พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 160
***
“…ลงชื่อเป็นการสุดท้ายก็ถือว่าเป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ต่อไปก็สามารถนำเธอมาฝากขังและพาออกไปได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากอะไรแล้วครับ”
ท่าทางของผู้คุมซึ่งอธิบายราวกับว่ามิเอลเป็นสิ่งของที่รับฝากเอาไว้ ทำให้มิเอลกำมือทั้งสองข้างแน่นขึ้น
แต่เธอไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไปได้ เพราะถึงแม้ว่านั่นจะฟังดูเย้ยหยันแต่คำอธิบายของผู้คุมก็ถือว่าเป็นคำอธิบายที่เหมาะสม อีกอย่างผู้คุมก็น่ากลัวมากด้วยนั่นเอง หากเธอโต้ตอบอะไรกลับไป ก็กลัวว่าจะต้องได้กลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกครั้ง มิเอลยังรู้สึกถึงความเจ็บจากแรงกระชากผมที่ผู้คุมปฏิบัติต่อเธอราวกับเป็นสัตว์เดรัจฉานได้อยู่เลย
ในตอนนี้ทั้งท่านเคานต์และเคนไม่สามารถเข้ามาช่วยเธอได้อีกแล้ว แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับความรู้สึกที่เป็นปรปักษ์ทั้งหมดนั่นด้วยตัวคนเดียว แต่เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะทำแบบนั้นได้เลย
เพราะเช่นนั้นมิเอลจึงไม่สามารถขัดขืนหรือโมโหออกมาได้เลย นี่เป็นความเจ็บปวดที่มากมายเกินกว่าสาวน้อยซึ่งใช้ชีวิตอยู่บนความหวังอันน่าเพ้อเจ้อจะรับมือได้ไหว
หากเธอรออยู่อย่างเงียบๆ ราวหนูที่ตายไปแล้ว ก็จะสามารถออกไปจากคุกแห่งนี้ไปโดยที่ยังรู้สึกเจ็บใจ มิเอลจึงได้แต่รอให้บทสนทนาระหว่างทั้งคู่จบลงอย่างเงียบๆ
‘…ต้องรีบกลับไปเจอพี่อาเรียให้ได้โดยเร็ว’
แม้ตอนนี้จะไม่สามารถทำอะไรได้ก็ตาม แต่ถ้าหากอาเรียได้รู้ว่าเธอได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมอย่างนี้แล้วละก็ คงจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ อาเรียจะต้องรู้สึกเสียใจแน่ๆ
และก็คงจะดุด่าแอนนี่แน่ๆ ถึงยังไงก็เป็นแค่สาวใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเท่านั้น เผลอๆ อาจจะโดนไล่ออกจากคฤหาสน์รึเปล่าก็ไม่รู้ แม้ในตอนนี้เราสองคนจะเป็นแค่สามัญชนก็ตาม แต่เมื่อก่อนเราทั้งคู่ก็เป็นถึงชนชั้นขุนนาง มีหรือจะยอมให้แอนนี่อยู่รับใช้ต่อไป
เพราะเธอกับเคนซึ่งทำความผิดมหันต์ฐานก่อกบฏ ก็ได้อาเรียช่วยเหลือเอาไว้ในตอนแรก แน่นอนว่าในครั้งนี้อาเรียก็จะต้องเข้าข้างเธอและลงโทษแอนนี่อย่างแน่นอน
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะอาเรียเป็นพี่สาวเพียงคนเดียวของเธออย่างไรล่ะ
“ไปกันเถอะมิเอล”
“…”
แอนนี่คุยกับผู้คุมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินเชิดหน้าออกไปอย่างสง่าผ่าเผยราวกับเป็นหญิงชนชั้นขุนนางก็ไม่ปาน แต่ท่าทางที่เลียนแบบอาเรียมานั้นกลับดูหยาบกระด้างกว่ามาก ทำให้ความโกรธแค้นและความกลัวของมิเอลหายไปจนอดหัวร่อเอาไว้ไม่ได้
‘พี่อาเรียยังไม่ทำถึงขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ’
ไม่สิ ลองมานึกดูแล้วอาเรียดูสง่างามจนเธอรู้สึกประทับใจเลยด้วยซ้ำ ดูสง่าผ่าเผยจนไม่สามารถหาที่ติได้เลยสักนิด
แม้จะมีชาติกำเนิดมาจากสามัญชนเหมือนกัน แต่กิริยาท่าทางกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พอคิดได้แบบนั้นมิเอลก็เผลอขมวดคิ้วออกมาเองโดยธรรมชาติ
‘ให้ฉันได้กลับไปก่อนเถอะ…! ’
ฉันจะฟ้องทุกเรื่องให้อาเรียฟัง แล้วให้คนใช้หน้าโง่ที่กล้าเลียนแบบชนชั้นสูงอย่างแกได้ลิ้มรสชาติของโลกแห่งความเป็นจริงให้ได้เลยคอยดู มิเอลสาบานกับตัวเองอีกครั้งแล้วเดินตามหลังแอนนี่ไปเงียบๆ โชคดีที่แอนนี่ก้าวช้าๆ เลียนแบบท่าทางการเดินของชนชั้นสูง มิเอลจึงเดินได้อย่างไม่รู้สึกเจ็บเท้ามากนัก
หลังจากที่เดินออกมาจากคุกอันน่ากลัวนั้นแล้ว ก็เห็นรถม้าอันหรูหราขนาดที่ตนเองไม่คิดไม่ฝันมาก่อนรออยู่
มิเอลเบิกตามองแอนนี่ที่ขึ้นไปบนรถม้านั่นอย่างเป็นธรรมชาติด้วยความประหลาดใจและถามขึ้นมา
“…แอนนี่ นี่เธอนั่งรถม้าคันนี้มางั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ เธอคิดว่าฉันจะนั่งอะไรมาได้กันล่ะ”
มิเอลไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่แอนนี่ตอบเธอมาอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด เพราะมัวแต่ตกใจกับรถม้าที่หรูหรานั่น
เป็นรถม้าที่หรูหราอะไรเช่นนี้ แม้แต่ในบรรดารถม้าของโรสเซนต์ก็ยังไม่มีรถม้าแบบนี้อยู่เลย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือเธอคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะต้องตกแต่งให้สวยงามขนาดนี้
‘ทำไมพี่อาเรียถึงให้แอนนี่นั่งรถม้าที่หรูหราขนาดนี้กัน…’
ทั้งที่เป็นแค่คนใช้แท้ๆ
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรถม้าที่หรูเกินกว่าจะให้คนใช้นั่ง ไม่สิ แม้แต่ขุนนางที่มีฐานะกลางๆ ก็ยังยากที่จะมีรถม้าแบบนี้เลย นี่จึงไม่ใช่รถม้าที่ควรให้คนใช้นั่ง แต่ทำไมกันล่ะ ทำไมถึงให้คนอย่างแอนนี่นั่ง…!
“เลดี้อาเรียคงจะรออยู่ คงต้องรีบนั่งรถม้ากลับไปเสียแล้ว…ฮืม แต่จะให้นั่งรถม้าด้วยกันกับเธอเนี่ย มันก็นิดนึงละนะ”
ถึงแอนนี่จะไม่พูดแบบนั้นมิเอลก็รู้สึกอึดอัดใจที่ไม่รู้ว่าทำไมแอนนี่ถึงได้นั่งรถม้าแบบนี้อยู่แล้ว แต่อยู่ๆ แอนนี่ก็พูดขึ้นมาขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้า และขมวดคิ้วจ้องมิเอลด้วยหน้าตาราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“ไม่ว่าจะคิดยังไง การจะให้นั่งในรถม้าด้วยกันกับเธอมันก็นิดนึงละนะ…ใช่แล้ว มิเอล เธอน่ะไปนั่งข้างคนขี่ม้าดีกว่า”
แล้วก็เอาแต่เอะอะพูดจาไร้สาระอยู่นั่น
มิเอลที่ตกใจกับสิ่งที่แอนนี่พูดย้อนถามกลับไป
“นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน ทำไมฉันต้องไปนั่งข้างคนขี่ม้าด้วย ก็นี่มารับฉันกลับไม่ใช่หรือไง”
“หัดก้มหน้าชะโงกดูเงาของตัวเองบ้างสิมิเอล ถ้ารถม้าที่สวยงามแบบนี้เปื้อนฝุ่นขึ้นมาจะทำยังไงกัน นี่เป็นรถม้าที่เลดี้อุตส่าห์ให้มาใช้เชียวนะ จะให้มันเปรอะเปื้อนเพราะเธอได้ยังไงกันล่ะ”
แอนนี่พูดพร้อมกับชี้มือไปยังเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ขาดรุ่งริ่งของมิเอล ไม่ใช่เพียงแค่ชี้นิ้วเท่านั้น แต่ยังทำหน้าตาไม่สบอารมณ์อีกด้วย
เพราะมิเอลได้ตรวจดูสภาพที่สกปรกของตัวเองไปก่อนหน้านี้แล้ว ถึงไม่ก้มหน้าดูก็พอจะเดาได้ว่าสภาพตัวเองเป็นอย่างไร มิเอลหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เพราะสภาพของเธอในตอนนี้ไม่ต่างไปจากขอทานข้างถนน
แต่เพราะไม่อยากนั่งข้างคนขี่ม้า เธอจึงแก้ต่างออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“…เช็ดออกทีหลังก็ได้นี่”
“ใครล่ะ เธอจะทำเหรอ นี่คงไม่คิดจะให้สาวใช้เป็นคนทำให้หรอกใช่ไหม เพราะตอนนี้ไม่มีสาวใช้คนไหนมาช่วยดูแลเธอหรอกนะ”
“…! “
“แน่นอนว่านั่งตรงที่นั่งคนขี่ม้าก็ไม่ต่างกันหรอก เธอต้องเป็นคนเช็ดสิ่งสกปรกที่ออกมาจากตัวเธอด้วยตัวเอง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่สามัญชนทุกคนทำกันยังไงล่ะ กลิ่นตัวเธอเหม็นมาก ฉันขอขึ้นไปก่อนละ”
แอนนี่พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วขึ้นรถม้าไปคนเดียวปล่อยให้มิเอลอยู่ตรงนั้น นั่นเป็นการบอกว่าไม่ว่ามิเอลจะพูดอะไรก็ไม่มีทางได้นั่งในรถม้านั่นเอง
“บ้าไปแล้วหรือไง กล้าดียังไงมาพูดจาพล่อยๆ ใส่ฉันแบบนี้…! “
เพราะไม่สามารถปล่อยให้เรื่องผ่านไปเฉยๆ ได้ มิเอลตั้งใจจะเปิดประตูรถม้าแล้วอาละวาดมันเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็ต้องหยุดยืนอยู่ที่เดิมในทันที เพราะคิดว่าหากแอนนี่บอกว่าจะยัดเธอกลับไปอยู่ในคุกอีกครั้งในจุดนี้ เธอจะทำอย่างไรกันเล่า
ถ้าไม่มีแอนนี่เธอก็ออกจากคุกไม่ได้ ก่อนอื่นไม่ว่าจะยังไงก็ต้องไปหาอาเรียก่อน ต้องกลับไปเล่าให้อาเรียฟัง ถ้าฟ้องอาเรียถึงความยโสโอหังของแอนนี่แล้วละก็ อาเรียจะต้องแก้ไขเรื่องบ้าบอนี้ให้เธอไม่ผิดแน่
“…เอ่อ จะนั่งด้านข้างไหมครับ”
คนขี่ม้าถามมิเอลที่พยายามคลายความโกรธลงอย่างระมัดระวัง
เขาเคยทำงานในคฤหาสน์ของท่านเคานต์ก่อนจะย้ายไปที่คฤหาสน์ของคาริน และเขายังจำมิเอลในตอนที่เป็นชนชั้นสูงได้เป็นอย่างดี เธอไม่ใช่สาวน้อยที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
เพราะเช่นนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดกับมิเอลด้วยคำพูดไม่สุภาพแบบแอนนี่ได้ เขาถอดหมวกที่สวมไว้และพูดกับเธออย่างนอบน้อมมากทีเดียว
“…ก็ต้องเป็นอย่างนั้นละ”
มิเอลตอบออกไปพร้อมกับถอดหายใจยาว ดูเหมือนคำพูดที่สุภาพของคนขี่ม้าจะช่วยให้เธอคลายความโกรธลงนิดหน่อย
คนขี่ม้าใจดีเป็นอย่างมาก เขาเอาผ้าเช็ดหน้าเก่าๆ ของตัวเองมาปูเป็นที่นั่งให้กับมิเอล และเพราะไม่มีทางเลือกมิเอลจึงต้องหย่อนก้นลงบนผ้าเช็ดหน้าของคนขี่ม้า
เพราะมีมิเอลนั่งอยู่ข้างๆ รถม้าจึงวิ่งไปอย่างช้าๆ และเริ่มแล่นออกไปอย่างราบรื่น เพราะเทียบกับภายในรถม้าที่บุด้วยเบาะอันอ่อนนุ่มแล้ว ที่นั่งของคนขี่ม้าเรียกได้ว่าไม่สบายเอามากๆ
และยิ่งเป็นมิเอลที่ไม่คุ้นเคยกับที่นั่งแบบนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งดูจะเป็นแบบนั้น เพราะแบบนั้นคนขี่ม้าถึงได้คอยสังเกตสีหน้าของมิเอลอยู่เรื่อยๆ
“เป็นอะไรไหมครับ”
“…ไม่เป็นไร แต่รถม้ามันค่อนข้าง… เปล่า ช่วยขี่ให้เร็วๆ หน่อยได้ไหม”
แต่ทว่าดูเหมือนมิเอลจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลย เพราะหากจะไปยังคฤหาสน์ของคารินก็ต้องผ่านจัตุรัสที่ใช้เป็นลานประหาร และทุกๆ หัวมุมที่วิ่งผ่านลานกว้างมา ก็มีแต่ฝูงชนจำนวนมากแสดงความเกลียดชังต่อมิเอล
“อีชั่ว! “
“เฮ้อ ท่านอาเรียช่วยมันออกมาจากคุกจริงๆ สินะ”
“จะขายประเทศชาติงั้นรึ แกนี่มันนางมารร้ายที่ชั่วช้าที่สุดในประวัติศาสตร์จริงๆ ไปให้พ้น “ ชิ้ว! “
“สภาพแบบนั้นใครจะคิดว่าเป็นขุนนางเก่ากัน สกปรกเสียไม่มี”
“ตายๆ ไปซะ จะมีชีวิตอยู่ทำไม! “
มิเอลหลับตาแน่นเมื่อได้ยินด่าทอดูหมิ่นที่เกินกว่าจะทนได้ ไม่ว่าสภาพเธอจะโทรมมากขนาดไหนก็ไม่สามารถซ่อนหน้าตาและสีผมดั้งเดิมได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนก็ยังรู้ว่ารถม้าอันหรูหราที่เธอนั่งมาเป็นรถม้าของอาเรียด้วย
ดังนั้นสายตาของทุกคนจึงเพ่งไปที่มิเอลโดยทันที และสาดทอคำด่าและคำนินทาออกมาอย่างไม่ลังเล เพราะแบบนั้นการทนต่อความไม่สะดวกสบายแล้วเร่งความเร็วเพื่อหนีสายตาของผู้คนจึงดีกว่าการลดความเร็วของรถม้าเพื่อความสบายเล็กน้อยนั่นเอง
“เอ่อ…เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นจับให้แน่นๆ นะครับเพราะว่าอาจจะตกลงไปได้ครับ”
คนขี่รถม้าเองก็อ่านสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เขาเร่งความเร็วรถม้าและแล่นผ่านลานกว้างไปอย่างรวดเร็ว
เสียงที่ดังมาจากเกือกม้าและล้อรถม้าช่วยกลบเสียงพวกนั้นไปได้ มิเอลจึงไม่ได้ยินเสียงด่าทอตัวเธออีกต่อไป
***
“…ที่นี่คือคฤหาสน์หลังใหม่ของพี่อาเรียงั้นหรือ”
“ถ้าจะพูดให้ถูกที่นี่คือคฤหาสน์ของท่านคารินครับ”
“คารินเหรอ…”
“นั่นเป็นชื่อจริงของท่านเคาน์ติสน่ะครับ เพราะตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่ในฐานะเคาน์ติสอีกแล้วจึงเรียกกันว่าท่านคารินครับ”
“อ๋อ…”
ลูกตาของมิเอลไหวสั่นเมื่อมองเห็นคฤหาสน์หลังงามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เธอไม่ได้ยินเสียงของคนขี่ม้าที่อธิบายว่าข้ารับใช้จากคฤหาสน์ของท่านเคานต์ต่างย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งหมด
ไม่น่าเชื่อว่าโสเภณีชั้นต่ำแบบนั้นจะสะสมเงินทองและใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายได้ถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าเธอต้องยักยอกเอาสมบัติทั้งหมดของท่านพ่อไปแน่ๆ แต่เอาไปเก็บไว้ที่ไหนกันนะ”
“ตายแล้ว เลดี้มิเอลจริงๆ ด้วย…”
“ตอนนี้ไม่ใช่เลดี้แล้วนี่นา เพราะคนที่จ้างพวกเราคือท่านคารินต่างหาก”
“มันก็ถูกอย่างที่เธอว่านั่นแหละ…แต่เรียกเธอว่าเลดี้มากว่าสิบห้าปี อยู่ๆ จะให้พูดแบบคนทั่วไปก็แปลกๆ น่ะ”
“ใช่…ถึงจะเป็นสามัญชนแล้วแต่จะให้เปลี่ยนคำเรียกทันทีมันก็ไม่ค่อยชินน่ะ”
“แต่ลองดูสภาพนั่นก่อนสิ กลายเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไงกันเนี่ย”
“เพราะแอนนี่แต่งตัวเต็มยศอยู่ข้างๆ เลยต่างกันจนเห็นได้ชัดน่ะสิ”
“ถึงขั้นก่อกบฏเลยนะ โดนแค่นั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
“ชู่ หล่อนเห็นพวกเรานะ หลบตาเร็วเข้า! ”
เหล่าสาวใช้แต่ละต่างพูดแทรกกันขึ้นมาเมื่อเห็นมิเอลลงจากรถม้าที่กลับมาถึงคฤหาสน์ ดูเหมือนพวกเธอจะคุยกันเสียงไปหน่อย มิเอลจึงได้หันมามองพวกเธอด้วยสายตาที่ดูเกรี้ยวกราด
“พอเจ้านายเปลี่ยนสถานะจากขุนนางมาเป็นสามัญชน ก็ปากดีกันเสียเหลือเกินนะ ที่ผ่านมาอดกลั้นกันเอาไว้ได้ยังไงน่ะ”
หลังจากมิเอลเหน็บแนมกลับไป แอนนี่ที่ตามลงมาจากรถม้าทีหลังก็หัวเราะลั่นและพูดออกมาว่า
“ตายจริง ใครจะเป็นคนด่าใครกันแน่ล่ะทีนี้ นั่นมันเป็นเรื่องที่เธอสมควรจะโดนอยู่แล้วนี่ ทำไมเธอจะต้องโมโหด้วยล่ะ”
ถึงจะพูดกันว่ามิเอลถูกลดสถานะลงมาเป็นสามัญชนก็ตาม แต่แอนนี่กล้าพูดจาไม่ให้เกียรติมิเอลซึ่งๆ หน้าแบบนั้นเลยหรือ บรรดาสาวใช้ที่ตกใจต่างเริ่มซุบซิบกันขึ้นมา มิเอลที่กลับมาอยู่ข้างอาเรียแล้วนั้น ตั้งใจจะระบายความโกรธที่อัดอั้นเอาไว้ต่อแอนนี่พอดี
“แก เป็นแค่คนใช้กล้าดียังไง…! “
“ทำได้ดีมากแอนนี่ มิเอลกลับมาแล้วสินะ”
หากอาเรียไม่โผล่ขึ้นมาก่อน เธอก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้วเชียว
แต่อาเรียที่ออกมาจากคฤหาสน์กลับยิ้มอย่างงดงามต้อนรับมิเอลราวกับว่ากำลังรอเธออยู่ แล้วแอนนี่ก็ทักทายอาเรียด้วยการบอกว่ากลับมาแล้วค่ะ ด้วยหน้าใสซื่อราวกับจะตอกหน้ามิเอลว่ามันใช่อย่างที่หล่อนคิดเสียที่ไหน
“เลดี้! เขาบอกว่าครั้งต่อไปสามารถฝากขังและเข้าพบได้ง่ายๆ ด้วยค่ะ”
“งั้นเหรอ แบบนั้นก็ดีเลยสิ”
ถ้าแอนนี่มีหางละก็เธอคงจะส่ายหางทำตัวประจบประแจงไปเสียแล้ว อาเรียลูบหัวแอนนี่และบอกว่าเธอทำได้ดีมาก ราวกับชื่นชมการกระทำของแอนนี่อยู่
น่าสะอิดสะเอียนเสียไม่มี แต่ถึงอย่างนั้นมิเอลเองก็ตั้งใจจะทำแบบเดียวกับที่แอนนี่ทำอยู่พอดี เธอกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งและจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่ก่อนจะเข้าไปหาอาเรีย
“พี่คะ! “
“มิเอล น้องดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่เลย เป็นอะไรมากไหม”
“…ไม่ ไม่เป็นไร…ค่ะ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนของอาเรีย ก็รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม ก่อนที่ตัวเองจะได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ให้อาเรียฟัง
ทำไมถึงใจกว้างได้ขนาดนี้กันนะ
ภาพลักษณ์ของอาเรียต่างไปจาก ‘ลูกสาวโสเภณีชั้นต่ำ’อย่างที่เธอคิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
อาเรียเป็นผู้หญิงที่งดงามและยังสง่า มีเมตตา และอบอุ่นอีกด้วย เป็นดั่งนางฟ้าที่ยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่คนที่เคยรังแกตัวเอง
หากเป็นอาเรียละก็คงสามารถลงโทษแอนนี่ที่เอาแต่พูดจาแย่ๆ และทำตัวเลวทรามได้แน่นอน เพราะแอนนี่กลายเป็นผู้ปกครองของมิเอลแล้ว อาเรียจะต้องต่อว่าและแก้ไขพฤติกรรมอันโง่เขลาของแอนนี่ให้เธอแน่ๆ
มิเอลขยี้ขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้นมาและพูดกับอาเรียว่า
“พี่คะ น้องมีเรื่องจะเล่าให้ฟังค่ะ”
“หมายถึงพี่หรือ”
“ค่ะ! พี่ต้องฟังเรื่องนี้ให้ได้นะคะ เป็นเรื่องของเด็กเลวๆ ที่เอาแต่วางท่าไม่เจียมกะลาหัวตัวเอง จนพี่จะต้องเป็นกังวลขึ้นมาเลยละค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาเรียก็เลิกคิ้วขึ้นมา เธออดฉงนใจไม่ได้
“มีเด็กแบบนั้นอยู่ด้วยหรือ พี่ไม่รู้เลยนะเนี่ย…ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่นะ ไหนลองเล่ามาซิ”
เธอพูดเช่นนั้นและทำทีตกใจพร้อมกับพยักหน้า
“เลดี้ ก่อนอื่นเลยต้องให้มิเอลไปล้างเนื้อล้างตัวไม่ใช่หรือคะ คงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เพราะจะให้คุยกับเลดี้ในสภาพแบบนี้ไม่ได้นี่คะ แถมกลิ่นตัวยังเหม็นอีกด้วยค่ะ”
แอนนี่พูดจาเย้ยหยันมิเอลอีกครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองคือตัวเอกของเรื่องที่มิเอลจะเล่าให้อาเรียฟัง
หากเป็นอาเรียที่เจ้าเล่ห์อย่างกับจิ้งจอกแล้วละก็ หลังจากอ่านความหมายนั่นแล้ว มีหรือจะไม่ดุด่าแอนนี่ มิเอลคาดหวังเอาไว้เช่นนั้นแต่ก็ผิดคาด เมื่ออาเรียเห็นด้วยกับแอนนี่และบอกให้เธอรีบทำตามที่แอนนี่บอกจะดีกว่าพร้อมกับทำหน้าตาสงสารจับใจ
“แอนนี่ เธอคือผู้ปกครอง ฉะนั้นแล้วดูแลให้ดีด้วยล่ะ เพราะมีฝุ่นติดตัวอยู่ อาจจะป่วยขึ้นมาก็ได้ช่วยดูแลอยู่ข้างๆ หน่อยแล้วกันนะ ก็เธอเป็นเด็กดีนี่นา”
“ค่ะ เลดี้ อย่ากังวลไปเลยนะคะเชื่อดิฉันแล้ววางใจได้เลยค่ะ ก็เลดี้ออกจะยุ่งนี่คะ คงไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอกค่ะ”
“ขอบใจนะแอนนี่ มิเอล ดีจังเลยนะที่แอนนี่บอกว่าจะช่วยน้องน่ะ แล้วอีกเดี๋ยวค่อยเจอกันนะจ๊ะ”
อาเรียยิ้มละมุนทิ้งท้ายแล้วออกไปจากตรงนั้น ปล่อยให้มิเอลที่หมายจะบอกให้เธอรอต้องยกมือขึ้นมาเก้อ
‘อะไรกัน…นั่นนะดูยังไงก็เป็นคำพูดเหน็บแนมและดูถูกฉันชัดๆ นี่เข้าใจว่านั่นหมายถึงเป็นห่วงฉันจริงๆ น่ะเหรอ…’
มิเอลอ้าปากค้างเพราะไม่อยากจะเชื่อ แล้วแอนนี่ก็เดินมาอยู่ข้างๆ มิเอลด้วยหน้าตากระหยิ่มใจ
“เอาละมิเอล ไปอาบน้ำได้แล้ว ไม่เห็นหรือไงว่าทุกคนกำลังขมวดคิ้วมองเธออยู่”
สาวใช้ทุกคนกำลังจ้องมาที่มิเอลอย่างที่แอนนี่พูดจริงๆ
สายตาแห่งความสงสัย เวทนาและเย้ยหยันรวมอยู่ด้วยกันในที่เดียว เพราะอยู่ในสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าได้รับอนุญาตจากอาเรียแล้ว ในสายตาของทุกคนจึงไม่มีความตะขิดตะขวงใจที่จะมอง
“เด็กๆ ช่วยบอกทางไปห้องน้ำของสาวใช้ให้มิเอลหน่อยสิ เพราะฉันคงไม่กล้าให้ไปใช้ห้องน้ำที่เจ้านายใช้น่ะสิ”
“เข้าใจแล้วแอนนี่”
“ใช่ ที่นั่นน่ะเหมาะสมแล้ว”
สาวใช้ที่วิ่งมาแต่ละคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว พวกเธอเป็นสาวใช้ที่คอยติดตามอาเรียมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
…………………………..