พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 217 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 8)
คนที่เข้ามาในห้องนั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นรูบี้สาวใช้ของอาเรียนั่นเอง
และโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ บลิสก็นึกถึงคำพูดของเธอที่เฝ้าจับตาดูตนเองนอนหลับตาแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อออดอ้อนขึ้นมา
‘พระจักรพรรดินีช่างอับโชคเสียจริง ถ้าไม่ให้กำเนิดท่านออกมา คงจะดีกว่าเสียอีก’
แม้จะพูดออกมาเบาๆ แต่ตนก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน และคำพูดนั้นยังคงฝังอยู่ในหัวไม่หายไปไหน
‘อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ ไม่อยากจะต้องมาเจอกับคนแบบนี้เลย…’
แม้จะกดหน้าลงบนพื้นอยู่ในสภาพเหยเกก็ตาม แต่เพราะหน้าตาที่เหมือนกับอาเรียเป็นอย่างมากทำให้รูบี้กะพริบตาครู่หนึ่งและพูดออกมาช้าๆ
“…ตื่นแล้วหรือคะ ดิฉันได้ยินคำอธิบายทั้งหมดแล้ว ว่าคุณหนูเป็นญาติห่างๆ ของพระชายาค่ะ”
จากนั้นรูบี้ก็เดินเข้าใกล้บลิสที่นอนคว่ำหน้าไม่ขยับตัวแล้วจับตัวบลิสลุกขึ้นมา
“แม้จะเสียมารยาท แต่ดิฉันขอถามได้หรือไม่คะ ว่าคุณหนูเป็นเลดี้ของตระกูลอะไร”
สิ่งแรกที่เธอควรจะทำคือการพูดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ตกใจแล้วถามบลิสว่าได้รับบาดเจ็บอะไรหรือไม่ต่างหาก
ท่าทางเธอคงอยากจะตรวจสอบตำแหน่งของบลิสก่อน รูบี้จึงได้ถามถึงวงศ์ตระกูลขึ้นมา
“ตระกูลเหรอ…! อืม เอ่อ…! ”
ตาของบลิสเลิ่กลั่กส่ายไปมาด้วยเพราะไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ เพราะแบบนั้นรูบี้จึงเข้าใจถึงสถานะของบลิสได้อย่างรวดเร็ว
‘แม้แต่นามของวงศ์ตระกูลยังเอ่ยออกมาไม่ได้ แถมยังได้ยินว่าเป็นเด็กที่ฝากเอาไว้กับญาติห่างๆ โดยที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนด้วย…’
ไม่สิ คงไม่ได้ฝากเอาไว้หรอก ได้ยินว่าจู่ๆ ก็โผล่มาคนเดียวนี่นา
แล้วยังได้ยินว่าทำตัวไม่สมกับเป็นชนชั้นขุนนางแอบหนีออกมาโดยไม่มีใครรู้แล้วยังประสบกับอุบัติเหตุแปลกๆ อีกด้วย
ถ้าอย่างนั้นคำตอบก็คงมีแค่อย่างเดียว นั่นคืออาเรียต้องมาดูแลเด็กน่าสงสารไร้ที่ไปอย่างช่วยไม่ได้
‘คงไม่ได้มาจากตระกูลมาร์ควิสที่มีเกียรติสูงส่งแน่ๆ หรือจะเป็นพระญาติทางฝ่ายพระมารดากันนะ’
หากรู้ว่าอาเรียหน้าตาเหมือนใครแล้วละก็ นั่นคงเป็นการคาดเดาที่เป็นไปไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่รูบี้ไม่เคยเห็นหน้าคู่สามีภรรยามาร์ควิสเปียสต์เลย
แน่นอนว่าหากบลิสเป็นญาติทางฝั่งคารินจริงๆ ก็ถือว่าเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์กับอาเรียและอยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติตัวอย่างสะเพร่าด้วยไม่ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องดูแลให้ดีเท่าไหร่นัก
‘เพราะพระชายาไม่ใช่คนที่จะดูแลคนที่ไม่มีประโยชน์ ท่านน่ะนิสัยต่างจากข่าวลือภายนอกเลย’
คงไม่ต้องใส่ใจก็ได้ละนะ แม้จะไม่ได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียด แต่รูบี้ก็ตัดสินบลิสด้วยความคิดของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว
“จะอยู่เป็นระยะเวลาเท่าไหร่หรือคะ”
รูบี้ถามบลิสที่ถูไถไหล่ไปมาอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างมาก
“เอ่อ อืม…จนกว่าจะถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ก็คงหนึ่งเดือน…”
โดยมีเงื่อนไขว่า ‘หากไม่ถูกจับได้และยังไม่ถูกอาเรียไล่ออกไปจนกว่าจะถึงตอนนั้นละนะ’ บลิสตอบออกมาอย่างลังเล
รูบี้ควบคุมสีหน้าและถามออกมาเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“ท่านพ่อท่านแม่จะมารับในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหรือคะ”
“ไม่ใช่…อย่างนั้นหรอก”
มารับอะไรกันล่ะ วันนั้นฉันตั้งใจจะเผยความจริงแล้วหายตัวไปต่างหาก
ด้วยเหตุนี้รูบี้จึงตัดสินตามใจตนว่าอาเรียคงจะดูแลเด็กคนนี้อย่างช่วยไม่ได้และกลับมาทำสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง
“อย่างนั้นเองสินะคะ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอความกรุณาให้คุณหนูปฏิบัติตัวอย่างเรียบร้อยจนกว่าจะถึงวันนั้นด้วยนะคะ เพราะหากก่อความวุ่นวายเหมือนเมื่อวานหรือวันนี้เข้าแล้วละก็ อาจจะถูกดุได้น่ะค่ะ”
แม้วิธีการพูดจะฟังดูเหมือนตักเตือนอยู่ในที แต่ที่จริงแล้วไม่ต่างจากการตำหนิเลย
ในอนาคตก็เหมือนกัน รูบี้เป็นคนที่ร้ายกาจเอามากๆ บลิสทำหน้าบูดบึ้งขึ้นมา
“…อือ”
เพราะตนเองทำผิดจริง บลิสจึงได้แต่พยักหน้านิ่งๆ ท่าทางว่านอนสอนง่ายนั้นทำให้รูบี้รู้สึกพอใจและพูดต่อไปว่า
“อีกอย่างต่อไปนี้หากไม่จำเป็นขึ้นมาจริงๆ ละก็อย่าเข้าพบพระชายาจะดีกว่านะคะ เพราะท่านทรงงานยุ่งมาก คุณหนูอยู่พักผ่อนในห้องจนกว่าจะถึงวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกดีกว่าค่ะ”
ถึงจะไม่บอกอย่างนั้น แต่อาเรียก็ยุ่งอยู่กับงานหลายอย่างรวมทั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกด้วย
และอาเรียเองก็ต้องการที่จะทำเช่นนั้น เพราะเธอเกลียดความเบื่อหน่ายและความซับซ้อน
ด้วยเหตุนี้เธออาจจะได้รับคำชมเหมือนตอนที่แนะนำให้สั่งทหารมายืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทำงานก็ได้
จิตใจของรูบี้เกาะกุมไปด้วยความเห็นแก่ตัว
“อ้อ มันค่อนข้างที่ยุ่งยากด้วยสิคะ ถ้าอย่างนั้นแล้วรับประทานอาหารที่ห้องเลยดีไหมคะ ดิฉันจะสั่งให้ทำแบบนั้นเอาไว้ให้ค่ะ ไหนๆ ก็ได้เข้ามาในพระราชวังแล้ว อย่างงั้นห้องพักเอาเป็นห้องที่อยู่ใกล้กับสวนด้านหลังที่มีวิวสวยๆ ดีกว่านะคะ”
ห้องที่อยู่ใกล้กับสวนด้านหลังนั้น เป็นห้องที่อยู่คนละทางกับห้องนอนของอาเรีย
และวิวก็ไม่ได้สวยอย่างที่รูบี้บรรยายเอาไว้ด้วย บลิสเบ้ปาก เพราะหากอยู่ห้องนั้นแล้ว กว่าเดินมาหาอาเรียได้ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว และในขณะนั้นเอง
‘แอ๊ด’
ประตูถูกเปิดออกมา พร้อมกับเจสซี่ที่กลับเข้ามากับแอนนี่
เจสซี่ถือเอกสารเอาไว้เต็มมือ ท่าทางเธอคงคิดจะสะสางงานอยู่ข้างๆ บลิสที่กำลังนอนหลับ
“โอ๊ะ ดิฉันนึกว่าคุณหนูยังหลับอยู่นะคะเนี่ย ตื่นแล้วหรือคะ! “
สีหน้าของเจสซี่ที่มองดูบลิสซึ่งตื่นนอนและนั่งอยู่ที่เตียงนั้นดูแจ่มใส ส่วนแอนนี่ที่เดินตามหลังมาก็เบิกตาโพลง
“ตายจริง หน้าตาเหมือนพระชายาจริงอย่างที่เธอบอกเลยนี่เจสซี่”
แอนนี่กรี๊ดกร๊าดและวิ่งเข้าไปหาบลิสอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็อุ้มบลิสขึ้นมากอดแล้วหมุนตัวไปมาอย่างสนุกสนาน
“พระญาติอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กที่พระชายาแอบไปคลอดโดยไม่บอกให้เรารู้รึเปล่า”
หากใครมาได้ยินที่แอนนี่พูดเข้า คงได้เกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ บลิสจึงกลั้นขำเอาไว้ในใจ
ไม่ว่าจะเป็นอนาคตหรือตอนนี้ แอนนี่ก็ยังเป็นคนตรงไปตรงมาพูดจาโผงผางตามที่อยากจะพูด และเพราะนิสัยแบบนั้น เธอจึงไม่ลังเลที่จะพูดแสดงความรักต่อตัวบลิสอยู่เสมอ
เพราะจู่ๆ สองคนก็โผล่มาขวางบทสนทนา รูบี้จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เธอจับแขนของแอนนี่ที่กำลังสนุกสนานเอาไว้
“แอนนี่ เจสซี่ ช่วยออกไปสักครู่ได้ไหม เรากำลังคุยกันอยู่น่ะ”
เพราะเหตุนั้นบลิสจึงรู้สึกอารมณ์เสียอีกครั้ง
เมื่อแอนนี่เห็นว่าเด็กน้อยกำลังทำปากคว่ำ เธอก็กะพริบตาซ้ำกันสองครั้งอย่างรวดเร็วและถามรูบี้ว่า
“กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่ให้คำแนะนำเรื่องที่อยู่ต่อจากนี้นิดหน่อยเท่านั้นเอง”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สีหน้าของบลิสก็ไม่ดีขึ้นเลย
แอนนี่ที่รับรู้สถานการณ์ได้ไว มองสลับไปมาระหว่างบลิสและรูบี้ ก่อนจะทำสีหน้าเข้าใจขึ้นมาในทันที
“งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง แต่ว่านะ ทำแบบนั้นมันไม่ใช่การก้าวก่ายหรอกหรือ”
“ก้าวก่าย”
รูบี้เลิกคิ้วและถามกลับไป แอนนี่จึงยกมุมปากขึ้นและตอบว่า
“เธอเป็นใครกัน ถึงได้กล้ามาให้คำแนะนำ ถึงจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน แต่เด็กคนนี้ก็เป็นถึงพระญาติของพระชายานะ”
“นั่นน่ะเพราะฉันเป็นสาวใช้ที่ขึ้นตรงกับพระชายา แค่เรื่องให้คำแนะนำน่ะ ทำได้-“
“เอ่อ ใช่”
แอนนี่พูดแทรกออกมาก่อนที่รูบี้จะพูดจบ
“อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ ว่าเธอเป็นสาวใช้ เพราะฉะนั้นเรื่องคำแนะนำน่ะเป็นเรื่องของเจ้านายและเป็นหน้าที่ของพระชายาด้วย ทำไมคนใช้อย่างเธอต้องเข้ามาทำมันด้วยล่ะ”
“แอนนี่ ฉันไม่รู้ว่าเธอเข้าใจอะไรผิดอยู่รึเปล่านะ ฉันก็แค่ตั้งใจจะให้คำแนะนำเพื่อให้ใช้ชีวิตในพระราชวังได้เป็นอย่างดีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็เป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดพระชายามากที่สุด ปกติฉันก็ทำนั่นนี่แทนพระชายาอยู่แล้ว-“
“พูดอะไรของเธอน่ะ สาวใช้ที่ใกล้ชิดพระชายาที่สุดคือฉันต่างหาก”
ในครั้งนี้เองแอนนี่ได้พูดตัดบทรูบี้ขึ้นมา
เพราะหลังจากที่กลายเป็นบารอนเนสแล้ว งานในตำแหน่งผู้ช่วยส่วนใหญ่ก็ถูกดูแลโดยเจสซี่ หากจะมองว่าแอนนี่เป็นสาวใช้ก็เป็นเรื่องที่ดูสมเหตุสมผล
“และอีกอย่างนะรูบี้ เธอน่ะ หากยังทำงานต่อไปแบบนี้ละก็ มีหวังได้ถูกพระชายาเฉดหัวทิ้งแน่ บอกว่าทำนั่นทำนี่แทนพระชายาอย่างนั้นเหรอ นี่คงไม่ได้คิดจะเข้ามาจุ้นแบบนี้ไปตลอดหรอกใช่ไหม”
แอนนี่หรี่ตาถามออกไป
น้ำเสียงที่คล้ายกับจะบอกว่าทำอะไรโง่ๆ นั้น ทำเอารูบี้อารมณ์เสียขึ้นในทันที
“จุ้นงั้นเหรอ ฉันก็แค่ช่วยดูว่าพระชายาต้องการอะไรแล้วก็รีบทำให้ก่อนเท่านั้น เธอพูดแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“ตายจริง นี่ตั้งใจทำตัวจุ้นจ้านจริงๆ หรือนี่ ฉันก็นึกว่าพวกที่มียศเป็นขุนนางแต่เกิดจะฉลาดหมดทุกคนเสียอีกนะเนี่ย! ”
แอนนี่ปิดปากด้วยฝ่ามือราวกับไม่อยากจะเชื่อ
ท่าทางเกินจริงราวกับตั้งใจจะยั่วโมโหนั้นทำให้รูบี้อดทนต่อไปไม่ไหว เธอตะคอกใส่แอนนี่
“นี่! เธอเป็นคนพูดเองนี่นา! ว่าพระชายาชอบสาวใช้ที่ทำงานเก่งน่ะ! ”
“ใช่ ถูกต้อง แต่ฉันหมายถึงสาวใช้ที่ทำงานตามที่‘สั่ง’ได้ดีต่างหาก ไม่ใช่สาวใช้จอมจุ้นจ้านแบบที่เธอทำอยู่ตอนนี้”
บรรยากาศเริ่มไม่ปกติขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงที่ใช้คุยกันนั้น หากทั้งคู่จะกระชากผมกันขึ้นมาก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
“แอนนี่…! ”
บลิสที่เฝ้าดูสถานการณ์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ได้จับชายกระโปรงของแอนนี่เอาไว้แน่น
แต่ช่างโชคร้ายที่แอนนี่อารมณ์หุนหันจนไม่ทันสังเกตเห็นมือน้อยๆ นั่น และยังคงต่อล้อต่อเถียงกับรูบี้ต่อไป เจสซี่จึงได้เข้าไปแทรกระหว่างทั้งคู่แทน
“ทั้งสองคน! หยุดสักทีเถอะ คุณหนูกำลังกลัวอยู่ไม่เห็นหรือไง และก็รูบี้ เรื่องคุณหนูบลิสน่ะพระชายาสั่งให้ฉันเป็นคนดูแลเรียบร้อยแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำหรือกำหนดที่อยู่ให้เสียงแรงเปล่าหรอก”
แน่นอนว่าเจสซี่เข้าข้างบลิส เธอจึงตำหนิรูบี้ขึ้นมา
เมื่อบอกว่าอาเรียเป็นคนสั่งให้เจสซี่ทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง รูบี้ก็ไม่สามารถเข้ามายุ่งได้อีกต่อไป หากพูดอะไรพล่อยๆ ออกไปตรงนี้อีกละก็ นั่นจะไม่ต่างอะไรจากที่แอนนี่บอกว่าเธอจุ้นจ้านเลย
“…เข้าใจแล้ว ในเมื่อคนที่รับหน้าที่ดูแลไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเธอ ฉันก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาแล้วละ ถ้าอยากให้ช่วยเหลืออะไร ก็บอกฉันได้เสมอนะ”
แม้จะพูดออกมาเช่นนั้น แต่รูบี้ก็ไม่คิดจะยอมเสียหน้า
รูบี้ไม่ลืมที่จะทำตัวข่มจนถึงที่สุด เธอปรายตามองแอนนี่หนึ่งทีแล้วออกไปจากห้องนอน
กึก ทันทีที่ประตูถูกปิดลง แอนนี่ก็ชกกำปั้นต่อยไปในอากาศ
“ชิ! ให้ตายเถอะ! ทำไมถึงมีคนแบบนั้นอยู่ทุกที่เลยนะ ให้คำแนะนำงั้นเหรอ กำหนดที่อยู่งั้นเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”
เจสซี่เองก็รู้สึกไม่ชอบใจเมื่อได้ยินว่าคนนิสัยไม่ค่อยจะอ่อนโยนอย่างรูบี้จะให้คำแนะนำกับบลิส
และก็เป็นไปอย่างที่คิด บลิสทำหน้าบึ้งตึงและจับระบายกระโปรงของเจสซี่ก่อนจะพูดออกมาอย่างระมัดระวังว่า
“เจสซี่ฉันไม่อยากอยู่ห้องทางสวนด้านหลังนะ ขอห้องที่อยู่ใกล้กับพระชา-ไม่ๆ พระราชินีได้ไหม ฉันจะอยู่เงียบๆ ไม่ก่อเรื่องเด็ดขาด นะ นะ จะไม่ทำให้รำคาญเลย นะ”
เพราะเหตุนั้นแม้จะไม่ถาม แต่เจสซี่ก็รู้ได้แล้วว่ารูบี้พูดอะไรกับบลิส
ทำไมกันนะ ทั้งที่อาเรียยังอยู่เฉยๆ แท้ๆ แต่เจ้าหล่อนกลับเสนอหน้าพูดอะไรไร้สาระออกมา
เจสซี่ถอนหายใจอยู่ในอกก่อนจะกุมมือบลิสอย่างอ่อนโยนและตอบว่า
“อย่างเป็นกังวลไปเลยค่ะ ถึงคุณหนูไม่ขอ ดิฉันก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างยังไงคุณหนูก็ยังเด็กอยู่จะก่อเรื่องนิดหน่อยหรืองอแงบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกนะคะ”
ดูเหมือนคำพูดที่อ่อนโยนนั้นจะทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น ขอบตาของบลิสจึงรื้อแดงขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างเต็มแรง
“จริงๆ เลยนะ หน้าตาเหมือนกับพระชายาแท้ๆ แต่ทำไมนิสัยกลับต่างกันได้ขนาดนี้เนี่ย ถ้ามีหน้าตาแบบนี้แถมยังใจดีอีกละก็ จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันตรายได้อย่างไรล่ะเนี่ย! ”
แอนนี่เฝ้าดูท่าทางนั้นด้วยใบหน้าเศร้าๆ พร้อมกับทุบอกที่รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ก่อนจะทำสีหน้าจริงจังราวกับว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว แล้วพูดว่า
“ออกไปกันเถอะ”
“ไปไหน”
เจสซี่ถามถึงคำชวนแปลกๆ นั่น ส่วนบลิสก็เบิกตาโต จากนั้นแอนนี่ก็ชี้ไปที่ประตู
“ไปซื้อเสื้อผ้าให้คุณหนูบลิสกันเถอะ ไม่มีอะไรจะช่วยเปลี่ยนอารมณ์ได้ดีเท่าเสื้อผ้าสวยๆ แล้ว จากนั้นก็ไปกินของหวานที่คาเฟ่ฟลาวเวอร์เมาน์เทนกันต่ออีกหน่อย”
ถึงแอนนี่จะไม่พูดแบบนั้น แต่เพราะบลิสไม่มีเสื้อผ้าที่จะใส่อยู่แล้ว นั่นจึงเป็นข้อเสนอที่ถือว่าไม่เลวเลย
เพราะรอให้ดีไซเนอร์มาวัดตัวตัดชุดให้ แม้แต่ชุดที่จะใส่ตอนนี้ก็ไม่มีเลย
“คุณหนูอยากออกไปไหมคะ”
“อืม! อยากสิ! อยากไปซื้อเสื้อผ้ากับเจสซี่กับแอนนี่! “
เมื่อได้ยินคำถามของเจสซี่เข้า บลิสก็ตอบออกมาเสียงดังพร้อมกับแววตาเป็นประกายราวว่าตนเองไม่เคยทำหน้าบึ้งตึงมาก่อน
ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนั้น ค่อยๆ ละลายความโกรธในจิตใจของเจสซี่และแอนนี่ออกไป
“ฉันน่ะ ขอจับมือเจสซี่กับแอนนี่ออกไปได้ไหม”
บลิสยื่นมือแต่ละข้างไปหาทั้งสองคนและถามออกไป
และแน่นอนว่าในโลกนี้ไม่มีใครปฏิเสธมือน้อยๆ อันขาวผ่องนั้นได้
เจสซี่และแอนนี่ยิ้มแป้นและจับมือบลิสก่อนจะพากันลงไปที่ชั้นหนึ่ง
‘ว่าแต่ ฉันบอกชื่อตัวเองไปแล้วงั้นหรือ’
เพราะยังไม่เคยได้แนะนำตัวกับบลิสมาก่อน จู่ๆ เจสซี่ก็รู้สึกถึงอาการเดจาวูขึ้นมา แต่เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่ารูบี้ได้เรียกชื่อเธอและแอนนี่ไปเรียบร้อยแล้ว จึงบอกกับตัวเองว่าคิดอะไรไร้สาระและปัดความสงสัยนั้นออกไปจากหัวในทันที
……………………..