พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 154
แปลกจริงๆ แม้เพศและอายุจะต่างกัน แต่เธอก็รู้สึกราวกับมองดูตัวเองในกระจก
อาเรียจ้องมองเขาด้วยความตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ แล้วถามถึงตัวตนของโคลอีอย่างระมัดระวัง
“…ใครหรือคะ”
“คือ…”
คารินที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอตอบอย่างลังเลเหมือนกับว่าสถานการณ์นี้ไม่อยู่ในแผนการที่วางไว้ และโคลอีเจ้าตัวเองก็มีสีหน้าสับสนงงงวยมากทีเดียว
โรฮันขมวดคิ้วถามโคลอี
“นายไม่ได้มาเพื่อบอกเธอหรือไง”
“…เมื่อกี้ก็บอกไปแล้วนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยกับเธอที่ข้างถนนใหญ่แบบนี้น่ะครับ”
เพราะมันเป็นพื้นที่ที่เตรียมไว้เพื่อช่วยให้อาเรียจอดรถม้าของเธอ เหล่าอัศวินจึงยืนเรียงกันเพื่อจัดเตรียมพื้นที่โล่งไว้ให้ และเนื่องจากมันเป็นพื้นที่เปิดและพวกเขาก็ไม่ได้ทำการกั้นใดๆ ทำให้สายตาของฝูงชนต่างก็ตามติดมาด้วย
และถึงแม้อาเรียจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย แต่เธอก็เก็บเกี่ยวความสำเร็จมากมายที่จะหลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีข่าวลือความสัมพันธ์กับเจ้าชายอีกต่างหาก ทุกคนให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับการเคลื่อนไหวของเธอในทุกย่างก้าว
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะพรวดพราดโผล่ออกมาแบบนี้นะครับ”
“ก็นั่นเพราะเลดี้อาเรียปรากฏตัวแล้ว แต่บุตรชายท่านยังเอาแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกลๆ น่ะสิ”
“…ฝ่าบาท อย่างที่ผมพูดไปแล้วว่าเดี๋ยวผมจะปรับความเข้าใจกับเธอก่อน แล้วค่อยย้ายไปที่อื่นน่ะครับ”
เมื่อเขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่บอกเป็นนัยว่านายได้ทำทุกอย่างพัง โรฮันก็ขมวดคิ้วของเขาเล็กน้อย
“ก็ได้ เข้าใจแล้ว “นายกำลังพูดว่าตอนนี้ก็หาทุกอย่างเจอหมดแล้ว ฉันก็หมดประโยชน์แล้วสินะ”
“….”
“เกินไปแล้วนะ! ฉันเป็นคนหาทุกอย่างให้นายนะ!”
โรฮันโกรธเมื่อโคลอีไม่ได้ตอบอะไรกลับราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครปลอบเขา สุดท้ายเขาจึงต้องหายโกรธด้วยตัวของเขาเอง
แล้วอาเรียก็
“…ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอกใช่ไหมคะ”
อาเรียไม่สามารถซ่อนใบหน้าตกใจไว้ได้ ราวกับว่าเธอพอเดาได้คร่าวๆ หลังจากฟังบทสนทนาของพวกเขา เพราะเธอเพิ่งนึกเรื่องที่ราวของ ‘พ่อแท้ๆ’ ที่จู่ๆ คารินก็ถามขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้
“ท่านแม่…”
อาเรียเรียกคาริน โดยหวังให้เธอบอกให้ชัดเจน
แม้ว่าคำตอบจะถูกกำหนดไว้ตายตัวอยู่แล้ว แต่คารินก็ยังลังเลที่จะตอบออกไป เพราะเธอไม่คิดว่าจะต้องมาเปิดเผยอย่างกระทันหันแบบนี้ เนื่องจากเธอลังเลที่จะตอบ ทำให้โคลอีเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ถึงจะไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา แต่อาเรียก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธ อาเรียพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดและมองไปรอบๆ ครู่หนึ่งซึ่งรายล้อมด้วยความเงียบอย่างแปลกประประหลาด
“…อย่างนั้นสินะคะ ถ้าเดาไม่ผิด มันคงจะเป็นเรื่องที่เราไม่ควรจะมาคุยกันที่แบบนี้สินะคะ”
ทุกคนกำลังเงี่ยหูรอฟัง แม้แต่อัศวินที่รออยู่ห่างๆ ก็เช่นเดียวกัน
พวกเขาคงจะคิดแบบเดียวกันเกี่ยวกับอาเรียและโคลอีที่หน้าตาเหมือนกันมาก
“ก็จริงล่ะนะ เพราะเธอต้องพูดเรื่องที่เธอจะกลับไปโครอา ฉะนั้นมันคงจะลำบากถ้าจะคุยกันตรงนี้น่ะครับ”
“…กลับโครอาหรือคะ ใครคะ”
“จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ นอกจากเธอสองคนน่ะครับ”
“ฉันกับท่านแม่หรือคะ …ทำไมล่ะคะ”
โรฮันยังไม่ตอบและเผยยิ้มบางๆ อาเรียจึงขมวดคิ้ว จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าโรฮันเรียกโคลอีว่าบุตรชายท่าน
อย่าบอกนะว่าเขาเป็นขุนนางอย่างนั้นหรือ ถ้าระดับที่ไปไหนกับกษัตริย์ของอาณาจักรได้นี่ ก็ต้องยศสูงพอตัวเลยนะ… ว่าแต่ทำไมไม่เรียกเขาด้วยยศ แต่กลับเรียกเป็นบุตรชายล่ะ ทั้งที่มันเป็นเรื่องปกติที่จะสืบทอดตำแหน่งหลังจากบรรลุนิติภาวะได้ 5 ถึง 10 ปี
เพราะอย่างนั้นคารินถึงได้ถามว่าถ้ามีพ่อแท้ๆ ที่ช่วยฉันได้ จะทำอย่างไรอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าสถานการณ์นี้จะซับซ้อนกว่าที่คิด สถานการณ์ที่ดูยุ่งยากน่ารำคาญเหลือเกิน เธอสงสัยมากขนาดที่ยอมเลื่อนกำหนดการดูจุดจบของไอซิสออกไป
“เลดี้ มาทำอะไรที่นี่ครับ”
ระหว่างที่เวลาผ่านไปนั้น อาซก็เข้ามาหาอาเรียเหมือนกับว่าเข้ามาถึงที่นี่ก่อนแล้ว เพราะถึงแม้ตัวเอกของวันนี้จะไม่ใช่เธอ แต่สายตาของฝูงชนต่างก็จับจ้องมองมาที่เธอ
อาซที่เฝ้ารอวันนี้มานานเดินเข้ามาหาอาเรียด้วยสีหน้าอารมณ์ดี แต่เมื่อเห็นโคลอีกับโรฮัน สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที
อาเรียจึงรับรู้ได้ว่าเขาเองก็รู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้วเช่นกัน
“…คุณอาซเองก็รู้อยู่แล้วอย่างนั้นสินะคะ”
อาซลนลานจนพูดอะไรไม่ออกกับคำพูดของอาเรียที่ฟังดูเย็นชาเหลือเกิน แล้วคารินก็รีบปกป้องเขา
“แม่บอกให้ท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะแม่จะบอกลูกเองน่ะ เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องแบบนี้คนเป็นแม่ก็ต้องเป็นคนบอกเองใช่ไหมล่ะ”
“…ก็ใช่ค่ะ”
ถ้าได้ฟังความลับภายในครอบครัวจากแม่มันก็คงจะดีกว่าได้ฟังจากคนรักของเธอ
อาเรียเข้าใจสถานการณ์ที่คารินเป็นกังวลว่าควรจะบอกเธอเมื่อไหร่ดี และได้กำหนดวันไว้ในที่สุด แต่โรฮันที่อดทนรอไม่ไหวก็โผล่ออกมาสร้างความวุ่นวายนี้ขึ้น
แม้จะกะทันหันไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่เข้าใจและยอมรับไม่ได้ เนื่องจากช่วงนี้แม่ของเธอค่อนข้างยุ่ง จึงต้องคิดพะวงและระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ได้ค่ะ หนูพอเดาเอาไว้หมดแล้ว แต่เราค่อยคุยกันหลังจากได้เห็นจุดจบของพวกคนชั่วที่หนูเฝ้ารอมาเป็นเวลาหลายปีนะคะ เราคุยกันที่คฤหาสน์หลังใหม่ของท่านแม่ก็ดีนะคะ”
โคลอีได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาดีใจที่จะได้ไปที่ที่หญิงสาวและบุตรีที่เขาเคยวาดฝันไว้อาศัยอยู่ด้วยกัน
“ผมไปด้วยได้ไหมครับ”
อาซถามด้วยความระมัดระวัง
สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลมากทีเดียว เขาคงจะกังวลเกี่ยวกับอาเรียที่จู่ๆ ก็มีพ่อแท้ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาและเกี่ยวกับว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่ได้ยินเรื่องนั้น
บางทีอาเรียอาจจะไปราชอาณาจักรโครอาอย่างที่โรฮันต้องกันก็ได้
“แน่นอนสิคะ หากคุณมีเวลาน่ะค่ะ เพราะคุณอาซเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือคะ”
อีกไม่นานคุณก็อาจจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ได้ อาซมีสีหน้าสดใสขึ้นทันทีเมื่อได้ยินอาเรียยืนกรานเช่นนั้น
“อีกเดี๋ยวการพิพากษาก็จะเริ่มขึ้นแล้ว เรารีบย้ายที่กันดีกว่านะครับ”
พวกเขามองเห็นรถม้าบรรทุกนักโทษวิ่งเข้ามาดังที่อาซพูด เหล่าฝูงชนที่มารวมกันต่างพากันปาก้อนหินใส่และก่นด่าอย่างหยาบคาย แต่ไม่มีเสียงใดๆ ออกมาจากรถม้า ราวกับพวกเขาทนทุกข์ทรมานในขณะที่ถูกขังอยู่ในคุกมามากพอแล้ว
“จะอยู่ดูแค่การพิพากษาแล้วออกไปก่อนไหมครับ เพราะมีบางคนที่จะได้รับโทษประหารด้วยน่ะครับ”
อาซถามเธอ เพราะการเห็นคอคนอื่นร่วงหลุดลงจากบ่าอาจจะทำให้เกิดภาพติดตาและกลายเป็นบาดแผลในใจภายหลังได้ แม้แต่ในบรรดาอัศวินเอง ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจจากการที่เห็นใครบางคนตาย
“ไม่ค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ แต่วันนี้ก็เป็นวันที่ฉันตื่นเต้นมากพอๆ กับคุณอาซเลยล่ะค่ะ ฉะนั้นฉันคงออกไปก่อนไม่ได้หรอกค่ะ”
หัวฉันเองก็เคยถูกตัดมาแล้ว แล้วแค่นี้มันจะเป็นอะไรไปกัน
สิ้นสุดคำตอบของอาเรีย พวกเขาก็ย้ายไปอยู่ในที่ที่สามารถมองเห็นการลงโทษชีวิตได้อย่างชัดเจน
* * *
การลงโทษนักโทษนั้นถูกกำหนดให้ลงโทษต่อหน้าสาธารณชน โดยไม่ได้แจ้งเหล่านักโทษล่วงหน้าว่าจะต้องเผชิญกับบทลงโทษแบบใด
การลงโทษจะดำเนินไปในเวลาเดียวกัน เพื่อให้พวกกบฏทั้งหลายรู้ว่าจุดจบอันน่าสังเวชกำลังรอพวกเขาอยู่
แม้จะมีนักโทษอยู่จำนวนมาก แต่มีแท่นตัดหัวประหารชีวิตเพียงแท่นเดียวที่ถูกนำมาวางไว้ที่ลานกว้างก่อนวันประหารไม่กี่วัน จึงมีข่าวลือแพร่สะพัดไปว่าไอซิสน่าจะเป็นคนเดียวที่จะถูกประหารชีวิต
ไอซิสที่ไปได้ยินเรื่องนี้เข้าจากที่ไหนสักแห่งก็นอนไม่หลับมาหลายคืน ยิ่งเวลาผ่านไปเธอยิ่งอิดโรยและดูซีดเซียว
และในวันพิพากษา
“ออกมา ต้องไปแล้ว”
“…!”
อัศวินนับสิบเข้ามาอย่างกะทันหันโดยไม่พูดอะไร พวกเขาเปิดประตูห้องขังและลากนักโทษทั้งหลายออกไปข้างนอก บรรดานักโทษถูกลากออกมาด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่มีใครบอกพวกเขาว่าจะได้รับโทษแบบไหน
ในช่วงที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้รับประทานอาหารอย่างตรงเวลาและไม่มีเครื่องทำความร้อนให้ แม้ในช่วงกลางฤดูหนาว ทุกคนจึงอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนักไม่ต่างจากไอซิส
มีหลายคนที่นอนซมไม่สบายจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายที่ไม่เคยได้สัมผัสพบเจอมาก่อนในชีวิต และบางคนก็เดินไม่ค่อยได้ เพราะได้รับบาดแผลจากการถูกความเย็นจัด และมิเอลผู้บอบบางเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ปะ ปวดหัวมากเลย… เท้าด้วย… ฮึกๆ…”
เคนรีบเข้าไปประคองมิเอลที่เดินอย่างโซเซ มันเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ เพราะทุกคนต่างเคลื่อนตัวกันเป็นแถว แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนั้น มิเอลก็จะล้มลงไปอย่างแน่นอน และมันก็จะวุ่นวายน่ารำคาญกว่าเดิม พวกเขาจึงไม่ได้หยุดเพื่อลงโทษเคน
“ทนอีกนิดนะ มิเอล เดี๋ยวเราก็ได้กลับบ้านกันแล้ว”
“ท่านพี่…”
น้ำเสียงของเคนดูมีความมั่นใจแฝงอยู่ เพราะเขาเชื่อมั่นในทนายและเชื่อมั่นในตัวอาเรีย เขาไม่รู้ตัวเลยว่าอาเรียเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้
นักโทษทั้งหมดถูกนำตัวไปยังลานกว้างด้วยรถม้าที่ทำจากเหล็กที่พวกเขาเคยนั่งในตอนแรกที่ถูกนำตัวไปยังเรือนจำ เรื่องที่วันนี้เป็นวันแห่งการลงโทษคงจะแพร่ไปทั่วเมืองหลวง ถึงได้มีผู้ชมอย่างล้นหลามตลอดทางไปจัตุรัสลานกว้าง
“ไอพวกสารเลว!”
“พวกแกมันเป็นความอัปยศของอาณาจักรเรา! อัปยศ!”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่พวกแกกินดีอยู่ดีได้ ก็เพราะพวกแกขายอาณาจักรกันแบบนี้!”
ฝูงชนขว้างปาก้อนหินและสบถคำด่าใส่เหล่ากบฏผู้สูญเสียยศถาบรรดาศักดิ์ของตน และรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ราวกับจะโหมไฟเรื่องนั้น
บรรดานักโทษไม่บังอาจแม้แต่จะโมโหและไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะโต้ตอบอะไรกลับ พวกเขาจึงได้แต่อดทนอยู่อย่างเงียบๆ รอให้รถม้าหยุด
“ลงมา”
และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงลานกว้าง ณ ที่นั้นฝูงชนจำนวนมากมารอพวกเขาอยู่ ราวกับผู้คนทั้งเมืองหลวงมารวมตัวกันที่นี่
พวกเขาไม่ได้เว้นพื้นที่ไว้สำหรับกันผู้มาชม ทำให้ตอนที่ทุกคนลงจากม้าและเคลื่อนตัวไปนั้น มีมือยื่นออกมาจากที่ไหนสักแห่ง รุมดึงและทึ้งหัวพวกเขา
“โอ๊ย!”
ไอซิสถูกผลักลงไปบนพื้นด้วยน้ำมือใครสักคน เธอจ้องคนที่ผลักเธอล้มลงด้วยสายตาประทุษร้าย
ต่อให้บอกว่าเธอเป็นนักโทษและดูซีดเซียวอัปลักษณ์มากเพียงไหน แต่เธอก็เคยอาศัยอยู่ในฐานะขุนนางยศสูงสุดในอาณาจักรมาเกือบ 20 ปี คนที่สบตากับเธอจึงก้มหัวและหลบตาเธอไปในทันที
“ทะ ท่านพี่…!”
มิเอลที่เพิ่งเคยได้รับรู้ถึงความรู้สึกเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงขนาดนี้เป็นครั้งแรกหวาดกลัวจนตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของเคน ส่วนเคนก็ปกป้องน้องสาวของเขาเท่าที่จะทำได้และรีบเดินตามคนของหน้าไป
พวกเขาเคลื่อนตัวกันอยู่พักหนึ่ง จึงมาถึงลานประหารตรงลานกว้าง
“นักโทษทั้งหมดมายืนเรียงเป็นแถวตรง”
ขุนนางยศสูงผู้ซึ่งยืนหยัดอยู่ข้างราชวงศ์กษัตริย์และเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคขุนนางมาเป็นเวลานานออกคำสั่งแก่พวกเขา ด้วยเหตุนี้เหล่าคนบาปที่มีจิตใจโกรธแค้นต่อเขาจึงยึกยักและไม่ยอมขยับตาม สุดท้ายอัศวินที่ยืนรออยู่รอบๆ ก็ต้องเข้ามาใช้กำลัง
ขุนนางบางคนที่ถูกอัศวินผลักหรือดันแรงเกินไป ก็กรีดร้องขึ้นมาว่าพวกเขาเจ็บแขน ทว่าพวกเขาก็ต้องหุบปากอีกครั้งทันทีเมื่อเห็นอัศวินทำหน้าตาน่ากลัวใส่ และรีบกลับเข้าที่ของตัวเองไปทันควัน
ขุนนางกล่าวราวกับว่าบทลงโทษที่จะประกาศต่อบรรดาขุนนางนั้นเป็นเรื่องน่าสนุกเหลือเกิน
บทลงโทษจะเป็นอะไรกันแน่ ขุนนางรู้สึกร้อนใจมาตลอดที่ฆ่าพวกเขาไม่ได้ และถ้าเขาต้องการจะทำถึงขั้นนั้นจริงๆ บทลงโทษก็ต้องใกล้เคียงกับการประหารชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
เหล่านักโทษที่เชื่อว่าพวกเขาแอบฟ้องไปแล้ว ก็น่าจะพอมีโอกาสให้หลบหนีออกไปได้นั้น ต่างเริ่มตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว จากนั้นโรฮันก็เข้ามาไกล่เกลี่ยให้ขุนนางเลิกทรมานพวกเขาได้แล้ว
“ฉันเข้าใจดีเลยล่ะว่าทำไมท่านเคานต์ถึงมีความสุขน่ะนะ แต่ว่าฉันมีเรื่องสำคัญกว่านี้ที่ต้องทำ ฉะนั้นรีบทำให้มันจบเร็วๆ ล่ะ”
สายตาของทุกคนหันมองไปที่โรฮันผู้กล่าวว่าเขามีเรื่องที่สำคัญกว่าชีวิตของคนนับสิบนี้ แต่เขามีท่าทีเบื่อหน่าย เพราะมันเป็นปัญหาของอาณาจักรอื่น
“ท่านโรฮัน อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ เพราะเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับใครบางคนน่ะค่ะ”
อาเรียที่นั่งอยู่ข้างๆ โรฮันตำหนิเขา ทำให้สายตาของพวกเขาเคลื่อนย้ายมาที่เธอโดยธรรมชาติ อาเรียหัวเราะเบาๆ ราวกับว่าเธอหัวเราะเยาะพวกที่เคยกล่าวหาว่าเธอเป็นลูกสาวของโสเภณี
และตอนนี้เธอก็หัวเราะเยาะไอซิสที่กำลังจะเผชิญชะตากรรมอันน่าเวทนาเหมือนกับเธอในอดีต ไอซิสกัดฟันแน่นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ราวกับว่าอาเรียจงใจจะยั่วโมโหเธอ
“…กำพืดชั้นต่ำแท้ๆ กล้าดีนักนะ”
ไอซิสไม่สามารถเอาชนะความโกรธของตัวเองได้เหมือนที่ผ่านๆ มา เธอต่อว่าอาเรีย โรฮันจึงลุกขึ้นยืน ถามเธอด้วยหน้าตาเคร่งขรึมว่าเป็นแค่นักโทษแท้ๆ พูดจาพล่อยๆ แบบนั้นออกมาได้อย่างไรกัน
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาอีก”
เขาดูค่อนข้างรำคาญกับคำพูดนั้น เพราะตอนนี้อาเรียไม่ใช่แค่ดาวของอาณาจักรแล้ว แต่เป็นดาวของโครอา
“โรฮัน”
เขาอยากสั่งอัศวินให้หุบปากเธอมากกว่าจัดการกับหญิงอัปลักษณ์แบบนั้นด้วยน้ำมือของเขาเอง เมื่อเขาก้าวออกจากที่นั่งของเขาและเข้าไปใกล้ไอซิส อาซก็เตือนโรฮันเบาๆ แต่เขาก็ไม่ยอมหยุด เขากลับเข้าไปกลับไอซิสอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่ดูค่อนข้างยินดีปรีดา
และแล้ว
“ดูให้ชัดๆ สิ ไอซิส คนข้างๆ เลดี้อาเรียที่เธอเอาแต่หัวเราะเยาะเย้ยมาตลอด เพราะเธอมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยน่ะ”
เขาเข้าไปใกล้ๆ และหัวเราะเยาะเธอ ชี้ไปที่ที่อาเรียนั่งอยู่ แล้วพูดด้วยเสียงที่มีแค่ไอซิสเท่านั้นที่ได้ยิน
“…!”
เมื่อจู่ๆ เขาก็บอกให้เธอมองไปที่ไหนสักแห่ง ไอซิสที่หดตัวลงอย่างเต็มที่เพราะคิดว่าโรฮันจะตบตีเธอ ก็หันสายตาไปยังทิศทางที่เขาชี้ทันที
ณ ที่ตรงนั้นมีบุคคลที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนอยู่ เขาคือขุนนางที่บอกว่ามีธุระและหายตัวไปอย่างกะทันหันตอนที่โรฮันไปเยี่ยมคฤหาสน์ท่านดยุก
ขุนนางที่หน้าตาดูคล้ายกับอาเรียมาก
ขุนนางคนนั้นที่เธอถามหาคำตอบจากมิเอล แต่มิเอลตอบว่าไม่รู้ ทำให้เธอตัวสั่นด้วยความไม่สบายใจ
พอเขามาอยู่ข้างๆ อาเรียแล้ว หน้าตาของเขายิ่งดูเหมือนอาเรียมากกว่าตอนที่อยู่ห่างกันเข้าไปอีก
ราวกับเป็นครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกัน
“…เป็นไปไม่ได้”
“ใช่แล้วล่ะ ไอเป็นไปไม่ได้ของเธอน่ะ มันเป็นไปแล้วล่ะ ตอนนี้เธอถูกลดตำแหน่งเหลือแค่สามัญชนธรรมดาๆ แล้ว ฉะนั้นเธอก็ไม่อยู่ในฐานะที่ไปบังอาจเรียกอาเรียว่าชั้นต่ำได้อีกแล้วนะ”
หลังจากที่เขาตอบกลับไอซิสไปเช่นนั้น เธอก็ตัวสั่นระริกจนคุมตัวเองไม่ได้ ราวกับว่าเธอรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโคลอีกับอาเรียในทันที
เพราะมันหมายความว่าชาติกำเนิดอันเป็นจุดด่างพร้อยเพียงอย่างเดียวของอาเรียจะไม่เป็นจุดด่างพร้อยของเธออีกต่อไป
“อย่าเพิ่งรีบตกใจไป รู้ไหมว่าตระกูลไหนกับเลดี้อาเรียที่เชื่อมโยงกัน เธอเองก็เคยเจอเหมือนกันนะ มาร์ควิสเปียสต์ยังไงล่ะ และโคลอีที่นั่งอยู่ข้างๆ เลดี้อาเรียก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของมาร์ควิส แล้วก็ยังเป็นบุตรชายของไวโอเล็ตที่สมัยก่อนเคยเป็นหนึ่งในราชวงศ์กษัตริย์ด้วย ก่อนจะตายก็รู้เรื่องพวกนี้ไว้ด้วยล่ะ ที่ผ่านมาเธอพูดจาพล่อยๆ ไปไม่รู้ตั้งเท่าไรต่อเท่าไรเลยนี่”
…………………………………….