พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 206 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 24)
“เอาล่ะ รับไปสิ อาเรีย”
…อาเรีย?
เป็นชื่อที่คุ้นเคยแต่กลับรู้สึกแปลก
ทว่าจะให้เชื่อมโยงชื่อที่น่ารักเช่นนั้นกับลูกสาวโสเภณีก็ดูจะเป็นเรื่องยาก จึงไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของอาเรีย
“ว้าว! อร่อยมากจริงๆ”
“ใช้ได้เลยนะ ถ้าไม่นับที่หวานไปหน่อย”
แม้จะสงสัยว่ามันทำจากอะไรถึงได้หวานแบบนี้ ระดับรสความหวานนั้นมากจนช่วยเสริมรสชาติสตรอว์เบอร์รีคุณภาพต่ำ ดังนั้นจึงไม่แย่เท่าไหร่นัก ถึงจะคุณภาพต่ำแต่ก็สามารถให้รสชาติที่สดชื่นและกระชุ่มกระชวยได้
“ทะ… ทำใหม่ให้ไหมคะ”
ทว่าดูเหมือนเจ้าของร้านจะคิดว่ามันหวานเกินไปจนไม่อร่อยหรือเปล่า เธอหน้าถอดสีโค้งคำนับให้พร้อมกับพูดว่าจะทำให้ใหม่ เป็นการโค้งคำนับที่ไร้ประโยชน์เสียแล้ว
พวกเขาโค้งคำนับให้จนเป็นที่สังเกตทำให้อาซไม่สามารถปิดบังความไม่สบายใจได้ เพราะตอนที่ถูกเปิดเผยตัวตนกับตอนนี้ช่างแตกต่างกันคนละชั้นอย่างไรล่ะ
“ไม่มีที่เงียบๆ เหรอ ที่บรรยากาศดีๆ เหมาะกับการดื่มเครื่องดื่มเงียบๆ”
“ที่เงียบๆ งั้นเหรอ มีเยอะสิ มุมริมทางตรงนั้นก็ด้วย”
อาเรียตอบคำถามอาซด้วยการชี้ไปมุมมืดๆ ริมทาง ที่ที่ดูเหมือนจะเป็นแหล่งกบดานของโจรที่รอเหยื่ออยู่
“ไม่มีที่อื่นเหรอ ตรงนั้นมันเงียบเกินไปนะ”
“ถ้าอย่างนั้นไปลานจัตุรัสกัน! ตรงนั้นไม่เงียบขนาดนั้น! เพราะแม่ไม่ให้ไปตรงนั้นคนเดียวเลยไม่ได้ไปบ่อยๆ ถ้าอย่างนั้นไปกับอาซก็ได้นี่นา!”
อาเรียเคยแอบแม่ไปลานจัตุรัสอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน เพราะมีคนเยอะแล้วยังมีของให้ดูเยอะ และมันสนุกมากด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามการขัดคำพูดของคารินแล้วแอบไปอย่างนั้นก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด แต่เพราะวันนี้ได้ไปกับอาซเลยสามารถเอ่ยปากชวนได้อย่างมั่นใจ
“ลานจัตุรัสเหรอ…”
ไปได้ไหมนะ เพราะยังไม่เจอศพของเขา แน่นอนว่าคนพวกนั้นจะต้องให้คนตระเวนหาแน่ ตระกูลขุนนางชั้นสูงจะต้องออกตามล่าตัวเขาทุกซอกทุกมุมแน่นอน
อย่างนั้นอาซจึงคิดว่าไม่ควรไปเพราะต้องโดนจับตัวไปฆ่าแน่ เขารู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี เพราะอย่างนั้นจึงตั้งใจจะบอกปฏิเสธอีกครั้ง แต่อาเรียกลับจับมืออาซอย่างไว
“แม่บอกเสมอเลยว่าที่ที่มีคนเยอะมันอันตราย แต่ว่าไปกับอาซคงจะไม่เป็นไรหรอกเนอะ!”
“อาเรีย…”
เธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากไปลานจัตุรัสมาก
แต่ไปไม่ได้จริงๆ มันอันตราย แน่นอนว่าต้องเสียใจภายหลังแน่ ดูจากที่อาเรียรั้นจะไปอยู่เช่นนี้ก็ต้องไปจริงๆ เสียแล้ว
‘อืม…ใส่หมวกเอาก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง’
เพราะอย่างนั้น
จึงได้ตัดสินเรื่องที่หากเขาปกติจะไม่มีทางตัดสินใจแน่นอน อาซจึงตัดสินใจจะไปลานจัตุรัสทั้งที่ยังลืมเป้าหมายของตนเองว่าจะต้องหลบหลีกสายตาผู้คน
“ก็ได้ เดินดูรอบเดียวค่อยกลับแล้วกัน”
“รอบเดียวเองเหรอ”
แค่เดินดูรอบเดียวก็ดูน่าเสียดาย เนื่องจากอาเรียแสดงสีหน้าแบบนั้น อาซจึงโยนเหยื่อล่อที่เธอพอจะหลงกลได้
“ใช่สิ เดินดูรอบหนึ่งแล้วก็ไปทานมื้อเย็นด้วยกัน ถึงจะเร็วไปหน่อยก็เถอะ”
“ดะ ได้! ฉันกินได้หมดเลยล่ะ!”
“เริ่มตั้งแต่เนื้อเสียบไม้ย่างก็น่าจะดีสินะ”
“อือ อื้ม”
และแน่นอนว่าอาเรียก็หลงกลงับเหยื่อนั่นเข้า
นั่นสิ แค่ไปลานจัตุรัสเองจะยากอะไรนักหนากัน
รีบไปรีบกลับดีกว่า เขาสวมหมวกทำให้ประเมินใบหน้าได้ยากทั้งยังไปไหนมาไหนกับอาเรียยิ่งทำให้แน่ใจว่ามองเป็นองค์รัชทายาทที่กำลังซ่อนตัวได้ยากแน่นอน
อาซจับจับมืออาเรียแน่น ไม่นานนักทั้งสองคนก็หายตัวไปจากถนนที่เรียงรายไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าริมถนน และผู้คนแถวนั้นต่างพากันวางใจที่อาซและอาเรียหายตัวไปแล้ว
* * *
“หาเจอหรือยัง”
“…ขออภัยครับ”
“เด็กเล็กแค่นั้นคนเดียวยังหาไม่ได้ มัวทำอะไรกันอยู่!”
ทันใดนั้นแก้วที่ดยุกเฟรเดอริกโยนไปกระแทกกับผนังก็แตกเป็นเศษเล็กๆ
องครักษ์ที่รายงานข่าวให้ดยุกเมื่อครู่เห็นอย่างนั้นจึงตกใจกลัว โชคดีเขาไม่ได้ตั้งใจ จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ดยุกเพียงแค่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาโกรธเพียงไหนก็เท่านั้น
“จะ จะรีบออกตามหาตัวให้ครับ!”
“รีบตามตัวให้ได้ภายในวันนี้ เพิ่มคนอีกสองเท่า สามเท่าแล้วรีบตามตัวมาให้ได้!”
“ใช่ครับ! ”
องครักษ์หันตัวกลับ
ต้องรีบออกตามหาตัวรัชทายาทให้เร็วที่สุดแม้แต่ครู่เดียว เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายและมีเงื่อนงำ ไม่ว่าคอจะหลุดจากบ่าตอนไหนก็ดูไม่แปลก
“เดี๋ยวก่อน!”
ดยุกเรียกองครักษ์กำลังจะออกไปอย่างกระหืดกระหอบ
คงไม่ได้จะตัดคอเขาจากบ่าสินะ องครักษ์ที่ตื่นตระหนกจึงเดินย้อนกลับไปหาดยุก ทันใดนั้นดยุกจึงสั่งการเพิ่ม
“ไม่จำเป็นต้องจับเป็น หากจะหลุดมือล่ะก็ จัดการฆ่าได้เลย …ไม่สิ แค่ฆ่ามันไปเลยน่าจะดีกว่า อย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่จะเป็นต้องไว้ชีวิตแล้วก็ได้”
“…คะ ครับ!”
องครักษ์ที่ได้รับคำสั่งว่าทันทีที่เจอตัวมกุฎราชกุมารให้สังหารทันทีรีบออกมาจากคฤหาสน์ดยุกเฟรดเดอริกทันที
ไอซิสที่กำลังจิบชาอยู่ตรงสวนอย่างเรื่อยเปื่อยก็มองอย่างไม่คิดอะไร
“ช่วงนี้มีแต่พวกไร้เกียรติเดินเข้าออกคฤหาสน์อย่างไม่ขาดสายเลยนะ”
เป็นคำถามว่าองครักษ์ที่เพิ่งออกไปนั้นเป็นใครกัน ทว่าเนื่องจากเธอไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้ารับใช้ทั้งหลายไอซิสจึงไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้
“อีกไม่นานก็น่าจะหายไปแล้วล่ะค่ะ คุณหนู เพราะดยุกก็ไม่ค่อยยินดีต้อนรับแขกเท่าไหร่น่ะค่ะ”
“อืม”
ไอซิสดื่มชาไปหนึ่งอึกพลางหรี่ตาลง
นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจทั้งยังหวังให้ผู้ที่ทำลายเกียรติยศของตระกูลดยุกนั้นหายตัวไปเสียที
* * *
“เจอเด็กลักษณะแบบนี้บ้างไหม?”
“ปะ เปล่าครับ! ไม่เห็นเลยครับ!”
เรื่องดูจะยุ่งเหยิงเสียแล้ว นั่นเป็นเพราะผู้ชายรูปร่างดีต่างกำลังมองหาเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากชายที่ถามกลับสวมหน้ากากอยู่จึงไม่สามารถทราบตัวตนที่แท้จริงได้ ไม่ได้มองว่าเป็นเด็กที่หลงทางกับพ่อแม่ ยิ่งไปกว่านั้นกลับดูเหมือนว่าจะตามรังแกเสียมากกว่า
“ดูเหมือนว่ารอบๆ บริเวณนี้คงไม่มีนะครับ เพิ่มบริเวณออกค้นหาน่าจะดีกว่านะครับ”
“เพิ่มบริเวณจะให้ไปถึงไหนกัน”
“ยังไม่ถึงย่ามสลัมไม่ใช่เหรอครับ”
ย่านสลัมงั้นเหรอ
แม้จะเป็นที่ที่ไม่เหมาะกับรัชทายาท แต่ก็ดูจะเป็นที่ที่เหมาะกับการซ่อนตัว
ทำไมยังไม่มีคนออกไปตามหาตรงย่านนั้นกันนะ ชายคนหนึ่งส่งสายตา ราวกับบอกว่าให้รีบออกไปตามหา
และชายผู้ที่รับคำสั่งจึงรีบเร่งหายตัวไปแถบย่านสลัม ไม่นานนักก็ปล่อยคนออกตามหา ทุกคนต่างถือภาพวาดอาซอยู่
พวกเขาบังคับให้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นหยุดเดิน ทั้งยังเข้าไปยื่นรูปภาพให้ดูอีก เป็นช่วงที่พวกเขาต่างตกใจกลัวไปกับบรรยากาศที่ไม่มีอะไรน่าผวาไปยิ่งกว่านี้แล้ว
“เคยเห็นเด็กคนนี้ไหม? มีผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า”
“โอ๊ะ…?”
เจ้าของร้านบูทีคที่จำหน้าอาซได้จึงเปล่งเสียงตกใจออกมา
เด็กชายที่มีเหรียญทองคนนั้น หรือว่าไปขโมยมาจากคนพวกนี้กันนะ กลุ่มคนที่ออกตามหาอาซส่วนใหญ่แม้จะปิดหน้าอยู่ก็ตามแต่ดูท่าทางน่ากลัวทั้งนั้น
ถ้ารู้อย่างนี้คงไม่ขายชุดให้หรอก ถ้ามาขอคืนจะทำอย่างไรล่ะ ขณะที่กำลังกังวลอยู่ โชคดีที่ไม่มีคำพูดทวงเงินออกมา ชายพวกนี้ถามเพียงแค่ทางที่อาซไปเท่านั้น
“มะ ไม่รู้สิครับ ไปทางไหนต่อนั้น ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพียงแค่ซื้อชุด แล้วก็เปลี่ยนชุดจากนั้นก็ออกจากร้านไปก็เท่านั้น…”
“งั้นเหรอ? ซื้อชุดอะไรไปเหรอ?”
“ชะ ชุดสีดำครับ ใส่หมวกด้วยครับ”
“สีดำทั้งตัวเลยเหรอ?”
“ชะ ใช่ครับ…”
“มาเมื่อไหร่แล้วล่ะ?”
“น่าจะก่อนหน้านี้สองสามชั่วโมงล่ะมั้งครับ”
ดูเหมือนว่าจะตามแค่ตัวเด็กผู้ชาย ไม่พูดเรื่องที่มีเด็กผู้หญิงมาด้วยก็ได้ล่ะมั้ง เจ้าของบูทีคสังเกตสายตาของชายพวกนั้นพลางรอการตอบกลับ
“มีจุดต่างอะไรจากนี้ไหม?”
“จุดที่ต่างเหรอครับ?”
“ใช่สิ”
“ก็…”
เจ้าของร้านพูดไม่ทันขาดคำก็ล้มลงไปกองที่พื้น เลือดไหลออกจากคอที่ถูกกรีดอย่างเฉียบแหลมทั้งนัยน์ตาของเขาก็เสียการโฟกัส
“ครับ”
เมื่อเริ่มรู้ต้นตอการออกตามหาร่องรอยของอาซก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถึงจะเป็นมกุฎราชกุมารแต่เนื่องจากยังเป็นเด็กและช่างโง่เขลาเสียจริงยังทิ้งร่องรอยไว้ที่นู่นที่นี่อยู่เรื่อย
“โอ๊ะ โอ๊ะ? เมื่อกี้เหมือนจะเห็นอยู่ที่ร้านริมทางนะ”
“เหมือนเห็นอยู่ร้านริมทางตรงนู้น นู่นน่ะ”
ไม่ว่าจะพยายามปิดหน้าด้วยปกเสื้อของเขาอย่างไรก็ตาม หรือเห็นได้เพียงแค่เสี้ยวเดียว เนื่องจากไม่ใช่รูปลักษณ์ที่สามารถพบได้ทั่วไปจึงมีพยานบอกว่าเห็นอาซอย่างเรื่อยๆ และเนื่องจากจำนวนคนเยอะจึงต้องมีคนบริสุทธิ์เสียสละมากขึ้นตามไปด้วย
สิ่งที่โล่งอกอย่างหนึ่งคือ เพราะอยู่ในบริเวณใกล้กับย่านสลัมจึงไม่มีใครมาร้องขอความเป็นธรรมอย่างโศกเศร้าให้กับชีวิตพวกนี้
ข้ามผ่านความตายของพวกเขาจากนั้นไม่นานชายสวมหน้ากากก็เข้ามาใกล้ร้านริมทางที่อาซและอาเรียอยู่เป็นครั้งสุดท้าย
เนื่องจากที่ตรงนั้นมีคนเยอะจึงไม่สามารถยื่นภาพวาดได้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะไม่สามารถฆ่าคนหลายคนได้ในครั้งเดียว
เพราะอย่างนั้นจึงหาเลือกคนที่เหมาะกับการถาม ทันใดนั้นก็หันไปสบตากับเด็กแต่งตัวซอมซ่อเข้า เด็กคนนั้นตกอยู่ในความกลัวจนตัวสั่น จึงเหมาะกับการถามเบาะแส
“แกมานี่สิ”
“ผะ ผมเหรอครับ?”
“ใช่ แก”
เป็นเด็กที่ตัวสูงที่สุดในบรรดาเด็กที่รวมตัวกันอยู่
เด็กชายคนนั้นทำหน้าราวกับจะร้องไห้ทันทีพลางปาดน้ำตาพร้อมลุกขึ้นอย่างลังเล ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัว
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เพียงแค่มีเรื่องอยากขอให้ช่วยเท่านั้น แค่ตอบว่า ‘ใช่’ ‘ไม่’ เท่านั้นพอนะ
ชายผู้นั้นพาเด็กชายเข้าไปในทางเปลี่ยว และไม่นานก็คลี่รูปวาดให้เด็กขายที่ตัวสั่นเทาคนนั้นดู
“เคยเห็นหน้าแบบนี้ไหม?”
“เอ่อ… อ้อ.. อ๋า…! ครับ ครับ…!”
เด็กคนนั้นกังวลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พยักหน้าราวกับเข้าใจแล้ว
ในรูปวาดดูเหมือนจะมีรัศมีมากกว่าแต่มั่นใจว่าใช่เด็กตระกูลขุนนางคนที่เห็นเมื่อกี้แน่ แม้จะเห็นแค่บางส่วนเท่านั้น แต่ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นคล้ายกันมาก
“งั้นเหรอ? งั้นรู้หรือเปล่าว่าไปทางไหน?”
“อ๋อ น่าจะไปทางจัตุรัสน่ะครับ ได้ยินมาแบบนั้นครับ”
“จัตุรัสงั้นเหรอ… อย่างนั้นสินะ ไปตอนไหนเหรอ?”
“เพิ่งไปไม่นานนี้เองครับ!”
“อยู่แถวนี้แล้วเพิ่งไปอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ครับ! ”
“อย่างนั้นสินะ ขอบใจที่บอกนะ เป็นเด็กดีจริงๆ เลย”
ชายผู้นั้นลูกหัวเด็กราวกับเป็นการขอบคุณจริงๆ และเนื่องจากรู้สึกถึงมือที่อ่อนโยนทำให้อาการสั่นกลัวของเด็กคนนั้นหยุดนิ่งทันที
“อึก!”
ทว่ามือที่อ่อนโยนนั้นไม่ได้ยาวนานนัก มือของชายที่หยาบกร้านและแข็งแรงทึ้งผมเด็กคนนั้น จนไปนอนทอดยาวอยู่บนพื้นราวกับกลายเป็นตุ๊กตาเปียกฝน
“บอกว่าเพิ่งไป… ใกล้จะจับได้แล้วสินะ”
ทิ้งเด็กคนนั้นไว้ ส่วนชายผู้นั้นกลับหายตัวไปในตรอกริมทางชั่วพริบตา
…………………..