พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 196 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 14)
หลังจากนั้นเป็นต้นมา การสนทนาระหว่างสตรีชนชั้นสูงก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์สำหรับอาเรีย เพราะเธอได้รู้ว่าต่อจากนี้จะไม่มีใครเผลอพลั้งปากพูดอะไรพล่อยๆ อีกแล้ว
ภายนอกเธอยังคงยิ้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าพวกเธอสังเกตเห็นว่าทุกๆ คำที่เธอพูดออกมานั้นเป็นคำเตือนครั้งใหญ่ ทำให้บรรดาสตรีชนชั้นสูงพูดน้อยลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เจอกัน
อาเรียแสดงไมตรีจิตอย่างล้นหลามแก่สตรีชนชั้นสูงและบอกว่าเธอชอบมัน นั่นก็มากเกินพอแล้วในการคบค้าสมาคมกับพวกเธอ
แน่นอนว่าทันทีที่อาเรียที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่รู้เรื่องใดอื่นนอกเสียจากเรื่องธุรกิจได้ขึ้นเป็นพระชายา ก็มีคุณหญิงชนชั้นสูงหลายคนที่ไม่พอใจกับที่พวกเธอถูกกดขี่กดดัน แต่อาเรียรู้วิธีที่จะควบคุมพวกเธออย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
“…จะว่าไป พวกเอกสารที่เคยผลัดวันไปก่อนหน้านี้เพราะต้องปรับตัวกับราชวังอยู่สักพักนั้น ฉันได้พิจารณาดูอีกครั้งแล้วค่ะ ฉันเจอธุรกิจน่าสนใจในนั้นด้วยค่ะ”
มันเป็นข้อมูลที่จะตอบสนองต่อความโลภของเหล่าสตรีชั้นสูง
การที่เธอเจอธุรกิจน่าสนใจหลังจากพิจารณาเอกสารต่างๆ แม้เธอจะขึ้นเป็นพระชายาแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จ เพราะมันไม่มีกฎหรือข้อห้ามไม่ให้เธอทำธุรกิจของตัวเอง
และไม่มีใครไม่รู้ว่าธุรกิจทั้งหมดที่อาเรียทำก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จึงสามารถทำให้เหล่าสตรีชั้นสูงต่างวางศักดิ์ศรีของตัวเองลงและถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้อย่างง่ายดาย
“…เป็นธุรกิจแบบไหนหรือคะ”
“สงสัยจังเลยค่ะ…”
คุณหญิงคุณนายหลายคนต่างพากันถามเกี่ยวกับธุรกิจที่อาเรียให้ความสนใจ เช่นเดียวกับสตรีชั้นสูงคนอื่นๆ ที่เห็นด้วยอย่างเงียบๆ และจ้องมองไปที่อาเรีย
อาเรียสบสายตาพวกนั้นกลับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ทุกคนคงอยากรู้กันสินะคะ มันเป็นธุรกิจขุดเจาะเพชรพลอยใหม่ๆ จากที่พิเศษน่ะค่ะ”
“เพชรพลอยใหม่ๆ หรือคะ”
“ค่ะ ว่ากันว่าเป็นเพชรพลอยที่งดงามราวกับท้องทะเลเลยล่ะค่ะ ทุกคนสามารถนำเพชรมาบด แล้วเอามาเป็นเครื่องประดับผมหรือโปรยลงบนชุดเดรสให้มันส่องระยิบเรืองรองก็ได้นะคะ”
เพชรพลอยที่งดงามราวกับท้องทะเลนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถขุดเจาะได้จากทะเล เนื่องจากเพชรพลอยเหล่านั้นหาได้จากใต้น้ำลึกเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขุดเจาะขึ้นมาโดยไม่พึ่งเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์เฉพาะทาง
แน่นอนว่าอาเรียเองก็ไม่ได้ยืนยันได้แน่นอน แต่มันก็คงไม่ได้แตกต่างจากเนื้อความในจดหมายมากนัก เพราะคนที่เสนอธุรกิจนั้นมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของร้านอัญมณี
ถึงกระนั้น หากเป็นระดับเจ้าของร้านอัญมณีแล้ว ก็คงไม่ได้ลำบากอะไรกับการรวบรวมและขายอัญมณีด้วยตัวเองโดยไม่มีการลงทุน
ทว่าเหตุผลที่เขาส่งจดหมายแผนธุรกิจนี้มาขอความช่วยเหลือนั้นก็ค่อนข้างชัดเจน
‘เขาตั้งใจจะหาประโยชน์จากชื่อเสียงของฉันสินะ’
อัญมณีที่พระชายาเป็นคนลงทุน อัญมณีที่พระชายาใช้ประดับ เขาคงจะขายได้ในราคาที่แพงกว่าราคาจริงหลายเท่าตัวไม่ผิดแน่ และยังสามารถติดต่อค้าขายกับต่างอาณาจักรได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
เธอคิดจะปฏิเสธเขาไปเพราะเขาบังอาจมาหาประโยชน์จากเธออยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ส่งกลับไปว่าเธอจะค่อยๆ คิดดูและตรวจสอบสินค้าจริงอีกครั้ง แล้วค่อยตัดสินใจ
‘ถ้ามันเป็นธุรกิจสำหรับสามัญชน ฉันก็คงปฏิเสธไปแล้ว แต่นี่มันเป็นธุรกิจสำหรับพวกขุนนางชนชั้นสูงน่ะสิ’
เพราะพวกขุนนางชนชั้นสูงมีเงินอย่างร่ำรวยมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังชื่นชอบการซื้อและอวดของที่มีราคาแพงและหายากกว่าที่คนอื่นๆ มี
ดังนั้นแล้วการจัดหาสินค้าราคาแพงและหายากให้ได้ดั่งที่พวกนั้นต้องการก็เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือ เพราะการนำเงินที่ได้รับจากการลงทุนไปลงทุนเพื่อสามัญชนอีกครั้งหนึ่ง จะทำให้ฉันสามารถรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของพระชายาไว้ได้ไงล่ะ
“ได้เห็นด้วยตัวเองแล้วหรือคะ”
“ยังค่ะ เดี๋ยวครั้งนี้ฉันกะว่าจะไปดูน่ะค่ะ”
“อ๋อ… อย่างนั้นหรือคะ”
แววตาของเหล่าสตรีชั้นสูงหม่นหมองลงทันทีเมื่อเธอบอกว่ายังไม่ได้ไปดู
โง่เง่าเสียจริงๆ แล้วอาเรียจึงปล่อยข้อมูลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้ความหวังกับพวกเธอยิ่งเข้าไปอีก
“แต่ฉันคิดว่ามันเป็นอัญมณีที่งดงามเลอค่ามากเลยค่ะ เรื่องนี้เป็นความลับนะคะ แต่… เพราะคนที่ส่งจดหมายมาคือเจ้าของร้านอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรน่ะค่ะ เขาคงไม่พูดเรื่องไร้สาระหรอกค่ะ เพราะเขาดูเป็น”
เจ้าของร้านอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักร แม้เธอจะไม่ได้เอ่ยสถานที่ว่าร้านนั้นตั้งอยู่ที่ไหนและไม่ได้เอ่ยนามว่าเขาชื่ออะไร แต่แววตาของสตรีชนชั้นสูงก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับรู้ว่าคนที่เธอพูดถึงคือใคร
“…เราจะได้เห็นมันวางขายประมาณเมื่อไรหรือคะ”
“ไม่รู้สิคะ ฉันต้องไปเจอเขาก่อนถึงจะรู้ค่ะ เพราะไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือหรือไว้วางใจได้มากแค่ไหน ฉันก็ยังตัดสินใจลงทุนไม่ได้จนกว่าจะได้เห็นสินค้าจริงน่ะค่ะ”
“พระชายาจะเรียกเขาเข้ามาในวังไหมคะ”
“ก็คงต้องทำเช่นนั้นใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉันยังหาเวลาออกไปนอกวังไม่ค่อยได้น่ะค่ะ ฉันตั้งใจจะพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะมันต้องดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้บรรดาสตรีชั้นสูงกระแอมกันอย่างไม่มีเหตุผลและเริ่มดื่มชา พวกเธอดูเหมือนจะอยากเห็นมันก่อนที่มันจะถูกออกวางขายบนท้องตลาด สีหน้าของพวกเธอดูร้อนอกร้อนใจอยากร้องขอให้เธอเรียกพวกเธอมาอีกครั้ง
“จะว่าไป ฉันได้ยินมาว่าด้วยความที่สถานที่ที่ขุดเจาะมันเป็นที่ที่พิเศษ ก็เลยนำมาได้แค่ในปริมาณไม่มากเท่านั้นค่ะ คงพอที่จะเอามาประดับตกแต่งนะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เคาน์ติสคอร์กีนก็เบิกตาโพลง เพราะเคานต์คอร์กีนผู้เป็นสามีของเธอมีธุรกิจขายเพชรพลอยและผงทองสำหรับโรยขนม
แน่นอนว่าเขาใช้อัญมณีที่มีคุณภาพไม่ถึงกับสามารถนำมารับประทานได้ พวกเขาจึงไม่ได้ใช้มันเพื่อประกอบอาหาร แต่ใช้เพื่อประดับตกแต่งงานปาร์ตี้เลี้ยงฉลอง ถึงอย่างนั้นราคาก็ยังแพงกว่าอัญมณีทั่วไป มันจึงไม่ต่างจากเครื่องประดับที่มีราคาแพง
แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นอัญมณีที่รับประทานได้อย่างนั้นหรือ
“ดูเหมือนว่าจะมีหลายสีด้วย ฉันอดใจรอแทบไม่ไหวเลยล่ะค่ะ”
“…พระชายา!”
ทันทีที่ข้อมูลสุดท้ายสำหรับเธอรั่วออกมา เคาน์ติสคอร์กีนก็เอ่ยชื่ออาเรียด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างร้อนใจตามที่อาเรียคาดไว้
แม้เธอจะไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นออกมา แต่ดูเหมือนว่าเธออยากให้อาเรียเรียกเธอมาอีกทันทีที่อัญมณีเข้ามาในราชวัง
“อ๊ะ น่าเสียดายจัง แต่วันนี้ฉันคงต้องขอจบการสนทนาของเราไว้เพียงเท่านี้แล้วล่ะค่ะ พอดีฉันยังมีธุรกิจอีกหลายอย่างที่ต้องไปพิจารณาน่ะค่ะ”
ทว่าฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะถ้าฉันให้คำตอบที่แน่ชัดกับเธอไปง่ายๆ เธอที่กลิ้งไปกลิ้งมาในกำมือฉันมันก็หมดสนุกน่ะสิ
เมื่ออาเรียประกาศยุติการสนทนา ความรู้สึกเสียดายก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของเหล่าสตรีชั้นสูง เพราะถึงแม้พวกเธอจะได้ข้อมูลมาแล้ว แต่ก็ได้มาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นก็เป็นข้อมูลที่ละเลยไม่ได้ และด้วยความที่อาเรียได้ทิ้งน้ำจิ้มไว้ในการที่เธอปล่อยข้อมูลที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเธอออกมาอย่างต่อเนื่อง
“แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกคุณหญิงมาพบดิฉัน ฉะนั้นก็ต้องมีวันที่ได้เจอกันครั้งต่อไปอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ”
อาเรียพูดให้ความหวังเล็กๆ เท่าฝุ่นกับพวกเธอ แล้วออกจากสวนไปอย่างไร้เยื่อใย อาเรียที่เดินจากไปนั้นไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเธอที่รีบลุกขึ้นโค้งคำนับเธอ
แม้เธอจะทำตัวเสียมารยาทตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีไม่พอใจต่ออาเรียอีกต่อไป พวกเธอกลับมีสีหน้าสดใสกว่าเดิมกับความหวังที่อาเรียให้ในตอนสุดท้ายถึงสองครั้งเสียอีก
‘หลังแก้แค้นจบ ฉันคงจะอ่อนโยนมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมาสินะ แม้การโน้มน้าวพวกเธอด้วยการยื่นข้อเสนอผลประโยชน์จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่าเดิมทีพวกนั้นจะเป็นขุนนางหรือสามัญชนก็ตาม’
เพราะต่อให้พวกเขาจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็มีโอกาสที่จะทรยศหักหลังกันได้ แต่พวกเขาจะไม่คิดทรยศกันถ้ามีเรื่องเงินทองหรือผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยว ตราบใดที่ยังสามารถหาผลประโยชน์ใส่ตัวได้ และสิ่งนั้นก็ยังเหมาะเจาะกับอาเรียมากที่สุด
สายตาของเจสซี่ที่มองอาเรียจบการสนทนาโดยฝ่ายเดียวนั้นดูไม่สบายใจเล็กน้อย เธอมักจะเป็นกังวลเกี่ยวกับอาเรียอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน
และนั่นก็ยังเป็นเพราะอาเรียได้มอบบทเรียนกับเธอผ่านมิเอลว่าคนเราสามารถทรยศหักหลังกันได้ทุกเมื่อ อาเรียไม่ได้พูดอะไรกับเจสซี่ เพราะการรับมือกับปัญหาเมื่อเธอรู้สึกกังวลนั้นง่ายกว่าการมองโลกในแง่ดีต่อไปเรื่อยๆ
แอนนี่มีสีหน้ากระเหิมใจต่างจากเจสซี่ที่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะชอบอกชอบใจที่อาเรียทำให้สตรีชั้นสูงจอมโอหังพวกนั้นสงบปากสงบคำได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ
รูบี้เองก็เช่นเดียวกัน เพราะตั้งแต่อาเรียเข้าวังมา อาเรียก็แสดงออกเพียงแค่ท่าทีอ่อนโยนให้เห็นมาตลอด เธอจึงคิดไม่ถึงว่าอาเรียจะแก้ไขมันได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้
‘ตอนนี้ก็เหลือแค่พวกคนรับใช้สินะ’
ยังเหลือการลงโทษสำหรับพวกโง่เง่าที่บังอาจเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวังไปพูดกันอย่างสนุกปาก
เธออยากจะตามตัวมาทีละคนๆ แล้วให้พวกนั้นชดใช้ แต่เธอก็ไม่สามารถตามตัวคนรับใช้ทั้งหมดทั้งมวลที่กระจายตัวนับสิบนับร้อยคนอยู่ทั่วราชวังได้ ครั้งนี้เธอจึงตัดสินใจที่จะปล่อยมันผ่านไปเงียบๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ถ้าเธอไปหาคนรับใช้ทีละคน ก็มีแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงว่าเป็นเพียงแค่พระชายาที่ทรมานคนรับใช้ แต่มันคงจะดีกว่าที่จะเพิ่มค่าให้กับเจสซี่และแอนนี่ เพื่อไม่ให้มีใครหน้าไหนมาซุบซิบนินทาลับหลังได้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นดูจากสีหน้าของรูบี้แล้ว ราวกับว่าเธอจะไปใส่ลมกระตุ้นเหล่าคนรับใช้ของราชวังเหมือนกับแอนนี่แต่ก่อน
ความเห็นของคนส่วนใหญ่เปลี่ยนไปทันควันหลังจากเธอพบปะกับเหล่าสตรีชั้นสูงเช่นนี้หลายครั้ง ไม่ใช่เพราะเธอแอบบอกข้อมูลต่างๆ ที่แตกต่างกับคนอื่นแก่เหล่าสตรีชั้นสูง แต่เป็นเพราะเธอเจตนาเผยข้อมูลเดียวกันหลังจากปล่อยเวลาผ่านไปสักพัก ทำให้พวกเธอต้องมาแข่งขันกันเอง
จุดประสงค์คือเพื่อที่จะทำให้ตัวเองดูดีต่อหน้าอาเรียแม้เพียงเล็กน้อย จะได้ได้รับข้อมูลที่คนอื่นไม่รู้มาอยู่ในมือ
ไม่เพียงเท่านั้น บางทีเธอยังแอบเผยข้อมูลแก่เหล่าขุนนางชาย เพื่อสร้างสถานการณ์ให้พวกเขากลับไปดุด่าภรรยาของตัวเอง
“ช่วงนี้ไปไหนมาไหนก็ได้ยินแต่เรื่องเกี่ยวกับพระชายาทั้งนั้นเลย รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกลนะครับ”
อาซถามอาเรียด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ราวกับว่าไม่ใช่แค่รู้สึกแปลก เหตุผลคงจะไม่ใช่เพราะอาเรียทำให้เกิดการแข่งขันกันเองระหว่างขุนนางชั้นสูง แต่ที่เขาหงุดหงิดคงจะเป็นแค่เพราะพวกเขาเอ่ยถึงอาเรีย
“ก็มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ฉันสบายใจได้น่ะสิคะ”
อาเรียตอบกลับไปอย่างลำบากใจเล็กน้อย แล้วสายตาของอาซก็ดูน่ากลัวขึ้นเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมกำจัดพวกนั้นให้ไหมครับ”
“กำจัดอย่างนั้นหรือคะ”
“ถ้าเพียงแค่เพื่อให้พระชายาอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้ล่ะก็ แน่นอนว่าต้องกำจัดพวกที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจออกไปให้พ้นสายตาให้หมดสิครับ”
“…หมายถึงเหล่าสตรีชนชั้นสูงหรือคะ”
เธอถามเขาเช่นนั้นด้วยสายตาจริงจัง แล้วอาซก็พยักหน้าตอบในทันที
“หากพระชายาต้องการ ผมก็ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้วสิครับ”
“ตายแล้ว… ถ้าคุณทำแบบนั้น ก็จะกลายเป็นว่าคุณตกแต่งหน้าประวัติศาสตร์ด้วยการทรราชอย่างเป็นประวัติการณ์นะคะ เห็นทีฉันคงต้องจัดการเองนั่นแหละค่ะ”
เมื่อเธอวางส้อมลงและตอบเช่นนั้น อาซก็หัวเราะออกมาราวกับอภิรมย์ใจ โชคดีที่พอมองไปยังสีหน้าของเขา ก็ดูเหมือนจะมีความล้อเล่นติดตลกปะปนอยู่ด้วย
“ทราบแล้วครับ เห็นพระชายาเป็นกังวลถึงขนาดนั้น ผมคงจะต้องห้ามตัวเองไว้แล้วล่ะครับ”
“อย่าแม้แต่จะคิดแบบนั้นในฝันเชียวนะคะ”
“คงจะดีไม่น้อยถ้าพระชายาสนใจแต่ผม จะได้ไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นนะครับ”
ดวงตาของอาซเข้มขึ้นราวกับสิ่งที่เขาพูดนั้นมาจากใจจริง เพราะเธอบอกว่าจะทำให้ตัวเองอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบในความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาขุนนาง แล้วละเลยอาซมากเกินไป
เธอไม่ได้ขึ้นเป็นพระชายาเพราะจะมาสู้รบตบมือกับบรรดาขุนนางเสียหน่อย
เธอแต่งงานเพราะเธออยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับอาซ และด้วยความที่เขาเป็นเจ้าชาย เธอก็เลยบังเอิญต้องมาเป็นพระชายา แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หน้าที่ความสำคัญของเธอสลับกันโดยไม่รู้ตัว
“…ขอโทษค่ะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ด้านแบบนั้นของพระชายาเองผมก็ชอบครับ ทำตามที่พระชายาต้องการเถอะครับ แต่พระชายาอย่าปล่อยผมไว้คนเดียวนะครับ ผมอาจจะเหงาและแห้งเหี่ยวไปก็ได้น่ะครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น อาเรียก็หยุดรับประทานอาหารกลางคัน แล้วย้ายมานั่งตรงที่ข้างอาซ อาซเองก็วางส้อมลงราวกับไม่มีความรู้สึกอยากอาหารอีกต่อไป แล้วจับมือของอาเรีย
“ขึ้นห้องกันไหมคะ”
“ก็ดีนะ ส่วนเรื่องอาหาร… เดี๋ยวค่อยให้คนเอามาให้ข้างบนก็ได้ครับ”
เมื่ออาเรียเอ่ยเรื่องที่เขาเฝ้าคอยออกมา อาซก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว มันเป็นความรวดเร็วที่ไม่ได้เห็นกันได้ง่ายๆ
ท่าทีรีบร้อนเช่นนั้นของอาซดูราวกับว่าเขาชอบอาเรียไปเสียทุกจุด อาเรียกล่าวชมท่าทีนั้นว่าช่างน่ารักเสียจริงๆ แล้วลุกตามอาซไป ก่อนจะหยุดและเรียกชื่ออาซเหมือนกับว่าเธอคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“คุณอาซคะ”
“ครับ”
“คุณอยากให้ฉันจัดการเรื่องนี้เร็วๆ ใช่ไหมคะ”
“ใช่สิครับ แล้วผมก็อยากให้พระชายามองมาแค่ที่ผมเท่านั้น ผมไม่ชอบให้คนอื่นพูดถึงเรื่องคุณเลยครับ”
อาซตอบราวกับกระตุ้นเธอว่าหากมีทางจัดการให้เสร็จไวๆ ขอให้รีบบอกเขามา
“ถ้าอย่างนั้นช่วยทำตามที่ฉันบอกทีค่ะ”
“อย่าไปตำหนิคนที่พูดถึงเรื่องของฉันนะคะ”
“…”
นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แต่เป็นการบอกว่าอย่ามาขัดขวางเธอ
เห็นได้ชัดว่าอาซคงจะไปตำหนิคนที่พูดเรื่องของเธอมาแล้ว ทำให้พอเธอพูดเช่นนั้น เขาถึงได้ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไรนัก
“หมายความว่าให้ผมไปพูดคุยเรื่องของพระชายากับคนอื่นอย่างนั้นหรือครับ ให้ผมไปสนับสนุนคนที่ยกย่องสรรเสริญพระชายาหรือครับ “
“ฉันไม่ได้อยากให้คุณทำถึงขนาดไปสนับสนุนหรอกค่ะ แต่ได้โปรดอย่าทำให้พวกเขาหยุดหยิบยกเรื่องของฉันออกมาพูดน่ะค่ะ”
“…”
ต้องทำให้ข่าวลือแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะจบเรื่องได้ไม่ใช่หรือ เมื่ออาซไม่ตอบอะไรพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย อาเรียก็พูดต่อราวกับมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ถ้าคุณรักษาเรื่องนั้นเอาไว้ได้จนกว่าเรื่องจะจบลง ฉันจะให้คุณขอพรข้อหนึ่งค่ะ”
“…พรหรือ”
“ค่ะ พร”
“…ขออะไรก็ได้เลยหรือครับ”
“ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันทำได้นะคะ”
ในตอนนั้นเองที่ความไม่พอใจที่ปรากฏอยู่บนหว่างคิ้วของอาซได้หายไปและดวงตาของเขาเริ่มส่องประกายแวววาว ต่อให้เธอไม่ได้ตั้งเงื่อนไขอะไรแบบนั้น แต่ถ้าเธอขอให้ทำ เขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างที่เธอต้องการอยู่แล้ว
“ทราบแล้วครับ เชื่อใจผมเถอะครับ”
แน่นอนว่าอาซตอบตกลงจะทำตามนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
และโชคดีที่อาซมีจิตใจอันมุ่งมั่นที่จะขอพรกับอาเรีย เขาจึงกัดฟันอดทนต่อความหงุดหงิดในหลายๆ ครั้งที่เรื่องของอาเรียถูกพูดส่งต่อกันไปมานับครั้งไม่ถ้วนในหมู่ขุนนางชนชั้นสูง ทำให้สถานการณ์กลายเป็นแบบที่อาเรียต้องการได้ในไม่นานนัก
…………………….