันเกิดของอาเรีย
ดูเหมือนว่าเธอจะตากลมมานานทำให้สองแก้มของเธอแดงก่ำ และก็ดูเหมือนว่าเธอจะเห็นเหตุการณ์ที่อาเรียเอาชนะพวกเลดี้แล้วด้วย
“ไม่รู้ว่าจะต้องออกหน้าตอนไหนจึงได้แต่กำหมัดรอเวลาอยู่น่ะค่ะ”
ทั้งที่เห็นภาพลักษณ์ที่ดุร้ายของเธอแล้ว แต่แทนที่ซาร่าจะเผยสีหน้าผิดหวังกลับส่งแววตาราวกับภูมิใจที่เห็นอาเรียโตขึ้น
“เลดี้กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่อยู่จริงๆ สินะคะ”
“…ยังสิบเจ็ดปีอยู่เลยนะคะ”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนเปลี่ยนให้อาเรียกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง
ที่จริงอายุเธอในอดีตรวมกับอายุจนถึงปัจจุบันก็เข้าใกล้สามสิบปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้าซาร่าเธอกลับอยากกลับไปเป็นเด็ก
แม้ในตอนแรกแสดงท่าทางน่าเอ็นดูเพื่อจะหลอกใช้ แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกแบบนั้นจริงๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยได้รับความรักแบบนั้นมาก่อนก็ได้
“นั่นสินะคะ อายุสิบเจ็ดปี ยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยนี่คะ เติบโตมาอย่างน่าเอ็นดูเลยล่ะค่ะ ผ่านไปอีกปี เลดี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่แล้วดิฉันจะทำอย่างไรล่ะคะ”
“สำหรับหนูก็ยังอายุน้อยกว่าเลดี้ซาร่าอยู่เลยนี่คะ ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องเปลี่ยนเลย”
“อย่างนั้นสินะคะ ช่างเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลดีมากค่ะ”
ขณะที่อาเรียที่มองไปยังซาร่าด้วยสายตาที่น่ารักน่าชัง ซาร่าก็มองด้วยสายตาเดียวเช่นกัน ผ่านไปพักหนึ่งก็รู้ตัวว่ามาร์ควิสวินเซนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย
เขาโค้งคำนับสั้นๆ ดูท่าเขาจะยืนดูซาร่าและอาเรียคุยกันด้วยสายตาที่อ่อนโยนมาตลอด
บุคคลที่เคยให้การช่วยเหลือเธอมาหลายครั้งและถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไร แค่การมีอยู่ของพวกเขาก็ถือเป็นการช่วยเหลืออาเรียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาให้กระทั่งความรักที่เธอไม่เคยได้จากแม่ หลังจากที่เธอผ่านความตายมา พวกเขาต่างเป็นสิ่งล้ำค่ารองลงมาจากอาซ
“นี่ค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้มีอะไรนักแต่เป็นของขวัญเล็กๆจากดิฉันค่ะ หวังว่ามันจะช่วยทำให้คุณอบอุ่นในฤดูหนาวนะคะ”
ของขวัญซาร่าเป็นถุงมือที่จะช่วยให้อาเรียสามารถผ่านฤดูหนาวไปอย่างอบอุ่น
หากคนอื่นมาเห็นอาจจะคิดว่าไม่มีอะไรน่าดู แต่สำหรับอาเรียแล้วถุงมือคู่นี้ที่ซาร่าปักลายทิวลิปให้ทีละจุดทีละจุด ช่างเป็นถุงมือที่งดงามมาก ตีค่าเป็นราคาไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นสัญลักษณ์ของตระกูลท่านเคานต์ไม่ใช่กุหลาบขาวกลับเป็นดอกทิวลิปหรือนี่ ดูเหมือนว่าจิตใจบริสุทธิ์ไม่มีจุดด่างพร้อยของซาร่าจะทำให้เธอน้ำตาไหลจากความซาบซึ้ง
“…ขอบคุณนะคะ หนูมีแค่เลดี้ซาร่าจริงๆ”
“ดิฉันต่างหากล่ะคะ ที่ต้องขอบคุณ เพราะความช่วยเหลือของเลดี้ทำให้ดิฉันได้กลายเป็นครูทำตามฝันของตัวเอง ที่นึกว่าจะไม่มีทางเป็นจริงแล้วเสียอีก ตอนนั้นดิฉันได้แต่นับเวลารอวันที่จะได้ไปสอนหนังสือเลยล่ะค่ะ”
สีหน้าที่ยินดีของเธอเต็มไปด้วยความจริงใจ
ไม่สิ ซาร่าเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ปฏิบัติกับอาเรียด้วยความจริงใจมาตลอด ทำให้อาเรียที่พยายามจะหลอกใช้กลับรู้สึกผิด
“ต่อไปก็จะถึงงานแต่งงานของเลดี้ซาร่าแล้วสินะคะ”
“ครับ พวกเราเตรียมการไว้อย่างดี ได้โปรดไปเยือนเพื่อเป็นเกียรติด้วยนะครับ”
เมื่อถึงปีหน้าก็จะจัดงานแต่งงานตามกำหนดการที่วางไว้ และซาร่าก็จะกลายเป็นมาร์เชอเนสอย่างเป็นทางการ มาร์เชอเนสที่อาเรียหวังว่าจะกลายเป็นอำนาจเบื้องหลังให้กับเธอ
ส่วนเรื่องตระกูลท่านดยุกที่กำลังจะพังทลายเหลือแค่รอเวลาเท่านั้น แล้วตอนนี้เธอก็จะกลายเป็นชนชั้นสูงที่อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดในราชอาณาจักร ตำแหน่งที่สามารถปลอบใจอาเรียในอดีตที่เคยได้รับแต่คำดูถูกดูแคลนว่าต้นกำเนิดต่ำต้อย
แน่นอนว่าตอนนี้อาเรียอยู่ในตำแหน่งที่สามารถออกคำลงโทษพวกที่เคยทำเช่นนั้นกับเธอได้ แต่จิตใจที่กลับมาแข็งแรงนั้นเป็นเพราะเธอพึ่งพิงซาร่ามาโดยตลอด
อาเรียที่เข้าไปข้างในคฤหาสน์พร้อมกับซาร่า พร้อมกับรับแขกและมอบของขวัญให้กับคนทั่วไปที่มาร่วมงานแต่ก็อดนึกถึงอาซไม่ได้ เพราะมีเรื่องที่ต้องสารภาพเวลาที่รอคอยจึงรู้สึกว่ายิ่งยาวนานขึ้น
“เลดี้คะ ฝ่าบาททรงติดธุระอยู่เหรอคะ”
แอนนี่ถามอาเรียอย่างไม่รู้สถานการณ์ ดูเหมือนว่าหล่อนก็อึดอัดใจที่ยังไม่เห็นอาซตั้งแต่เลยเวลารับประทานมื้อเที่ยงแล้ว
“…แอนนี่ ไปเตรียมเครื่องดื่มมาให้เลดี้ใหม่จะดีกว่านะ”
เจสซี่รีบตรงปรี่เข้ามาหยิกสีข้างแอนนี่ราวกับว่าไม่ดูสถานการณ์เอาเสียเลย แอนนี่ที่รู้ตัวว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดจึงรีบปลีกตัวออกไป
ไม่ใช่แค่ข้ารับใช้เท่านั้นแขกในงานต่างสงสัยว่าทำไมอาซถึงไม่ปรากฏตัวขึ้น อาเรียก็เช่นกันเธอกังวล กลัวว่าอาซจะโกรธเรื่องที่เธอไม่บอกความจริง แต่ทันใดนั้นอาซก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับเป็นเรื่องโกหก
ทำให้ทั้งคฤหาสน์ที่ต่างสงสัยได้คลายความกังวลนั้นลง
“…ตายจริง”
ในระหว่างที่เธอมองออกไปตรงระเบียง กลับเห็นรถม้าคันหรูขับเข้ามาพอดี
“ผมมัวแต่กังวลเรื่องของขวัญที่จะให้เลดี้มีมากเกินจนมางานสายน่ะครับ ได้โปรดดุด่าให้กับความโง่เขลาของผมด้วยนะครับ”
ระหว่างนั้นคนขับรถม้าก็เริ่มขนสัมภาระลงจากรถม้าทีละชิ้นสองชิ้น
ของขวัญพวกนั้นล้วนเป็นของหายากที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน คนในงานที่แอบมองอยู่ด้วยได้แต่ปิดปากพลางส่งเสียงราวกับตกตะลึงภาพที่เห็น
หากสังเกตอาซมาตลอดก็สามารถคาดเดาขนาดของขวัญได้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาตนเองเช่นนี้ก็อดตกใจเสียไม่ได้
“คุณอาซ…”
ตามที่อาซบอกว่ามาเยือนงานวันเกิดคนรักของตนช้าจึงกลัวว่าจะโกรธ แต่เขาเตรียมของขวัญไว้ขนาดนี้เธอจะดุด่าลงได้อย่างไรกัน
อาเรียที่แก้มแดงก่ำเนื่องจากลมเย็นปะทะแก้มทั้งสอง เธอค่อยๆ จับชายชุดเดรสพร้อมกับโค้งคำนับเป็นการตอบรับ
……………………….