พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 213 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 4)
ระหว่างที่อาซเที่ยวเดินตามหาเด็กน้อยไปรอบพระราชวัง อาเรียก็ตื่นพอดี
เธอสั่นกระดิ่งเรียกนางกำนัลด้วยความเคยชินและได้รับรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างละเอียดระหว่างที่กำลังล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ป่วนห้องครัวกับห้องแต่งตัวฉันเสียเละไปหมด และเจ้าชายกำลังตามล่าอยู่อย่างนั้นหรือ”
“ค่ะ เพราะแบบนั้นพวกอัศวินจึงมารักษาการณ์อยู่หน้าห้องบรรทมค่ะ ดูเหมือนจุดประสงค์ของคนร้ายจะทำเพื่อสร้างความวุ่นวาย เพราะไม่ได้ขโมยสิ่งของมีค่าไปเลยค่ะ”
แม้จะขโมยชุดเดรสไปชุดหนึ่งแต่ชุดนั้นไม่ได้มีราคาแพงหรือประดับเพชรพลอยมากมายอะไร
ดังนั้นจุดประสงค์ของคนร้ายคงเพื่อก่อความวุ่นวายอย่างที่เธอว่า
‘…คล้ายต้องการทำให้ราชวงศ์อับอายขายหน้า’
ตั้งแต่เมื่อวานกระทั่งวันนี้
หากข่าวหลุดออกไปภายนอกคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไร้ประสิทธิภาพเพราะยังไม่อาคาดเดาผู้ต้องสงสัยได้แม้จะผ่านไปหนึ่งวันเต็มแล้วก็ตาม
“แต่จะว่าไปก็แปลกนะคะ กลอนที่สลักไว้ยังเหมือนเดิม แล้วคนร้ายบุกเข้ามาและหนีออกไปได้อย่างไรกัน”
นางกำนัลเอียงหน้าสงสัย อาเรียเองก็ข้องใจเรื่องนี้เช่นกัน
เมื่อวานก็ด้วย เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนร้ายเดินลอยชายไปมาในพระราชวังโดยไม่มีพยานพบเห็นเลยแม้แต่คนเดียวได้อย่างไร
‘ไม่สิ มันก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีเอาเสียเลย’
คนที่วนเวียนอยู่ในความคิดอาเรียก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อาซนั่นเอง หากคนร้ายมีพลังแบบเดียวกับอาซ การเคลื่อนย้ายที่ไปมาภายในพระราชวังก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น
แน่นอนว่าอาซไม่มีทางทำเช่นนี้เส้นเสียแต่เขาจะเสียสติ เพราะฉะนั้นคนร้ายน่าจะเป็นคนอื่น
‘…และฉันก็เพิ่งเจอเรื่องแบบเดียวกันเมื่อวานนี้เอง’
จากเด็กชื่อบลิสที่เหมือนเธออย่างกับแกะ
เมื่อวานเธอคิดว่าตัวเองฝันหรือตาฝาดไปเอง แต่บางทีเด็กคนนั้นอาจใช้พลังแบบเดียวกับอาซและหายตัวไปก็ได้
‘หากสืบสายเลือดมาจากตระกูลมาร์ควิสเปียสต์ก็อาจเป็นไปได้’
เช่นเดียวกับเธอ ทว่าเด็กน้อยดูไร้เดียงสาจนเธอคิดว่าไม่น่ามีพิษภัยอะไร
ไม่ใช่เพียงหน้าตาเท่านั้น กระทั่งอุปนิสัยก็ยังเหมือนเธอ แค่อายุเด็กกว่ามาก
อาเรียไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ดูท่าเธอคงต้องใช้นาฬิกาทรายเสียแล้ว
‘ฉันต้องย้อนเวลากลับไปก่อนเด็กนั่นจะหนีแล้วรีบตีให้สลบถึงจะจับได้’
เธอไม่ได้อยากทำเรื่องแบบนั้นกับเด็กน้อยแต่สถานการณ์บังคับให้เธอต้องทำ
ตอนนี้เจ้าหนูอาจก่อความวุ่นวายเพียงเล็กน้อย แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอันตรายวนกลับมาหาตัวเองเมื่อไรเหมือนกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น อาเรียจึงหันไปห้ามนางกำนัลที่กำลังจะหวีผมให้เธอไว้ก่อน
“ฉันมีเรื่องต้องคิดคนเดียว เธอช่วยออกไปก่อนได้ไหม”
“อะไรกันคะ พระชายาจะประทับอยู่เพียงลำพังหรือคะ”
“ใช่ ก็เธอบอกเองนี่ว่าอัศวินอยู่หน้าประตู ฉะนั้นแค่อยู่คนเดียวในห้องไม่เป็นไรหรอกน่า”
นางกำนัลไม่อยากปล่อยอาเรียให้อยู่ตามลำพังเพราะเรื่องผู้บุกรุกที่ยังจับไม่ได้
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะขัดคำสั่งอาเรียได้ นางกำนัลจึงกล่าวลาอย่างนอบน้อมแล้วออกจากห้องไปเงียบๆ
เมื่อเหลืออยู่เพียงลำพังในห้องนอน อาเรียก็ผลักกำแพงว่างเปล่าออกไป ทันใดนั้นที่จับประตูก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมเสียงดังแกร๊ก
เธอหมุนลูกบิดจากนั้นกำแพงซึ่งเกิดเป็นรอยแยกก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ มันคือเส้นทางลับที่มีเพียงสมาชิกในราชวงศ์เท่านั้นที่รู้จัก
อาเรียซ่อนนาฬิกาทรายไว้ในนั้นจึงคิดจะเข้าไปเอามันออกมา
จนกระทั่งไปพบบลิสภายในเส้นทางนั้นโดยไม่คาดคิด
“เธอ…!”
ทำไมเด็กนี่ถึงมาอยู่ในนี้ได้
เธอเคยคิดไว้ว่าจะจับบีบคอให้สลบเมื่อได้เจอตัว
“แงงงงง้”
แต่เหตุใดเด็กน้อยจึงร้องไห้จ้าทันทีที่เห็นหน้ากันล่ะ
ตอนนี้สีหน้าสงสัยหายไปจนหมด อาเรียกำลังตื่นตกใจเมื่อเห็นบลิสร้องไห้น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างกะทันหัน
ความกล้าหาญชาญชัยที่คิดจะผลักราชวงศ์ให้ตกที่นั่งลำบากหายลับไปไหนเสียแล้ว
เธอเคยเจอเด็กนิสัยเสียคนนี้มาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอเด็กร้องไห้
อาเรียได้แต่ยืนงงไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร นั่นทำให้บลิสพยายามกลั้นน้ำตาแล้วทรุดตัวลงกับพื้น
“ขะ ขอโทษ ฮึก ฮืออ ขอโทษ แงงง!”
ท่าทางแบบนี้ใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าเธอจะฆ่าเด็ก
อาเรียไม่มีกะจิตกะใจจะต่อว่าอีกต่อไปเมื่อเห็นบลิสทำท่าจะขุดอุโมงค์หนีหายไปหลังจากเอ่ยขอโทษ
“อะไรหรือ”
“ทะ ที่ทำน้ำ ฮึก หะ หกใส่ชุด ละ แล้วก็ห้องครัว ฮือออออ!”
เด็กนี่พูดให้รู้เรื่องยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจได้ นั่นคือบลิซไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายขึ้น
อึกอึก อาเรียก้มลงมองเด็กน้อยที่ร้องไห้เป็นเผาเต่าอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา น่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ถ้าเธอยังไม่หยุดร้องฉันจะให้เธอชดใช้ความผิดเธอทั้งหมด แล้วถ้าคิดหนีเหมือนคราวที่แล้วอีก ฉันจะจับเธอกลับมาให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดและจะทำให้สิ้นสติเสีย”
“เฮือก!”
ทันทีที่เธอแกล้งขู่ออกไปด้วยแววตาเย็นชาราวกับรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บลิสก็ยกมือขึ้นปิดปากแล้วกลอกตาที่เบิกโตวนไปมา
ท่าทีไร้เดียงสานั้นทำให้เธอนึกชอบใจ ไม่จำเป็นต้องข่มขู่ให้เจ้าตัวเล็กต้องกลัวไปมากกว่านี้ อาเรียจึงออกมาจากเส้นทางลับพร้อมบลิส
ตอนอยู่ในเส้นทางมืดๆ นั้นเธอไม่ทันได้สังเกต แต่สภาพของบลิสนับว่าย่ำแย่มากทีเดียว
ดวงตาทั้งสองข้างบวมปูด ทั้งเนื้อตัวรวมถึงใบหน้ามีแต่เขม่าควันเต็มไปหมด
อาเรียส่งผ้าขนหนูชุบน้ำให้บลิสเช็ดหน้าเช็ดตาพลางสั่งให้เด็กน้อยที่ยืนละล้าละลังอยู่ไปนั่งบนโซฟาเพื่อถามเอาความจริง
“เมื่อครู่เธอเข้าไปในนั้นได้อย่างไร ไหนจะเรื่องราดน้ำใส่เสื้อผ้าที่จะใส่ในงานพิธีราชาภิเษก ทำห้องครัวเลอะเทอะสกปรก และขโมยเดรสฉัน ทั้งหมดเป็นฝีมือเธอใช่ไหม”
บลิสทำผ้าขนหนูหล่นด้วยความตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าเธอจะยิงคำถามออกมาโดยไม่ให้เวลาได้ทันตั้งตัวแบบนี้
ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตากลมโตอีกครั้ง บลิสส่ายหน้าพลางเม้มปากแน่น
“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าคนอื่นทำหรือ”
“นะ หนูทำเอง… แต่ว่า แต่ว่า… เรื่องนั้น… ฮึก”
บลิสยกมือขึ้นปิดปากอีกครั้งราวกับกำลังจะร้องไห้
เธอคงต้องปลอบเด็กน้อยให้ใจเย็นลงเสียก่อนจึงจะซักไซ้ได้
อาเรียสั่นกระดิ่งเรียกนางกำนัลที่รออยู่ข้างนอกด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอด
“พระชายา ทรงเรียก-”
เธอเบิกตากว้างเมื่อเข้ามาเห็นบลิสที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่เธอออกไป
มิหนำซ้ำเด็กน้อยยังน้ำตาร่วงเปาะอีกต่างหาก
นางกำนัลขยี้ตาคล้ายจะคิดว่าเธออาจมองเห็นผี แต่อาเรียกลับชี้นิ้วไปที่บลิสอย่างไม่คิดสนใจเธอก่อนจะเอ่ยปาก
“ช่วยไปเอาขนมเด็กมาที ชาด้วย”
“อะไรนะคะ…”
“เร็วสิ”
“เอ่อ ค่ะ!”
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมจู่ๆ ถึงมีเด็กโผล่มาเสียได้
ไม่สิ ยิ่งกว่านั้นคือเด็กนี่ช่างคล้ายพระชายามากเหลือเกิน ว่าแต่ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ
นางกำนัลออกจากห้องไปด้วยสีหน้ามึนงง ในหัวเธอมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
ระหว่างนั้นอาเรียเอาผ้าขนหนูผืนใหม่มาเช็ดคราบน้ำตาและคราบฝุ่นบนใบหน้าบลิสออก
นั่นทำให้บลิสหน้าแดงพลางสูดจมูกฟืดฟาดเหมือนไม่เคยร้องไห้กระจองอแงมาก่อน
‘เด็กนี่ทำให้ฉันเหนื่อยได้ทุกทางจริงๆ สิน่า’
เพราะนิสัยแบบนี้อย่างไรล่ะถึงได้ทำให้ทั้งพระราชวังวุ่นวายกันไปหมด
“พลังของเธอถูกปลุกขึ้นมาตอนไหน”
อาเรียถามขึ้นขณะเดินกลับมานั่งที่ สีหน้าของบลิสหม่นลงอีกครั้ง
โชคดีที่หนูน้อยไม่ได้ร้องไห้ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ซึ่งเธอก็พอจะเข้าใจได้ เพราะพลังแบบนี้มักถูกกระตุ้นขึ้นมาในสถานการณ์ที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย
“…ตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม่”
นั่นหมายความว่าก่อนที่เจ้าหนูจะเกิด น่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่แท้ๆ ของหนูคนนี้
บางทีเธออาจจะตายขณะให้กำเนิด เพราะอย่างนั้นจึงรอดมาแค่เด็กสินะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรถามให้ลึกลงไปกว่านี้ แต่เธอจำเป็นต้องทำ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจถามไปสุ่มสี่สุ่มห้า ทว่าระหว่างที่เธอกำลังคิดหาคำพูดที่เหมาะสม คำตอบก็ออกมาเสียก่อนจะทันได้ถาม
“เพราะแบบนั้น เพราะแบบนั้น… เพราะหนู แม่เลยอ่อนแอลงทุกวันทั้งยังเจ็บออดๆ แอดๆ…”
โชคดีที่ไม่ถึงตายแต่ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงสมบูรณ์อย่างนั้นใช่ไหม
ในแววตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
บรรยากาศเริ่มอึมครึมลงจนคิดว่าเธอไม่ควรรับฟังมัน
ค่อยยังชั่วที่ผ่านไปไม่นานนางกำนัลนำของว่างเข้ามาได้ทันเวลา ทำให้ทั้งสองได้พักดื่มชาและทานของว่างกันเงียบๆ สักพัก
แต่แล้วจู่ๆ อาเรียกลับมีความคิดว่า ‘ให้เจ้าหนูอยู่ที่นี่ก็ได้นี่’ ขึ้นมา
แม่ก็ป่วยทั้งยังหนีออกจากบ้านมาอีกต่างหาก
“เธอไม่ต้องกลับบ้านหรือ”
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงถามออกไป พลันน้ำตาก็คลอเอ่ออยู่จนเต็มดวงตาบลิสซึ่งกำลังจะเอาขนมเข้าปากอีกครั้ง
“อื้อ หนู… เพราะหนูเป็นเด็กไม่ดีที่ไม่ควรอยู่ที่นั่น…”
อาเรียขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบที่คล้ายจะบอกเป็นนัย เธอเลยแทบจะคาดเดาสถานการณ์ได้แทบจะในทันที
การที่เด็กอายุเพียงห้าหรือหกปีพูดจาแบบนั้น เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเด็กต้องถูกทารุณหรือไม่ก็ถูกปล่อยปละละเลยมา
‘เพราะแบบนั้นถึงได้หนีออกจากบ้านและคนที่พอจะมาหาได้ก็มีแค่ฉันสินะ เพราะถูกแม่แท้ๆ ทำร้ายแถมพ่อแท้ๆ ยังมาแต่งงานกับแม่ฉันอีก’
ตอนเด็กๆ เธอเองก็เคยคิดจะออกตามหาพี่สาวต่างแม่ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้
อาเรียนึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
‘ถึงไม่โดนทรมานแต่โดนละเลยแน่ๆ แหละ’
ในมุมมองของแม่มันก็เป็นเรื่องที่เธอสมควรโดน แต่สำหรับเธอมันคือความทรงจำที่ไม่ดีเอาเสียเลย
อาเรียไม่ค่อยพอใจช่วงเวลาในวัยเด็กของตัวเองนัก รวมถึงเรื่องที่เธอไม่เคยได้เจอพ่อด้วย
‘…เขาสร้างบาดแผลให้ลูกสาวทุกคนที่ให้กำเนิดเลยสินะ’
เธอไม่อาจเกลียดชังมาร์ควิสเปียสต์ผู้เป็นพ่อไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
อาเรียตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าเธอต้องพูดอะไรบางอย่างให้ได้หากได้เจอเขาในภายหลัง
“เลิกร้องไห้ได้แล้ว ใครมาเห็นเข้าได้เข้าใจฉันผิดพอดี”
ทั้งที่คงไม่มีใครมาเห็นแต่เมื่ออาเรียว่าบลิสก็กลั้นน้ำตาพลางยกมือปิดปากอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะเธอเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างแล้ว จึงรู้สึกว่าเรื่องของหนูน้อยช่างเหมือนเรื่องฝังใจในอดีตของเธอที่ไม่อาจแสดงออกมาภายนอกเหลือเกิน
อาเรียรู้สึกอึดอัดเมื่อมันทำให้เธอหวนนึกถึงความรู้สึกที่เธอไม่อยากจำ
เด็กน้อยที่อับโชคเหมือนเธอทั้งยังหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน ทำให้อาเรียรู้สึกเห็นใจอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานมากแล้ว
เพราะแบบนั้น เธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะต่อว่าบลิส
ด้วยคิดว่าเธอไม่ควรไปเพิ่มความอับโชคในชีวิตของเด็กน้อยผู้โชคร้ายคนนี้ให้พอกพูนยิ่งขึ้นไปอีก
“คนที่ควรจะร้องไห้ไม่ใช่เธอแต่เป็นคนอื่นๆ ในพระราชวังต่างหากล่ะ รู้บ้างหรือเปล่าว่าพวกเขาตกใจกับเรื่องที่เธอก่อขนาดไหน หลังจากเรื่องนี้เธอคงได้ฟัง แต่ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่าเธอยังต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำ”
แต่แน่นอนว่าเธอไม่มีทางเปลี่ยนมาทำตัวอ่อนโยนในทันที
คำว่าชดใช้ทำให้แววตาของบลิสสั่นไหวอย่างแรงราวกับเรือเล็กเมื่อพบเจอลมพายุ
อาเรียเมินเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตานั้น ก่อนจะละเลียดจิบชาไปอีกหนึ่งอึกแล้วพูดคำที่ทำให้เด็กน้อยไม่ต้องร้อนรุ่มใจไปมากกว่านี้
“ความผิดที่เธอทำไว้มีมากมายอาจต้องใช้เวลานานหากชดใช้ เช่นนั้นอยู่ในวังสักพักก็แล้วกันนะ ยังมีห้องเหลืออยู่อีกเยอะน่ะ”
บลิสเบิกตากว้างราวกับไม่เคยร้องไห้มาก่อน เด็กน้อยลืมเรื่องที่ต้องชดใช้โทษไปจนหมดสิ้น
“จะ จริงหรือ… อยู่ที่นี่ได้จริงหรือ”
ความยินดีฉายชัดอยู่เต็มใบหน้า แม้จะเอะใจว่าหนูน้อยช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าแววตาที่มีแต่ความเจ็บปวดและเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาล่ะนะ
อาเรียซ่อนความรู้สึกโล่งใจไว้อย่างแนบเนียนขณะเอ่ยถามบลิส
“ไม่อยากอยู่หรือ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
ขวับขวับ ‘จะไม่อยากได้อย่างไรกัน’ บลิสผู้ตื่นเต้นดีใจตอบออกไปพลางส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่นะ! อยากอยู่สิ!”
ถึงอย่างนั้นมันคงไม่ทำให้ชีวิตที่แสนอับเฉาดีขึ้นสักเท่าไรหรอกนะ
อาเรียไม่เข้าใจว่าเด็กน้อยจะดีใจอะไรขนาดนั้นและได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้เพียงในใจ
………………