พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 156
“นักโทษเคน โรสเซนต์”
ถัดจากนั้นก็ถึงคราวของเคน เนื่องจากเขาอยู่ข้างๆ มิเอลจึงง่ายต่อการหันไปมอง เพราะมิเอลที่อยู่ข้างๆ เขาได้รับความช่วยเหลือจากอาเรีย นั่นจึงทำให้สีหน้าของเขาดูไม่หม่นหมองเสียเท่าไร
ไม่สิ สีหน้าของเขากลับดูสดใสเสียด้วยซ้ำ ท่าทางเขาจะคิดว่าตนเองก็คงจะได้รับความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน เพราะทนายก็คอยเวียนเข้าออกคุกตั้งหลายครั้งหลายครา จึงดูเป็นไปได้ที่เขาจะได้รอดพ้นออกไป
ทว่า
“ศาลตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการตัดหัว”
คำตัดสินที่เขาได้รับคือการตัดหัว เคนตัวแข็งทื่อไม่แม้แต่จะกะพริบตาราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ทำไมกัน ทั้งที่ทนายทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อทำลายหลักฐานไปแล้วแท้ๆ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้กัน…
“ท่าน ท่านพี่คะ! ”
มิเอลที่เพิ่งจะวางใจได้จากการที่ตนพ้นโทษประหารตัวหัวนั้น จับแขนของเคนเอาไว้ด้วยความตกใจ
สีหน้าของเคนซีดเผือดขึ้นมา หน้าของเขาขาวซีดราวกับจะหมดสติลงไปในทันที
“ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจเสียล่ะ”
คารินมองดูสีหน้าถอดสีของเคนและถามอาเรียอย่างแผ่วเบา จากนั้นอาเรียก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนุกสนานอยู่ในที
“พอลองมาคิดดูแล้ว ถึงแม้จะสูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด มิเอลก็คงไม่เสียสติจนเป็นบ้าอย่างที่ลูกหวังไว้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้นหากช่วยชีวิตเคนเอาไว้ ก็อาจจะใช้ประโยชน์จากเขาได้บ้าง”
“…ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเด็กที่น่ากลัวขนาดนี้เป็นเด็กที่ออกมาจากท้องของแม่จริงๆ ถึงแม่จะเป็นคนเลือดเย็นก็เถอะ แต่คงสู้ลูกไม่ได้แน่ๆ “
เธออุทานออกมาราวกับเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แล้วเหลือบไปมองโคลอีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โรฮัน เพราะอาเรียดูไม่เหมือนเธอ ฉะนั้นแล้วก็คงเหมือนใครไปไม่ได้นอกจากโคลอี
ประจวบเหมาะกับที่โคลอีหันมาสบตากับเธอเข้าพอดี แม้เธอจะมองเขาด้วยเจตนาที่ไม่ดีก็ตาม แต่เขากลับยิ้มราวกับดีใจเป็นอย่างมาก คารินจึงบุ้ยปากเล็กน้อยและหลบสายตาไปทางอื่น
และในขณะเดียวกันนั้น ขุนนางก็กล่าวคำพิพากษาที่ยังไม่สิ้นสุดเพิ่มขึ้นมา
“แม้ว่าความจริงแล้วนั่นถือเป็นคำพิพากษาที่เหมาะสม แต่เมื่อพิจารณาจากเอกสารที่ทนายส่งมาให้ พบว่ามีบางอย่างที่สมควรได้รับการลดหย่อนโทษ จึงตัดสินให้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทน และเมื่อพิจารณาถึงพ่อหม้ายซึ่งเจ็บป่วยอยู่และน้องสาวที่ต้องโทษจำคุกแล้ว เขาจะถูกส่งให้เป็นทาสรับใช้ในเขตพระราชวัง”
เมื่อประกาศคำพิพากษาเสร็จเรียบร้อยขุนนางท่านนั้นก็ก้าวเท้ากลับออกไปอย่างไม่รีรอ
แม้จะไม่ได้รับโทษประหารตัดหัว แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับดูเลวร้ายไม่ต่างกัน ทั้งๆ ที่จ้างทนายที่เก่งที่สุดในราชอาณาจักรแล้วแท้ๆ เพราะแบบนั้นเคนถึงกับทรุดฮวบลงไปที่พื้นพร้อมกับใบหน้าเหม่อลอยไร้สติ
นอกจากนั้นยังมีบางอย่างที่เขารู้สึกคาใจอยู่…พ่อหม้ายงั้นหรือ เหตุใดถึงได้เรียกพ่อของเขาซึ่งมีภรรยาอยู่แล้วว่าพ่อหม้ายกัน
“ท่าน ท่านพี่ อย่างไรก็รอดชีวิตแล้ว ดีจังเลยนะคะ…”
มิเอลซึ่งไม่ได้รู้ถึงหัวอกหัวใจของเคนเลยแม้แต่น้อย พยายามให้กำลังใจเขา หน้าตาของเธอดูโล่งโจเมื่อได้รู้ว่าพี่ชายเพียงคนเดียวของตนจะไม่ต้องตาย
เคนได้รับคำปลอบใจจากมิเอลและขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะถามเธอขึ้นมา
“ทำไม ทำไมถึงเรียกท่านพ่อว่าพ่อหม้ายกันล่ะ”
“…คะ”
“ก็เขาพูดว่าพิจารณาถึงพ่อหม้ายซึ่งเจ็บป่วยอยู่ไม่ใช่หรือไง!“
“…เอ่อ อย่างนั้นหรือคะ”
เพราะดีใจที่เคนรอดชีวิต มิเอลจึงลืมคำพูดของขุนนางท่านนั้นไปเสียสนิท เธอได้แต่ถามกลับไปพร้อมกะพริบตา
เคนที่รู้สึกคับข้องใจกับเรื่องนี้ได้หันกลับไปมองยังอาเรียและคารินอีกครั้ง ก่อนจะพบกับรอยยิ้มสดใสที่ยิ้มต้อนรับเขาอยู่
รอยยิ้มที่ไม่สามารถรู้ถึงความหมายได้ ทำเอาในหัวของเคนเกิดความสับสนวุ่นวายเต็มไปหมด ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“อย่างไรก็เถอะ ยังโชคดีที่เรารอดชีวิตนะคะ ดูสิคะ ในที่นี้คนที่รอดชีวิตมีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นเองค่ะ”
มิเอลพูดออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ เพราะแบบนั้นสายตาดุดันจากนักโทษทั้งหลายจึงพุ่งมาที่เธอ ทั้งที่อยู่ต่อหน้าเหล่านักโทษที่กำลังจะต้องพบกับความตายในไม่ช้านี้ แต่เธอกลับแสดงความดีใจที่ตัวเองรอดชีวิตมาได้คนเดียวออกมาซึ่งๆ หน้า แน่นอนว่าสายตาที่เพ่งมองมานั้นไม่ใช่สายตาแห่งความพอใจเป็นแน่
แต่ทว่าดูเหมือนมิเอลได้ตัดสินใจทอดทิ้งพวกเขาซึ่งเป็นคนที่คอยสรรเสริญเชิดชูเธอมาโดยตลอด และเปลี่ยนมาเชื่อใจอาเรียที่ช่วยชีวิตเธอไว้ เธอถึงได้สบสายตาเหล่านั้นได้อย่างไม่เกรงกลัว และไม่ปิดบังความดีใจใดๆ ไว้เลย
“ทำแบบนั้นได้ยังไงกัน! “
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนน่ารังเกียจเช่นนี้…”
“ทำไมผู้หญิงที่น่ารังเกียจแบบนั้นถึงได้รอดชีวิต แต่ฉันกลับ…! ถึงจะบอกว่าอายุน้อยยังไงก็เถอะ! ฮึก ฉันไม่ได้ให้การช่วยเหลืออะไรมากมายเลยแท้ๆ! “
องครักษ์ใช้กำลังและสั่งให้นักโทษที่กำลังคร่ำครวญหยุดส่งเสียง
แต่สำหรับนักโทษที่ความตายได้มาเยือนอยู่ตรงหน้านั้น องครักษ์ไม่ใช่คนที่น่าหวาดกลัวอีกต่อไป อย่างไรเสียหากลมหายใจจะต้องดับสิ้นลง พวกเขาก็จะขอลากมิเอลไปด้วยกัน นักโทษจำนวนหนึ่งพากันพุ่งตัวเข้าไปหามิเอล
“อั๊ก! “
“หยุดนะ! “
แต่ความพยายามที่น่าอับอายเช่นนั้นก็ถูกเหล่าองครักษ์เข้าจัดการได้อย่างง่ายดาย ที่พื้นมีชายที่แขนหักและชายที่ขาหักนอนแผ่ราบอยู่ ส่วนมิเอลก็ตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมแขนของเคน
“ช่างเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนเสียจริง ไม่อยากจะเชื่อเลยพวกคุณคืออดีตขุนนางของอาณาจักรนี้จริงๆ น่ะ”
อาซจ้องมองพวกเขาและใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วพูดออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างเต็มแรงราวกับทนมองสภาพที่น่าอดสูแบบนั้นต่อไปไม่ไหว และเดินเข้าไปใกล้ๆ นักโทษเหล่านั้น
“อย่างไรเสียสุดท้ายแล้วก็ต้องถูกตัดสินโทษแบบเดียวกันอยู่แล้ว จะให้มานั่งดูคำอธิบายของแต่ละคนมันน่าเบื่อหน่ายจะตายไป”
สีหน้าของอาซตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา เป็นสีหน้าของคนที่รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง เพราะอย่างไรนักโทษทุกคนก็ต้องได้รับโทษประหารตัดหัวเหมือนกันทุกคนอย่างที่เขาพูดอยู่แล้ว
อาซยื่นมือไปทางขุนนางซึ่งรับหน้าที่เป็นประกาศคำพิพากษา
“ฉันจะเป็นคนพิพากษาเอง”
“…ครับ”
“เพราะท่านพ่อทรงรับสั่งให้รีบดำเนินการโดยเร็วและกลับไปรายงานน่ะ ฉันเลยอยากทำให้มันจบไวๆ และสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องลงโทษคนพวกนี้แต่เป็นเรื่องของการสนับสนุนที่ดินที่คนพวกนี้ได้กรรมสิทธิ์ไปดูแลต่างหาก”
และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่พระราชาทรงไม่เข้าร่วมการพิพากษาในครั้งนี้
“ฉะนั้นแล้วฉันจะจัดการให้ในครั้งเดียวไปเลย”
ท้ายที่สุดขุนนางซึ่งรู้ว่าอาซมีนิสัยเช่นไรนั้น ก็จำต้องมอบเอกสารให้อาซอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อได้รับเอกสารนั้นมาไว้ในมือ อาซก็เริ่มเรียกชื่อที่ยังไม่ได้เอ่ยออกมาตามลำดับ
“…บุคคลทั้งสิบสามคนที่ถูกเอ่ยชื่อมานี้ ถูกตัดสินโทษประหารตัวหัวทั้งหมด”
คำพูดที่ไม่มีแม้แต่ความปรานีอยู่ในน้ำเสียงนั้น ทำให้เกิดความเงียบขึ้นมา ความเยือกเย็นที่ออกมาจากสีหน้าอันเย็นชาของอาซเข้าเกาะกุมบรรยากาศทั้งหมด แม้แต่อาเรียที่เคยเผชิญกับท่าทีเย็นชาของอาซมาแล้วยังรู้สึกตกใจกับวิธีพูดที่เยือกเย็นของเขา
“ตอนนี้ก็เหลืออยู่สองคนแล้วสินะ อดีตดยุกเฟรดเดอริกและดัชเชสไอซิส”
ดูเหมือนสองคนที่เป็นผู้นำในการก่อกบฏครั้งนี้จะได้รับคำพิพากษาที่แตกต่างไปจากจากนักโทษคนอื่นๆ ไม่สิ ดูๆ ไปแล้วการที่เขาอ้างว่ารู้สึกเบื่อหน่ายและแย่งเอกสารมาประกาศเองนั้น อาจเป็นเพราะเขาตั้งใจที่จะเป็นผู้พิพากษาช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตของคนเหล่านั้นด้วยตัวเองก็ได้
“ผมเสียใจกับดยุกจริงๆ แม้จะเป็นอดีตที่ยาวนานมาแล้ว แต่ท่านก็เป็นดยุกเพียงคนเดียวในอาณาจักรนี้ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อย่างยาวนาน สุดท้ายกลับต้องมาเจอจุดจบเช่นนี้”
แม้คำพูดจะแสดงถึงความเวทนาเป็นอย่างมาก แต่สีหน้ากลับดูเย็นชาเหลือเกิน ทำเอาดยุกถึงกับต้องกลืนน้ำลายด้วยความเกรงกลัว
“คนเราน่ะ ต้องรู้จักทะนุถนอมสิ่งที่มีอยู่เอาไว้ให้ดี เพราะวันหนึ่งอาจจะได้รับสิ่งล้ำค่าที่คาดไม่ถึงจากมันมาอย่างไรล่ะ”
อาซกล่าวเช่นนั้นแล้วเงยหน้าหันไปยัง ที่ที่อาเรียนั่งอยู่ครั้งหนึ่ง แววตาของเขาราวกับจะสื่อว่าเธอเป็นคนเลอค่าที่เขาได้มาไว้ข้างกายอย่างไม่คาดคิด
อาซพูดต่อไป
“พอคิดแบบนั้นแล้ว ผมอาจจะต้องขอบคุณดยุกก็เป็นได้ ก็ท่านช่วยผมไว้ในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กนี่”
ดยุกหน้าถอดสี ทั้งที่ฤดูหนาวยังไม่จบลง และไอเย็นยังคงฟุ้งอยู่ในมวลอากาศแท้ๆ แต่เขากลับมีเหงื่อกาฬไหลออกมา
หากตกใจขวัญหนีดีฝ่อได้ถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดถึงกล้าก่อเรื่องที่น่ากลัวแบบนั้นได้กันนะ อาซแสยะยิ้มและกล่าวคำตัดสินโทษสำหรับดยุก
“อดีตดยุกเฟรดเดอริคถูกตัดสินโทษประหารด้วยการตัดหัวและร่างไร้วิญญาณของเขาจะถูกแขวนประจานไว้ที่ทางเข้าของเมืองหลวงเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
ดยุกหลับตาแน่น ท่าทางของเขาดูไม่ตกใจอะไรมากมายราวกับเตรียมพร้อมรับชะตากรรมของตัวเองมาแล้ว แม้ท่าทางของเขาจะไม่เป็นไปอย่างที่อาซหวังไว้ แต่เพราะไม่มีวิธีอะไรที่จะใช้ข่มขู่เขาได้อีกต่อไป อาซจึงขยับฝีเท้าก้าวไปอยู่ข้างหน้าไอซิสนักโทษคนสุดท้าย
“ไอซิส เฟรดเดอริค”
หลังจากที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับอาซมาระยะหนึ่ง ในตอนนี้ไอซิสเกิดตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา ท่าทางของอาซให้ความรู้สึกดุร้ายต่างไปจากตอนที่ได้เจอกับโรฮัน
อาซพูดออกมาราวกับเบื่อหน่ายด้วยสีหน้าที่ดูท้อแท้สิ้นหวัง
“ถึงขนาดแต่งงานกับกษัตริย์ต่างแดนเพื่อขายอาณาจักร เธอช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้”
อาซพูดออกมาด้วยความจริงใจ ไม่ว่าเธอจะเกลียดแค้นชิงชังเขามากเพียงใดก็ตาม แต่การคิดก่อกบฏขึ้นก็ถือเป็นเรื่องร้ายแรงเกินไป ที่สำคัญเธอยังเป็นถึงบุตรสาวของดยุกซึ่งมีหน้าที่ปกป้องอาณาจักรร่วมกับเหล่าราชวงศ์อีกต่างหาก
“ออสการ์ผู้เป็นน้องชายถึงกับต้องทรยศครอบครัวอย่างไม่มีทางเลือก หน้าตาสิ้นหวังนั่นช่างดูน่าสมเพชเสียจริง”
อาซกระซิบออกมาเบาๆ พร้อมกับชี้ไปทางอัฒจันทร์ เมื่อไล่สายตาไปยังทางที่มือของเขาชี้ไป ก็ได้เห็นออสการ์ที่หน้าซีดเผือดกำลังเฝ้ามองพ่อและพี่สาวเพียงคนเดียวของตนอย่างกระวนกระวายใจ
ท่าทางของออสการ์ราวกับจะล้มลงหมดสติด้วยความเป็นกังวลไม่เหมือนคนทรยศครอบครัวเลยสักนิด ใบหน้าของเขาไม่มีแม้แต่เงาของคนทรยศอยู่เลย
สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงใบหน้าของน้องชายเพียงคนเดียวของตนที่เป็นห่วงครอบครัวและรู้สึกเสียใจเท่านั้น
ไอซิสถามขึ้นมา
“…ออสการ์จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้เหรอคะ”
“ไม่รู้สิ คงจะใช้ชีวิตไม่ต่างไปจากสามัญชนทั่วไปละนะ สามัญชนที่เลดี้เกลียดเข้ากระดูกดำอย่างไรล่ะ”
“…”
“ทั้งๆ ที่เป็นตัวการทำให้ครอบครัวต้องตกนรกแท้ๆ แต่หน้าตากลับดูโล่งใจเสียเหลือเกินนะ”
“…”
แล้วเธอจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเล่า หากเขาคิดเมตตาให้เธอรอดชีวิตไปได้ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกแล้ว
หากย้อนอดีตได้จะเป็นอย่างไรนะ ไอซิสรู้ว่านั่นเป็นเพียงความเพ้อฝันที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดอีกต่อไป และเฝ้ารอห้วงเวลาสุดท้ายของตนเองอย่างสงบ
เพราะเหตุนั้นอาซจึงยิ้มอย่างไม่รู้ความหมายให้กับเธอ และพูดพร่ำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาพอให้เธอได้ยิน
“จนถึงตอนสุดท้ายเธอก็เลือกทำแต่อะไรโง่ๆ สินะ แม้จะมีอยู่อย่างเจือจาง แต่ก็ถือว่าได้สืบทอดสายเลือดของราชวงศ์มาด้วยละนะ”
และก่อนที่ไอซิสจะเข้าใจว่าอาซหมายถึงเรื่องอะไร เขาก็ได้กล่าวคำพิพากษาออกมา
“นักโทษไอซิส เฟรดเดอริค ถูกตัดสินโทษประหารตัดหัว และศพของเธอจะถูกนำไปแขวนไว้ที่กำแพงเมืองเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนเช่นเดียวกับดยุก”
เมื่อการประกาศคำพิพากษาของไอซิสจบลง โทษประหารก็ถูกดำเนินการในทันที โดยเริ่มจากการตัวหัวไวเคานต์แมริออตที่ถูกพิพากษาเป็นคนแรก
เพราะแท่นประหารกิโยตีนมีเพียงแท่นเดียวเท่านั้น เหล่านักโทษที่กำลังรอการประหารของตนให้มาถึง ต่างแสดงความหวาดผวาออกมาทั้งร้องไห้น้ำตาไหลพราก บางคนก็กลัวจนฉี่ราดออกมา และอาซก็จงใจเตรียมแท่นประหารไว้เพียงแท่นเดียวเพื่อการนั้น
ความตายที่ปรากฏให้เห็นชัดๆ ตรงหน้าแบบนั้น พอที่จะทำให้พวกเขาเสียสติไม่เป็นผู้เป็นคน และคนพวกนั้นก็ถูกหักแขนหักขาด้วยกำลังของเหล่าองครักษ์
“มีอะไรจะสั่งเสียไว้เป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่”
อาซถามไอซิสที่กำลังมองเหล่าองครักษ์เก็บชิ้นส่วนร่างกายและศีรษะของดยุกซึ่งถูกประหารก่อนจะถึงคราวของเธอ
แม้ไอซิสจะสิ้นหวังมากเท่าไหร่ แต่การมองดูพ่อของตัวเองที่หัวหลุดออกจากบ่าก็เป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานเกินกว่าจะรับได้ เธอได้แต่หลับตาพร้อมกับส่ายหน้า
แขนและขาที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปดูคล้ายกับใบไม้เรียวบางที่สั่นไหวท่ามกลางลมแรงไร้ซึ่งความปรานี
อาซแสดงความเมตตาให้กับเธอเป็นครั้งสุดท้าย
“หากชาติหน้ามีจริง ขออย่าได้เกิดมาเป็นคนอีกเลย”
ความตายของนางมารร้ายที่คอยกลั่นแกล้งเจ้าชายและทำให้ราชอาณาจักรเกิดความสั่นคลอน ช่างดูง่ายดายเสียเหลือเกิน
หลังจากที่นักโทษคนสุดท้ายถูกประหาร ผู้คนที่มามุงดูต่างพากันร้องตะโกนกึกก้อง
ณ ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงกู่ร้องประณามเหล่านักโทษแสนละโมบที่จ้องจะกลืนกินราชอาณาจักร และเสียงตะโกนสรรเสริญมกุฎราชกุมารที่สามารถปราบปรามกบฏเหล่านี้ได้ก่อนที่จะมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น
…………………………..