พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 168
“…พี่อาเรียคะ น้องซื้อดอกยี่โถจากที่ที่พี่บอกมาแล้วค่ะ”
มิเอลเดินตามอาเรียต้อยๆ และพูดขึ้นขณะที่อาเรียกำลังเดินขึ้นบันไดหลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จ
ท่าทางมิเอลจะกลัวใครเห็นเข้า เธอถึงเอามือป้องปากและพูดออกมาอย่างลับๆ ดูแล้วช่างน่ารักน่าชังเสียจริง คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าการทำแบบนั้นยิ่งดูน่าสงสัยมากขึ้นไปอีก
ทั้งที่เพิ่งจะบอก ที่ที่สามารถหาซื้อดอกยี่โถได้ให้รู้ไปเพียงวันเดียวแท้ๆ คงจะร้อนใจมากถึงได้ซื้อมันมาเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้มิเอลเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา อาเรียจึงแอบบอกให้แอนนี่รู้เอาไว้แล้ว หากไม่จับมิเอลเอาไว้ตอนนี้ ไม่แน่ว่าในภายหลังเธออาจจะทำตัวล้ำเส้นปีนเกลียวขึ้นมาก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องสั่งสอนให้รู้อะไรเป็นอะไรเสียบ้าง
ประจวบเหมาะกับที่แอนนี่ลงมาจากชั้นบน เธอถลึงตาขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นมิเอลและเริ่มตะคอกขึ้นมา
“เลดี้บอกว่าจะออกไปข้างนอกใช่ไหมคะ งั้นรีบขึ้นมาดีกว่าค่ะ มิเอล เธอทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยรึยัง มีงานให้ทำกองเป็นภูเขาเลยนะ มัวมาทำอะไรตรงนี้อยู่ได้”
“…”
ทว่าในตอนนี้มิเอลได้รู้แล้วว่าแอนนี่ไม่สามารถส่งตัวเธอเข้าคุกได้หากปราศจากการอนุญาตของอาเรีย เธอจึงไม่ยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่ายเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เลือกที่จะปะทะด้วยการปรายตามองค้อนกลับไป
ในเมื่อมิเอลหาดอกยี่โถมาได้แล้ว เธอก็ไม่ใช่มิเอลคนก่อนอีกต่อไป
“เธอบ้าไปแล้วเหรอ! นี่รู้รึเปล่าว่าจ้องใครอยู่น่ะ! “
การกระทำเช่นนั้นของมิเอลทำให้แอนนี่เดือดดาลขึ้นมา และทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แย่ลงจนไม่สามารถแย่ลงไปได้อีก
แม้ว่าอาเรียจะอนุญาตก็ตามแต่นี่ก็ไม่ใช่การกระทำที่ควรจะแสดงออกมาต่อหน้าต่อตาของเจ้านาย
และเมื่ออาเรียเห็นแอนนี่พับแขนเสื้อขึ้นราวกับว่าจะเปิดศึกทะเลาะกันขึ้นมา เธอจึงเข้าไปแทรกระหว่างสองคนเอาไว้
“แอนนี่ เธอต้องมาช่วยฉันเตรียมตัวออกไปข้างนอกนะ ส่วนมิเอล น้องจะช่วยเตรียมน้ำชาสำหรับช่วงบ่ายให้หน่อยได้ไหม”
“คะ…ค่ะ! “
แม้ว่าจะดื่มชาอยู่เสมอก็ตาม แต่เหตุผลที่เอ่ยเรื่องเตรียมน้ำชาขึ้นมามีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือสัญญาณสั่งให้เตรียมใส่ยาพิษลงในน้ำชานั่นเอง
มิเอลที่รู้เรื่องนี่อย่างแจ่มแจ้งพลันดีใจและตอบออกมา
“จะเริ่มเตรียมเดี๋ยวนี้เลยค่ะ! “
“งั้นก็ไปเตรียมเถอะ”
ประหนึ่งลูกศรที่พุ่งฉิวออกไป มิเอลหายไปอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างรวดเร็ว
“…ทำไมมิเอลถึงต้องเตรียมชาช่วงบ่ายตั้งแต่ตอนนี้กันล่ะคะ”
ทั้งที่ไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียนเลยสักคน ทั้งคฤหาสน์ก็มีเพียงแค่อาเรียกับสาวใช้ไม่กี่คนเท่านั้น หน้าตาของแอนนี่กำลังสงสัยว่าทำไมมิเอลถึงต้องทำให้ดูเอิกเกริกขนาดนั้นด้วย เพราะถึงแม้จะเตรียมชาอย่างพิถีพิถันมากเพียงไร ใช้เวลาแค่สองถึงสามชั่วโมงก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
แล้วอาเรียก็อธิบายถึงเหตุผลของใบหน้าที่ดูซ่อนเร้นนั่นออกมา
“จะมีแขกมาน่ะ”
“มีแขกมาอย่างนั้นหรือคะ”
“ใช่ มีแขกมา และเป็นแขกที่มิเอลชื่นชอบมากๆ ด้วย”
และเมื่อได้ยินว่าจะมีแขกมา แอนนี่ก็เข้าใจในการกระทำของมิเอลและคลายความสงสัยออกจากใบหน้าได้
“เอ่อ อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าคนที่มิเอลชื่นชอบเนี่ยคือใครกันล่ะคะ มีคนแบบนั้นด้วยหรือคะ”
“ก็ต้องมีอยู่แล้วสิ”
และแน่นอนว่ามิเอลไม่รู้ตัวเลยว่าคนคนนั้นจะมาเยี่ยม
“เอาเถอะ อย่างไรตอนบ่ายก็ต้องดื่มชาอยู่แล้วฉะนั้นก็ต้องทำอะไรให้ไวหน่อย เธอจะช่วยฉันเตรียมตัวได้ไหม”
“ค่ะ! เลดี้ แต่ถ้าเลดี้ไม่ว่าอะไร เวลาน้ำชาในช่วงบ่ายขอดิฉันเข้าร่วมด้วยได้ไหมคะ ดิฉันอยากรู้ว่าคนที่มิเอลรออยู่คือใครน่ะค่ะ”
อาเรียยิ้มออกมาราวกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วและตอบคำถามอันไร้เดียงสาของแอนนี่
“ได้สิ เอาอย่างนั้นก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเสียหน่อย”
เพราะเดิมทีแล้วหากไม่มีแอนนี่อยู่ด้วยมันก็จะเป็นช่วงน้ำชาที่ไม่สมบูรณ์ตามแผน นั่นจึงเป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้มากความเลย
แอนนี่ฮัมเพลงและช่วยอาเรียแต่งตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นคือช่วงดื่มชาที่มิเอลเตรียมไว้เพื่อแกล้งตัวแอนนี่เอง
สถานที่ซึ่งอาเรียมุ่งไปหลังจากการแต่งตัวด้วยความเร่งรีบก็คืออาคารของบารอนเวอร์บูมนั่นเอง
เนื่องจากธุรกิจของบารอนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก จึงมีทั้งลูกค้า นักศึกษาจากวิทยาลัย และนักธุรกิจที่ตั้งใจจะเข้าร่วมการประชุมครั้งใหม่แวะเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“…ช่างน่าอายจังเลยครับที่ต้องต้อนรับเลดี้ด้วยสภาพแบบนี้”
บารอนก้มหัวขอโทษอาเรียที่กำลังเบิกตาโพลงขณะลงมาจากรถม้า เพราะเธอไม่ได้มาเสียนาน จึงไม่รู้เลยว่าจะวุ่นวายกันถึงเพียงนี้
“ไม่เลยค่ะ เพราะบารอนช่วยดูแลและจัดการเรื่องที่ดิฉันต้องทำให้ทั้งหมดเลยนี่คะ”
ทว่าคนที่ต้องขอโทษนั้นไม่ใช่บารอนแต่เป็นอาเรียต่างหาก เพราะเขาทุ่มเทกายใจช่วยเหลืออาเรียที่ปกปิดตัวตนมาตั้งแต่แรก ทำให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอาเรียกลายมาอยู่ในความรับผิดชอบของเขาไปด้วยโดยปริยาย
“หากเป็นอย่างนี้ต่อไป อาจจะเกิดอุปสรรคต่อการทำธุรกิจหลักของบารอนได้ ดิฉันคิดว่าควรจะหาอาคารที่เหมาะสมหลังใหม่ไว้จะดีกว่านะคะ”
“ผมไม่เป็นอะไรเลยครับ ไม่มีปัญหาเลยจริงๆ ครับ”
ดูเหมือนเขาจะรู้สึกกังวลและไม่อยากให้อาเรียต้องใส่ใจกับตัวเขาให้เปล่าประโยชน์ บารอนเวอร์บูมจึงส่ายหน้าปฏิเสธออกไปอย่างเด็ดขาด และค้านอย่างจริงจังว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
เมื่อเห็นเช่นนั้น อาเรียจึงพูดว่าโชคดีที่ไม่ได้พาแอนนี่มาด้วยและหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบออกมาว่า
“ดิฉันไม่ได้ทำเพื่อบารอนคนเดียวหรอกค่ะ ดิฉันเองก็รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่จำเป็นด้วยค่ะ เพราะอย่างไรก็คงจะยืมสำนักงานของบารอนไปตลอดไม่ได้อยู่แล้วนี่คะ”
เนื่องจากทรัพย์สินของเธอเพิ่มขึ้นมาอย่างทวีคูณ จึงจำเป็นที่จะต้องมีคนช่วยดูแลเรื่องนั้นให้ เธอจึงตั้งใจจะซื้ออาคารหลังใหม่หนึ่งหลัง และจ้างใครสักคนมาช่วยดูแลทรัพย์สินและช่วยงานเธอนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้น ให้ผมหาอาคารดีๆ ให้นะครับ”
“มีเวลาจัดการเรื่องแบบนั้นด้วยหรือคะ”
“มีแน่นอนครับ”
ทั้งที่ดูจะไม่มีเวลาว่างเลยแท้ๆ
อาเรียนึกถึงตอนที่แอนนี่บ่นว่าบารอนยุ่งจนไม่มีเวลาเจอเธอเลย และแม้จะไม่คิดถึงเรื่องนั้น แต่เพียงแค่มองดูจำนวนผู้คนมากมายที่อยู่ในอาคารของบารอนก็รู้ได้เลยว่าเขายุ่งมากแค่ไหน
อาเรียคิดว่าความจงรักภักดีของเขานั้นมีมากมายเกินไป เธอจึงส่ายหน้าช้าๆ หากยังให้บารอนเวอร์บูมรับผิดชอบดูแลเรื่องงานมากไปกว่านี้ แล้วเขาเกิดล้มป่วยเพราะทำงานหนักเกินไปขึ้นมาละก็ นั่นอาจจะทำให้ชีวิตในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปก็ได้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย อีกอย่างดิฉันก็มีอาคารที่ดูๆ ไว้อยู่แล้วด้วย อย่างไรเสียตอนนี้ก็มีเรื่องอื่นให้ต้องจัดการด้วย เลยคิดว่าจะซื้อมันในภายหลัง ค่อยๆ ตัดสินใจเอาค่ะ”
นอกจากนั้นนี่ก็ไม่ใช่ธุระที่เธอมาในวันนี้ด้วย จุดประสงค์ที่เธอมาก็เพื่อลงนามในเอกสารแนะนำบุคลากรที่จะเข้าไปรับตำแหน่งที่ยังว่างอยู่ในฝ่ายข้าราชสำนัก
เนื่องจากเธอได้รับเอกสารทางราชการให้ช่วยแนะนำบุคลากรจากวิทยาลัยที่มีผลคะแนนอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยมและมีความประพฤติอันดีงามให้เข้ามารับตำแหน่งข้าราชการระดับล่างในฝ่ายข้าราชสำนักนั่นเอง
และในรายชื่อนั้นก็มีฮานส์ที่ในอดีตต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถม้ารวมอยู่ด้วย
ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังของอาเรียและความเพียรพยายามของเจ้าตัว ทำให้เขาได้คะแนนสูงที่สุดในวิทยาลัย และยังเป็นผู้ชายคนสนิทของเจสซี่ด้วย ถือเป็นคนที่ไม่ว่าจะตัดให้ขาดออกไปจากชีวิตของอาเรียอย่างไรก็ไม่สามารถตัดออกไปได้
ทั้งที่เธอไม่ได้ใช้อำนาจใดๆ ทั้งนั้น แต่พอเห็นว่ามีชื่อของเขารวมอยู่ในเอกสารด้วยก็ทำให้รู้สึกว่านาฬิกาทรายนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงได้มากมายขนาดนี้ เธอรู้สึกประทับราวกับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเริ่มลงนามในเอกสาร
“จะนำไปให้ทางข้าราชสำนักทันทีเลยหรือเปล่าคะ”
“ครับ ใช่แล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอฝากจดหมายไปด้วยหนึ่งฉบับนะคะ ดิฉันอยากให้นำไปส่งให้เจ้าชายน่ะค่ะ”
“…ให้เจ้าชายหรือครับ”
ทำไมถึงไม่ส่งมันไปด้วยตัวเองเล่า อาเรียที่อ่านข้อสงสัยของเขาออก ได้อธิบายเหตุผลออกมาช้าๆ
“พอดีว่าช่วงบ่ายดิฉันมีกำหนดการที่จะต้องทำน่ะค่ะ เดิมทีแล้วก็ไม่มีหรอกค่ะแต่อยู่ๆ ก็มีขึ้นมากะทันหัน ฉะนั้นเลยอยากให้ช่วยส่งไปพร้อมกันเลยค่ะ”
“อย่างนั้นเองสินะครับ”
เพราะถึงอย่างไรบารอนเวอร์บูมก็จัดการเรื่องที่อาเรียสั่งให้อย่างไม่พร่ำบ่นอะไรอยู่แล้ว และในครั้งนี้เขาก็ใจดีสั่งข้ารับใช้ให้นำจดหมายของอาเรียไปส่งให้กับองค์รัชทายาท
ในระหว่างนั้นอาเรียได้ใช้เวลาตามกำหนดการในวันนี้พูดคุยกับเหล่านักธุรกิจที่มีความก้าวหน้าเกี่ยวกับธุรกิจของพวก และแล้วจดหมายตอบกลับของอาซก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
[ ผมเข้าใจแล้วครับ แต่การที่เลดี้หาคนอื่นซึ่งไม่ใช่ผมมันทำให้ผมเศร้าใจอยู่นิดหน่อย ผมขอคำอธิบายถึงเหตุผลนั้นในภายหลังด้วยนะครับ ]
อาเรียยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับจดหมายตอบกลับที่แสนจะน่ารักนั่น เธอกลับคฤหาสน์หลังจากกำหนดการเสร็จสิ้นลงแล้ว
ดูเหมือนมิเอลกำลังรอการกลับมาของอาเรียจนคนหักคอพับกันเลยทีเดียว เพราะทันทีที่รถม้าหยุดลงใบหน้าแรกที่อาเรียเห็นก็ไม่ใช่ใคร แต่คือมิเอลนั่นเอง
“มิเอล เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วรึยัง”
มิเอลดีใจเป็นอย่างมากต่อคำถามนั้น เธอพยักหน้าตอบ
“ค่ะ! เรียบร้อยค่ะ เพียงแค่ยกออกมาเสิร์ฟก็เป็นอันจบค่ะ”
“รู้ใช่ไหมว่าต้องใส่ในปริมาณที่พอเหมาะน่ะ เพราะถ้ามากเกินไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา”
“…อย่ากังวลไปเลยค่ะ”
มิเอลตอบออกมาอย่างมั่นใจให้กับเสียงกระซิบอย่างลับๆ ของอาเรียว่าให้เชื่อในตัวเธอ
เธอควรจะระวังเอาไว้สิมิเอล ก็ใครกันเล่าที่จะได้ดื่มชานั่น
ในระหว่างที่อาเรียเปลี่ยนชุดนอกบ้านและพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งนั้น อาหารว่างก็ถูกจัดเตรียมขึ้นบนโต๊ะในสวนชั้นสอง ปกติแล้วเวลาน้ำชาช่วงบ่ายมักจะใช้แก้วที่มีสีเหมือนกัน แต่ในครั้งนี้สีของแก้วแตกต่างกันออกไป ซึ่งง่ายต่อการระบุว่าแก้วชาแก้วไหนมียาพิษอยู่
แก้วน้ำชาของแอนนี่ตกแต่งดอกไม้บานสะพรั่งหลากสีหลากชนิด เป็นแก้วน้ำชาอันหรูหราที่น่าจะถูกใจแอนนี่ไม่น้อย มิเอลได้ทายาพิษเอาไว้บนก้นแก้วเรียบร้อยแล้ว และเพื่อให้แผนการนี้สมบูรณ์แบบ เธอได้กำชับอาเรียไว้อย่างหนึ่ง
“จะให้แอนนี่เห็นแก้วเปล่าไม่ได้เด็ดขาดนะคะ”
และจากคำพูดนั้นก็ทำให้อาเรียรู้ว่ามิเอลทายาพิษไว้ในแก้วชามากน้อยเท่าไหร่ หากตั้งใจจะให้ปวดท้องขึ้นมาละก็ คงจะใส่มันไว้ในปริมาณเพียงน้อยนิดเท่านั้น ซึ่งคงจะสังเกตด้วยตาเปล่าได้ยาก แต่เหตุผลที่มิเอลจำเป็นต้องพูดแบบนั้นออกมาก็คงจะหมายถึง…
‘ถ้าเธอได้รู้ในภายหลัง จะเสียอกเสียใจมากขนาดไหนกันนะ’
ทั้งที่อาเรียเตือนเอาไว้หลายครั้งแล้วแท้ๆ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่มิเอลเลือกเอง เธอเลือกทำแต่เรื่องผิดๆ มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง จนทำให้ชีวิตต้องพังพินาศลง และในตอนนี้เธอควรที่จะตระหนักถึงมันได้แล้วแท้ๆ
“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเสียหน่อย”
เป็นเรื่องที่ง่ายเอามากๆ ยิ่งกว่านั้นมันจะทำให้ความผิดบาปของมิเอลหนักหนายิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อได้ยินเสียงรถม้าดังมาจากนอกหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ อาเรียก็เดาว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว เธอจึงลุกขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้น เราลงไปดูอะไรสนุกๆ ที่น้องเตรียมไว้กันเลยดีไหม”
อาเรียก้าวเท้าออกไปและรอคอยจุดจบของมิเอลที่เลือกทำแต่เรื่องโง่เขลาจนถึงท้ายที่สุด
***
อาจเป็นเพราะมิเอลเป็นคนเตรียมเองทั้งหมด โต๊ะน้ำชาที่ถูกจัดเตรียมไว้ในสวนบนชั้นสองจึงดูเรียบง่ายไปหน่อยสำหรับเวลาน้ำชาช่วงบ่าย เพราะจุดประสงค์แต่แรกนั้นไม่ได้ทำเพื่อความเพลิดเพลินในการดื่มชานั่นเอง
เมื่อทอดสายตาลงต่ำดูแก้วน้ำชาก็พบว่ามีน้ำใสๆ อยู่นิดหน่อยภายในแก้ว ดูเหมือนยาพิษจะถูกละลายไปกับน้ำนั่นแล้ว แถมยังมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ด้วย ปริมาณของยาพิษมากถึงขนาดที่แม้จะฆ่าใครสักคนไปแล้วก็ยังคงเหลืออยู่
‘นี่เธอไม่รู้จักคำว่าปริมาณเล็กน้อยจริงๆ หรือเธอคิดจะฆ่าแอนนี่กันแน่นะ’
ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดใหญ่โตอะไรเลยแท้ๆ ช่างโง่เขลาสิ้นดีที่ตั้งใจจะพรากเอาชีวิตของคนไปง่ายๆ ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือตนถูกแกล้งแค่นั้น
นานๆ ทีอาเรียจะเรียกมาดื่มชาด้วยกัน เจสซี่และแอนนี่จึงรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ส่วนมิเอลก็แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้และรินน้ำชาลงในแก้วชา
“นานแล้วนะคะที่ไม่ได้มีเวลาว่างแบบนี้”
“นั่นน่ะสิ ก็ช่วงนี้เลดี้ยุ่งมากเลยนี่นา”
“เสียใจรึ”
“แน่สิคะ! ไม่มีอะไรน่าดีใจเท่ากับการดื่มน้ำชาพร้อมกับเลดี้เลยนี่คะ”
เจสซี่ตอบออกมาด้วยความดีใจ ส่วนแอนนี่เองก็เห็นด้วยและยิ้มหวานออกมา และเพราะอาเรียยังไม่เริ่มดื่มชา จึงไม่มีใครยอมแตะแก้วชาเลย
มิเอลยังคงเหล่มองแก้วชาที่มียาพิษอยู่ตลอดเวลา เธอจ้องมองมันด้วยแววตานึกสนุกว่าจะทำอย่างไรให้แอนนี่ได้ดื่มชานั่น
และในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ อาเรียก็แสร้งเลื่อนมือที่ถือนาฬิกาทรายวางไว้บนโต๊ะ ปัดไปโดนแก้วน้ำชาของแอนนี่จนมันพลิกคว่ำลง
“กรี๊ด! “
“…! “
“แอนนี่!”
ชาร้อนๆ หกลงบนเสื้อผ้าของแอนนี่ เจสซี่ตกใจลุกขึ้นพรวดพราดและสำรวจดูแอนนี่
และเนื่องจากนี่เป็นสถานการณ์ที่มิเอลไม่ได้คาดคิดเอาไว้เลย เธอจึงได้แต่มองไปทางแอนนี่ที่กรีดร้องอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“ตายจริง ทำอย่างไรดีล่ะ! แอนนี่! ต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียแล้ว! มิเอลช่วยหน่อยได้ไหม! “
“…คะ”
มิเอลทำตัวไม่ถูกกับคำถามของอาเรีย จึงย้อนถามกลับไปอย่างงี่เง่า สีหน้าของเธอกำลังบอกว่าจะต้องทำให้แอนนี่ดื่มชาเข้าไปแท้ๆ แต่ทำไมสถานการณ์มันถึงได้ผิดเพี้ยนไปแบบนี้ได้ก็ไม่รู้
“เร็วสิ! ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวแอนนี่ก็เป็นแผลพุพองขึ้นมาหรอก! จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นหรือไง!”
“คะ ค่ะ ค่ะ…! “
ทว่าเสียงเร่งน่าเกรงกลัวของอาเรียก็ทำให้มิเอลต้องประคองแอนนี่ออกไปโดยที่เธอไม่รู้จะทำอย่างไร
แน่นอนว่าอาเรียต้องคิดอะไรบางอย่างเอาไว้แน่ๆ มิเอลคิดเช่นนั้น
“เลดี้เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันไม่เป็นอะไร”
อาเรียพยักหน้าและตอบคำถามที่แสดงถึงความห่วงใยของเจสซี่ ราวกับโล่งใจขึ้นแล้ว เจสซี่จึงได้เช็ดชาที่หกเลอะเทอะและจัดโต๊ะเสียใหม่
นี่ก็ใกล้จะถึงเวลามาได้แล้วนะ
ทันทีหลังจากที่คิดแบบนั้น ข้ารับใช้ก็พาตัวเคนมาที่สวนชั้นสองพอดี ตรงกับในจดหมายที่บอกให้พาเขามายังที่ที่ ตัวเธออยู่ในทันทีโดยไม่ต้องรอช้า
เนื่องจากเคนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำอะไรได้ตามความต้องการของตน สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่รู้ถึงเหตุผลที่อาเรียเรียกตัวมายังคฤหาสน์อย่างกะทันหัน
“มาแล้วหรือคะ มิเอลอุตส่าห์ตั้งตารอเตรียมน้ำชาไว้ให้เลยค่ะ นี่เป็นการจัดเตรียมน้ำชาครั้งแรกของมิเอล น้องเลยคิดว่าหากพี่เคนเข้าร่วมด้วยก็คงจะดีน่ะค่ะ เลยเชิญพี่มา”
“…อย่างนั้นเองสินะ”
หลังจากที่อธิบายให้ฟังอย่างถี่ถ้วน เคนก็พยักหน้าเข้าใจ
“นั่งลงเถอะค่ะ เผอิญว่ามีเรื่องนิดหน่อย มิเอลเลยต้องออกไปก่อนแป๊บนึง แต่ชาก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ”
อาเรียพูดออกไปเช่นนั้นและให้เคนนั่งลงที่เดียวกับที่เธอเพิ่งนั่งไปเมื่อกี้
“เดินทางมาตั้งไกลคงจะเหนื่อยนะคะ น้องว่าพี่ดื่มชาคลายความเมื่อยล้าจนกว่ามิเอลจะกลับเข้ามาดีกว่าค่ะ”
ระยะทางจากเขตพระราชวังจนถึงคฤหาสน์นั้นไม่ได้ไกลมากมายเท่าไหร่นัก เคนจึงไม่รู้สึกเมื่อยล้าใดๆ เลย แต่เพราะความเมตตาอันอบอุ่นที่อาเรียมีให้ ทำให้เขาหน้าแดงขึ้นมาก่อนจะพยักหน้านิ่งๆ โดยไม่ตอบอะไรออกไป
……………………………………..