พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 163
“นะ น้อง…!”
เนื่องจากทุกคนส่งแรงกดดันบางอย่างคล้ายกับจะให้มิเอลเป็นสาวใช้ของคฤหาสน์ มิเอลจึงได้แต่เลิ่กลั่กและพูดติดอ่าง
จะให้เธอลดตัวไปทำงานที่ต้อยต่ำและหยาบคายแบบนั้นได้อย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถยอมรับได้เลย
ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอไม่สามารถพูดออกมาแบบนั้นได้ ก็เพราะพ่อบังเกิดเกล้าที่ถูกเธอผลักตกบันไดจนกลายเป็นคนพิการถูกยึดเป็นตัวประกันนั่นเอง
“อย่างไรเสียเธอก็อยู่ห่างจากฉันไม่ได้อยู่แล้ว ก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่เลยนี่นา นอกจากนั้นในคฤหาสน์นี้น่ะ คนที่ไม่ทำการทำงานก็หากินอะไรไม่ได้หรอก ดูอย่างเลดี้อาเรียสิ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ก็ยังหมกมุ่นอยู่กับงานอยู่เลย”
หากไม่นับคารินซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์แล้ว ทั้งพวกสาวใช้รวมไปถึงอาเรียต่างก็ทำงานกันทุกคน ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ แบบที่พวกขุนนางได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินจากราชอาณาจักร
นอกจากนั้นไม่ว่าจะคิดปฏิเสธอย่างไร ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ทำได้นอกจากการทำงานเป็นสาวใช้อีกแล้ว
เพราะในตอนนี้มิเอลไม่ใช่ทั้งชนชั้นสูง ไม่ใช่ทั้งบุตรหลานของขุนนางแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่นักโทษและลูกสาวที่ต้องดูแลพ่อที่ป่วยตัวเปล่าไม่มีสมบัติใดๆ ทั้งนั้น
และถึงแม้ว่าจะไม่ต้องอยู่ข้างๆ แอนนี่ก็ตาม อย่างไรเธอก็ต้องทำงาน เพราะไม่มีใครช่วยสนับสนุนค่าเล่าเรียนให้เธอได้อีกแล้ว เธอจึงต้องทำงานและสำนึกขอบคุณทุกอย่างในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อตอบแทนท่านเคานต์ที่ช่วยเลี้ยงดูเธอให้สง่าและสวยงามได้เช่นนี้
“…อ่อ คือว่า…”
อย่างนั้นแล้วเธอจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ได้อีกเล่า ในเมื่อไม่มีทางให้เธอโต้แย้งกลับไปได้เลย เพราะต่อจากนี้ไปไม่มีใครจะช่วยดูแลมิเอลได้อีกแล้ว
“มิเอล อย่างกังวลไปเลยนะจ๊ะ เรื่องเงินเดือนน่ะพี่จะจ่ายให้อย่างเหมาะสมเลยนะ พี่จะทอดทิ้งน้องได้อย่างไรกันล่ะ”
“พี่…”
เพราะปัญหาไม่ใช่เรื่องเงินเดือนแต่อย่างใด มิเอลจึงตั้งใจจะแย้งกลับไปทันที แต่อาเรียก็จิบเครื่องดื่มแล้วพูดเสริมขึ้นมา
“คิดเสียว่าทำเป็นประสบการณ์ชีวิตเพื่ออนาคตในวันข้างหน้า แล้วน้องก็จะค่อยๆ ชินมากขึ้นเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อท่านพ่อที่น่าสงสารแม้แต่จะขยับร่างกายก็ยังลำบาก”
เพื่อพ่อที่เธอเป็นคนทำให้กลายเป็นแบบนั้นอย่างไรล่ะ
ดวงตาเรียวยาวของอาเรียกระตุ้นให้มิเอลสำนึกถึงการชดเชยบาปมหันต์นั้นอีกครั้ง
“ถ้ามีอะไรไม่สะดวกขึ้นมาก็บอกละ เพื่อน้องแล้วเรื่องแค่นั้นพี่ทำให้ได้อยู่แล้ว”
อาเรียพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปากแล้วลุกขึ้นยืน ท่าทางเธอจะรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว แม้จะทานไปไม่มากเท่าไหร่
“น้องยังมีงานที่ต้องทำอีกน่ะค่ะ คงต้องขอตัวแค่นี้แล้ว ท่านพี่กับมิเอลค่อยๆ ทานอาหารไปอย่างสบายใจเลยนะคะ แม้ว่าทางกฎหมายเราจะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แต่น้องคิดกับทั้งสองคนเป็นดั่งคนในครอบครัว ฉะนั้นแล้วพักผ่อนให้สบายแล้วค่อยกลับนะคะ”
มิเอลยื่นมือไปหาอาเรียราวกับว่าเธอยังเหลือสิ่งที่อยากจะพูดอยู่ แต่อาเรียไม่มีเหตุผลให้อยู่ที่นี่อีกต่อไป เธอหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วแล้วออกไปจากห้องอาหาร
ภายในห้องอาหารที่เหลือเพียงพี่ชายน้องสาวโรสเซนต์นั้น เต็มไปด้วยความเงียบอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเคนก็เป็นคนทำลายความเงียบนั้นลง
“มิเอล แค่มองหน้าน้องพี่ก็รู้ว่าน้องไม่พอใจมากแค่ไหน แต่ขอบคุณในความเมตตาของอาเรียแล้วยอมรับแต่โดยดีเถอะนะ”
“…ท่านพี่! “
มิเอลจ้องหน้าเคนราวกับไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่เคนก็ยังบอกให้เธอไปเป็นสาวใช้อย่างนั้นหรือ
“…พวกเราทำให้ท่านพ่อกลายเป็นแบบนั้น ก็สมควรต้องช่วยดูแลท่านให้ดีสิ ตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว อย่างไรเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดี”
หากจะพูดให้ถูก มิเอลเป็นคนที่ทำให้เป็นเช่นนั้น แต่เพราะเคนไม่สามารถทำให้น้องสาวตัวเองต้องรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่าเดิมได้ จึงได้แต่พยายามเงียบเอาไว้
แท้จริงแล้วเขาไปได้ยินเรื่องอะไรมาจากพระราชวังกัน ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนได้แบบนั้นในเวลาเพียงไม่นาน
มิเอลปรายตามองพี่ชายตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอเม้มปากและก้มหน้าลงราวกับไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับเคนอีกต่อไป
***
“เลดี้คะ มิเอลจะเชื่อฟังตามที่บอกจริงๆ หรือคะ”
แอนนี่ยกสำรับอาหารเรียบง่าย มาให้อาเรียที่กลับมาถึงห้อง และแอบถามอาเรียขึ้นมา
อาเรียตอบกลับไปราวกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
“ถ้าบอกว่าทำไม่ได้แล้วละก็ เราก็ต้องทำให้ทำได้เสียสิ ยังไงทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีแล้ว ทำตามที่ฉันสั่งแบบนี้ต่อไปนั่นแหละดีแล้ว”
“เข้าใจแล้วค่ะเลดี้ แต่ว่าถ้าทำให้มิเอลกลายเป็นสาวใช้แล้ว จะให้ทำอะไรหรือคะ เธอดูไม่ได้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะทำให้เด็กที่โอหังแบบนั้นเป็นสาวใช้ได้ยังไง ดิฉันคงไม่ต้องพามิเอลติดตัวออกไปด้วยใช่ไหมคะ”
เพราะมิเอลต้องอยู่ข้างกายแอนนี่นั่นเอง
อาเรียยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ความหมายและตอบแอนนี่ที่กำลังเป็นกังวล
“ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะจะไม่มีเรื่องแบบนั้นอย่างไรล่ะ”
หากจะพูดให้ถูกก็คือมีความเป็นไปได้สูงที่ทุกอย่างจะถูกจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่แอนนี่จะแต่งงานและออกจากคฤหาสน์ไป
แอนนี่เอียงคอสงสัยในคำตอบที่ฟังดูกำกวมของอาเรีย แต่เธอก็คิดว่าคงจะมีความหมายแฝงลึกอยู่ในคำตอบนั้นแล้วพยักหน้าออกมา
“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้ดิฉันจะแกล้งให้หนักตามที่เลดี้บอกเลยค่ะ! ที่จริงแล้วดิฉันก็รู้สึกสนุกขึ้นมานิดหน่อยด้วย เหตุผลที่ชนชั้นสูงกลั่นแกล้งสาวใช้อาจจะเพราะรู้สึกแบบนี้ก็ได้ค่ะ”
เมื่อได้เห็นท่าทางอยากเอาชนะจนใจจะขาดถึงขนาดทำในสิ่งที่ยังไม่ได้สั่งเข้า ก็ทำเอาอาเรียยิ้มออกมาเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นอาเรียคิดว่าการที่แอนนี่เลือกจะแกล้งผู้อื่นเพื่อความสะใจแบบไม่มีเหตุผลนั้น ช่างดูเป็นนางมารร้ายที่ชั่วช้ามากกว่าตัวอาเรียที่ตั้งใจจะแก้แค้นเสียอีก
ดูเหมือนการประกาศออกมาว่าจะแกล้งมิเอล จะไม่ใช่แค่การพูดลอยๆ เสียแล้ว เพราะวันถัดมาแอนนี่ก็กลั่นแกล้งมิเอลรุนแรงขึ้น ไม่สิ ถึงจะไม่ถูกแกล้งก็ตาม แต่งานทั้งหมดที่ต้องทำในฐานะสาวใช้ก็เป็นเรื่องที่ทรมานต่อมิเอลมากพออยู่แล้ว
มิเอลตื่นแต่เช้าโดยที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แล้วทานข้าวเช้าที่แสนน่าเบื่อย่างเร่งรีบ จากนั้นก็ทำความสะอาดคฤหาสน์ โดยที่ถูกแอนนี่ตรวจดูความเรียบร้อยและถูกดุด่าหลายต่อหลายครั้ง
แน่นอนว่าในครั้งแรกมิเอลถลึงตาโต้ตอบกลับไป แต่ก็ถูกแอนนี่เล่นงานกลับไปด้วยพิษจากอาวุธลับที่เตรียมไว้นั่นเอง
“มิเอล เธอโง่หรือยังไง หรือเธอซื่อบื้อ หรือว่าอยากตายอย่างนั้นเหรอ ถ้าอยากกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกครั้งละก็ ต่อต้านฉันต่อไปแบบนั้นเลยสิ”
“…! “
“อย่าบอกนะว่าที่คุกนั่นมีอะไรดีๆ อยู่น่ะ ถึงอากาศจะอบอุ่นขึ้นแล้วก็ตาม แต่คุกที่ไม่มีแม้แต่ผ้าห่มบางๆ เลยสักผืนน่ะ มันก็นิดหนึ่งละนะ แล้วไหนจะข้าวที่กินได้ไม่อิ่มท้องอีก”
“แก แก…! “
สิ่งที่ทำให้มิเอลต้องยอมพ่ายแพ้หลายต่อครั้งนั้น ไม่ใช่พ่อที่ป่วยหรือเคนซึ่งเปลี่ยนไปราวกับล้มเลิกความคาดหวังไปแล้วทั้งที่ยังไม่พ้นวัน แต่เป็นคุกที่ทำให้มิเอลต้องทุกข์ทรมานนั่นเอง
เพราะมิเอลรู้สึกกังวลกับความทุกข์สุขของตัวเองมากกว่าจะเห็นใจหรือเข้าใจในความทุกข์ที่ผู้อื่นได้รับ
“แกอย่างนั้นหรือ ฉันบอกให้เธอเรียกฉันว่าท่านแอนนี่แล้วนี่นา ระหว่างสาวใช้ด้วยกันก็มีระดับอยู่นะ ยิ่งกว่านั้นฉันน่ะต่างจากสาวใช้ทั่วไปนะ เป็นถึงสาวใช้ที่ได้อยู่ข้างเลดี้อาเรียเลยไงล่ะ”
“…”
“นี่เธอคงไม่ได้ลืมใช่ไหม ว่าพวกสาวใช้ต่างก็เรียกท่านเอ็มม่าโดยมีคำว่าท่านนำหน้าน่ะ ฉะนั้นแล้วก็ระวังคำพูดคำจาเอาไว้ด้วยล่ะ ถ้าไม่อยากถูกโยนกลับเข้าคุกอีกครั้ง”
มิเอลไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เมื่อแอนนี่เอ่ยถึงคุกขึ้นมาอีกครั้งแล้วหันกลับไป เธอแอบเข้าไปในห้องอาเรียเพื่อหลบสายตาของคนอื่นๆ
ถ้าเป็นอาเรียละก็
ฉันเชื่อว่าถ้าเป็นอาเรียแล้วละก็จะต้องตำหนิแอนนี่ที่เอาแต่ทำตัวกร่างโดยไม่เจียมเนื้อเจียมตัวแน่ๆ!
แต่ไม่ว่าจะพยายามไปเจออาเรียสักกี่ครั้งก็ไม่สามารถพบอาเรียได้ และเมื่อมีโอกาสได้เจออาเรียเข้า แอนนี่ก็มักจะยิ้มสนุกสนานอยู่ข้างอาเรียเสียอย่างนั้น
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า มิเอล”
“พี่ พี่คะ…”
ทั้งที่ตั้งใจจะมาฟ้องเรื่องแอนนี่แท้ๆ แต่แอนนี่กลับอยู่ข้างๆ อาเรียเสียได้
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะแอนนี่เป็นสาวใช้ต้นห้องของอาเรียนั่นเอง ส่วนมิเอลที่กว่าจะได้พบอาเรียอย่างยากเย็นนั้น ก็รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้ากำลังพังทลายลงมาอย่างไรอย่างนั้น
“ขอโทษทีนะ จดหมายสำคัญมาถึงพอดีน่ะ ช่วยรอหน่อยจะได้ไหม”
“คะ เอ่อ ค่ะ…”
มิเอลยืนอยู่นิ่งๆ ที่หน้าประตูอย่างว่านอนสอนง่าย และรอให้อาเรียอ่านจดหมายเสร็จ
แน่นอนว่าไม่มีการบอกให้เธอนั่งลงแต่อย่างใด และเพราะแอนนี่ที่คุยกับอาเรียอยู่มักจะถลึงตามาที่เธอเป็นระยะ มิเอลจึงไม่กล้าแม้แต่จะขอนั่งลง
“นี่คือการ์ดเชิญอย่างเป็นทางการหรือคะ”
“ใช่ ทีแรกมีกำหนดจะจัดพิธีแต่งงานในช่วงฤดูหนาว แต่ดูเหมือนจะเปลี่ยนมาจัดตอนนี้แทนแล้วละ”
“เพราะตอนนี้ในราชอาณาจักรก็ไม่มีขุนนางตำแหน่งดยุกอยู่อีกแล้ว ท่านมาร์ควิสวินเซนต์และเลดี้ซาร่าจึงเป็นขุนนางที่ยศสูงที่สุดสินะคะ เหล่าขุนนางคงจะมาร่วมงานกันหมดเลยใช่ไหมคะ”
“เป็นไปได้สูงเลยละ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าชายก็ด้วยหรือคะ”
แอนนี่ถามออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย หน้าตาของเธอกำลังถามว่าอาซจะเข้าร่วมงานที่มีขุนนางทั้งราชอาณาจักรมารวมตัวกันหรือเปล่า
ดังนั้นอาเรียหยิบเอาจดหมายอีกฉบับที่อยู่ใต้การ์ดเชิญของซาร่าออกมา
“เจ้าชายเองก็บอกว่าจะเข้าร่วมด้วย”
“ตายจริง…ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นงานเลี้ยงที่เลดี้กับเจ้าชายจะเข้าร่วมด้วยกันเป็นครั้งแรกสินะคะเนี่ย! ”
แม้จะเคยเจอกันที่งานหมั้นของซาร่ามาแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นงานเลี้ยงแรกที่ทั้งสองจะเข้าร่วมด้วยกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่รู้ว่าเธอจะกลายเป็นจุดสนใจมากกว่าซาร่าที่เป็นตัวเอกของงานแต่งงานรึเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นซาร่าเองก็คงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร และคงจะดีใจอย่างแน่นอน
“วันเวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว จะต้องรีบหาชุดที่เหมาะสมเอาไว้แล้วละค่ะ! จะให้เรียกตัวดีไซเนอร์มาไหมคะ ชุดที่ดูหรูหราก็น่าจะดีนะคะ! “
อาเรียส่ายหน้าให้กับแอนนี่ที่ตื่นเต้นออกนอกหน้า และชูจดหมายที่อาซส่งมาให้แอนนี่ดูเนื้อหาข้างในได้อย่างถนัดตา
“ลองอ่านดูสิ”
ดังนั้นแอนนี่จึงเริ่มอ่านเนื้อความในจดหมายที่กางอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
[เลดี้ไม่คิดจะเข้าร่วมพิธีแต่งงานของมาร์ควิสวินเซนต์ด้วยกันกับผมหรือครับ ไหนๆ ก็เป็นโอกาสที่รอคอยมานานแล้ว หากเลดี้อนุญาต ทางผมจะส่งชุดและรองเท้าไปให้ครับ]
“ตายแล้ว ถ้าอย่างนั้นนี่หมายความว่าเจ้าชายจะส่งชุดมาให้เลดี้เองหรือคะเนี่ย!”
“ใช่แล้วละ เพราะอย่างนั้นเลยไม่มีอะไรให้ต้องเตรียมยังไงละ”
เมื่ออ่านจดหมายจบแล้วแอนนี่ก็จับมือสองข้างของตนแน่นพร้อมกับใบหน้าดูหลงใหลปลาบปลื้ม ท่าทางเธอจะกำลังวาดรูปอาซกับอาเรียที่เปล่งประกายความงามออกมาในงานแต่งงานของซาร่าเอาไว้ในหัวแล้วแน่ๆ
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแต่แอนนี่กลับมีปฏิกิริยาที่น่ารักแบบนี้ออกมา อาเรียจึงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและถามแอนนี่
“แล้วเธอล่ะ”
“คะ”
“เธอไม่เข้าร่วมงานกับบารอนเวอร์บูมหรือไง ดูเหมือนเขาเองก็ได้รับการ์ดเชิญด้วยนะ”
จากนั้นแอนนี่ก็ตกใจเบิกตาโตและพูดกับอาเรียว่า
“ได้ ได้รับแล้วค่ะแต่…ดูเหมือนดิฉันจะต้องไปกับเลดี้ค่ะ”
“ถ้าเธอติดสอยห้อยตามฉันแล้วละก็ ท่านอาซคงได้โมโหละนะ”
“ทำแบบนั้นได้จริงๆ หรือคะ! “
“ได้สิ ฉันได้พูดว่าไม่ให้ไปเมื่อไหร่กันเล่า”
“ขอบพระคุณจริงๆ ค่ะ! เลดี้! “
“คนที่ต้องเตรียมชุดน่ะไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นเธอเสียมากกว่า”
“…ที่จริงแล้วถึงจะไม่ทำอย่างนั้นท่านบารอนเวอร์บูมก็บอกว่าจะส่งคนมาหาน่ะค่ะ”
ทั้งที่คุยกันมาตั้งนานแต่กลับปิดเงียบเรื่องนี้ไว้จนถึงเมื่อกี้เลยหรือ อาเรียทอดสายตาไปยังแอนนี่ราวกับไม่อยากจะเชื่อ นั่นจึงทำให้แอนนี่เกาแก้มตนเองแล้วหลบตา
“คือว่าเรื่องนั้น…ต้องทำในวันพรุ่งนี้แล้ว แต่ดิฉันยังไม่ได้ให้คำตอบไปน่ะค่ะ ดิฉันขอออกไปข้างนอกไหมคะ”
“พรุ่งนี้งั้นหรือ…ถ้าฉันบอกเธอตรงนี้ว่าไม่ให้ไป ฉันก็คงจะเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายที่สุดในโลกนี้น่ะสิ รีบไปรีบกลับล่ะ”
“ค่ะ เลดี้! “
แอนนี่วิ่งหอบออกไปจากห้อง และในตอนนั้นเองที่อาเรียทำสัญญาณมือเรียกมิเอลที่ยืนอยู่ข้างประตูให้เข้ามา
“มีเรื่องจะคุยด้วยเลยมาหางั้นหรือ ท่าทางงานจะหนักมากเลยสินะ หน้าตาดูซูบซีดเอามากๆ เลย”
มิเอลปิดปากเงียบและทำหน้าหมองหม่นเดินเข้าไปหาอาเรีย
ถูกแล้ว ที่เธอมาก็เพื่อที่จะมาขอร้องนั่นเอง แต่เพราะเมื่อกี้อาเรียเพิ่งจะพูดคุยเรื่องหวานชื่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไปหยกๆ แล้วจะให้เธอพูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้อย่างไรกัน
เธอคิดว่าตัวเองช่างดูซอมซ่อเหลือเกิน
และดูไม่ได้เอาเสียเลย
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เธอเองก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกับอาเรียอยู่แท้ๆ ไม่สิ ตัวตนของเธอสูงส่งและสง่ากว่าเลยด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้เล่าเป็นอย่างไรกัน
เธอต้องถูกสาวใช้โขกสับแล้วยังต้องเช็ดถูพื้นที่คนเดินผ่านไปผ่านมาให้สะอาด แน่นอนว่าอาเรียไม่แม้แต่จะสนใจงานแบบนั้นเลยสักนิด
อาเรียรู้ถึงเจตนาของมิเอลที่ไม่ยอมเปิดปากง่ายๆ จึงได้ยกน้ำชาส่วนของแอนนี่ที่รินทิ้งไว้ให้มิเอล และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้ามีเรื่องลำบากอะไร ก็บอกพี่ได้เสมอนะมิเอล”
“…”
ลักษณะการพูดที่ฟังดูอ่อนโยนราวกับรู้ถึงความรู้สึกในใจของมิเอล
ดังนั้นมิเอลจึงค่อยๆ เปิดปากพูด และฟ้องเรื่องที่แอนนี่ทำกับตนเองออกมาอย่างระมัดระวัง
“เรื่องนั้นน่ะ…แอนนี่ทำให้น้องทนอยู่ได้ยากเหลือเกินค่ะ พี่…”
“ตายแล้ว อย่างนั้นสินะ น่าสงสารจริงๆ “
ทั้งที่ยังไม่ได้ฟังเรื่องราวจากฝั่งแอนนี่ แต่อาเรียก็เข้าข้างตนเสียแล้ว มิเอลจึงไม่สามารถปกปิดหน้าตาที่ดูน่าสงสารของตนเอาไว้ได้ เมื่อรู้สึกมั่นใจขึ้นมา มิเอลก็เผยเรื่องที่แอนนี่กลั่นแกล้งตนออกมาให้อาเรียฟัง
“ทั้งคว่ำน้ำลงบนพื้นที่ถูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไหนจะยังใช้เท้าเตะน้ำที่น้องตักมาอีกค่ะ แล้วยังเอาฝุ่นไปป้ายที่ขอบหน้าต่างอีกด้วยค่ะ ถ้าน้องทำอะไรให้ไม่พอใจเข้าหน่อย ก็ขู่ว่าจะส่งน้องเข้าไปในคุกค่ะ…! “
“…ทำไมถึงได้ทำเรื่องไม่ดีแบบนั้นได้นะ…”
อาเรียรู้สึกประทับใจกับการกลั่นแกล้งของแอนนี่เป็นอย่างมาก เธอจับมือของมิเอลที่สั่นระริกเอาไว้แน่น
“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ สาวใช้คนอื่นก็ด้วย…”
“นั่นน่ะ…แต่เดิมพี่ได้ยินมาว่าเป็นการหยอกล้อกับพวกเด็กใหม่ที่เข้ามานะ ไม่รู้เลยว่าน้องเองก็จะโดนแบบนั้นด้วย”
“พี่…! “
“ดูเหมือนพี่จะทำตัวง่ายๆ ไม่เคร่งครัดมากเกินไปแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะสั่งสอนให้หลาบจำกันไปเลย เพราะน้องเป็นน้องของพี่ยังไงล่ะ”
เมื่อได้ยินอาเรียพูดคำที่ตัวเองรอฟังออกมา มิเอลก็ต่อมน้ำตาแตก
ไม่ใช่เพราะรู้สึกขอบคุณอาเรียแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะดีใจที่ต่อจากนี้จะได้ลงโทษพวกสาวใช้ที่ไม่รู้จักเจียมตัวนั่นเอง
อาเรียยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับมิเอล และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสว่าคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว
“มิเอล เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ให้ดีขึ้น น้องไปร่วมงานแต่งงานของเลดี้ซาร่าด้วยกันดีไหม”
…………………………………