พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 227 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 18)
“อะไรนะ เธอถามว่าบลิสอยู่ที่นี่หรือเปล่างั้นเหรอ แล้วเธอเป็นใครกัน ถึงได้มาถามฉันแบบนั้น”
ลิเป้ถามคนแปลกหน้าที่เข้ามาพบตนด้วยน้ำเสียงแวดระวังและดุดัน
ลิเป้ฝาแฝดผู้น้องที่นิสัยต่างจากบลิสซึ่งไร้เดียงสาและสะเพร่าไม่ระวังตัวอย่างสิ้นเชิง
ลิเป้ผู้รอบคอบในทุกเรื่องทั้งยังเข้มงวดกับตัวเอง และตั้งใจจะเป็นคนที่ทุกคนให้การยอมรับเสมอมา
คนหนึ่งเอาแต่ออดอ้อนทำตัวเป็นเด็ก แต่อีกคนหนึ่งก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้มากขนาดนี้ แม้จะเป็นภาพที่เห็นมาตลอด แต่เทียเรนก็อดประทับใจไม่ได้ เธอพยักหน้าเบาๆ และตอบว่า
“เจ้าหญิงลิเป้คะ ดิฉันเทียเรนเองค่ะ เมื่อคืนดิฉันดื่มมากไป ท่าทางจะหน้าบวมจนเจ้าหญิงจำไม่ได้สินะคะ ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ”
ในขณะที่เธอตอบออกมาพร้อมกันนั้นในหัวของลิเป้ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับเทียเรนแทรกขึ้นมาพอดี
รูบี้ถูกไล่ออกตอนที่เธอกำลังสั่งสอนบลิส และเทียเรนที่เตรียมงานเทศกาลได้สมบูรณ์แบบทันเวลาก็กลายมาเป็นคนสนิทของอาเรียแทน
‘นี่มันอะไรกันแน่…’
ในหัวของลิเป้มีความทรงจำของรูบี้ที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อวานและความทรงจำเกี่ยวกับเทียเรนอยู่ด้วยกัน
เหตุผลที่เกิดเรื่องเช่นนี้มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตอนที่อดีตถูกเปลี่ยน อนาคตก็จะเปลี่ยนไปด้วยนั่นเอง
พูดให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นก็คือการที่บลิสหรือตนกลับไปยังอดีตและเปลี่ยนเหตุการณ์บางอย่างนั่นเอง
ไม่แน่ใจว่าเพราะเป็นฝาแฝดหรือเพราะมีพลังอย่างเดียวกันหรืออย่างไร หากมีใครสักคนใช้พลังและอนาคตถูกเปลี่ยนไปละก็ ทั้งสองคนก็จะรับรู้ได้ถึงเรื่องราวทั้งก่อนและหลังที่เหตุการณ์นั้นๆ จะถูกเปลี่ยน
‘อย่าบอกนะว่าบลิส…’
ยัยปลิงทะเลยึกยือจอมงี่เง่านั่นก่อเรื่องอีกแล้วงั้นเหรอ
ที่จริงแล้วบลิสมักจะย้อนกลับไปกลับมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันและก่อเรื่องเป็นปกติอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนัก
แต่หากว่าการทำเช่นนั้นมันส่งผลให้ชีวิตของใครสักคนเปลี่ยนไปชั่วชีวิตแล้วละก็ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที
ยิ่งเป็นอดีตเมื่อแปดปีที่แล้วด้วยยิ่งแล้วใหญ่
‘ว่าแต่ย้อนกลับไปยังอดีตที่ผ่านมานานขนาดนั้นได้ด้วยหรือนี่’
เนื่องจากการเปลี่ยนอดีตจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต นี่จึงเป็นความจริงที่ลิเป้ไม่รู้ เพราะไม่เคยทดลองมาก่อน
แต่แน่นอนว่าถึงจะรู้เรื่องนี้ก็ตาม ลิเป้ก็ไม่คิดที่จะย้อนกลับไปยังอดีตที่แสนไกลขนาดนี้แน่นอน
เพราะแค่ใช้ชีวิตในปัจจุบันก็ยุ่งมากพอแล้ว เธอไม่อยากจะต้องมาเสี่ยงและคอยกังวลถึงอนาคตที่จะต้องเปลี่ยนไปจากการข้ามเวลานั่นเอง
ทว่าบลิสงี่เง่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอคงจะย้อนอดีตและก่อเรื่องวุ่นวายเข้าจนได้
“…ถึงงานจะหนักก็เถอะ แต่เธอก็ควรจะดื่มให้มันพอดีหน่อย เพราะถ้าไม่มีเธอ ท่านแม่ก็จะลำบากขึ้นมา”
“ค่ะ ขอบพระคุณที่เป็นห่วงค่ะ ดิฉันจะระวังเอาไว้ค่ะ”
คำตอบที่ดูไม่สมกับร่างกายของเด็กตัวเล็กๆ ทำให้เทียเรนหัวเราะเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม้จะรู้ว่าไม่ควรทำเช่นนี้ต่อหน้าราชวงศ์ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหยุดคิดได้ว่านี่เป็นการกระทำที่ดูน่ารักดี
“เธอถามว่าบลิสอยู่ที่นี่หรือเปล่างั้นสินะ”
“ค่ะ เจ้าหญิงร่างกายไม่แข็งแรงไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหน จักรพรรดินีเองก็หาเจ้าหญิงไปทั่ว แต่ก็ยังไม่พบตัวเจ้าหญิงเลยค่ะ”
บลิสจะต้องอยู่ในอดีตแน่ๆ ยิ่งมีความทรงจำอันใหม่แทรกขึ้นมาแบบนี้ ยิ่งไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย
‘จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้นะ’
ลิเป้เม้มริมฝีปากและคิดว่าอย่างไรก็คงต้องบอกให้อาเรียรู้เรื่องนี้ แล้วตอบเทียเรนสั้นๆ ว่าเธอไม่รู้ว่าบลิสอยู่ที่ไหน ก่อนจะออกไปจากห้องสมุดของพระราชวัง
‘วันนี้ท่านแม่ก็คงจะอยู่ในสวนเรือนกระจกเหมือนเช่นเคยสินะ’
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ใช้พลังให้มากเท่าที่จะทำได้แล้วเชียว
ด้วยความร้อนใจ หลังจากที่สังเกตดูรอบๆ ข้างว่าไม่มีใครอยู่เรียบร้อยแล้ว ลิเป้ก็ใช้พลังเคลื่อนที่ไปยังมุมมุมหนึ่งในสวนเรือนกระจกทันที
โชคดีที่อาซและอาเรียอยู่ด้วยกันที่นั่น
คงจะเป็นกังวลเรื่องบลิสอยู่แน่ๆ ลิเป้ตั้งใจจะออกไปหาทั้งสองและเล่าความจริงให้ฟังในทันที
แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น อยู่ๆ อาเรียก็สะดุ้งโหยงขึ้นมาและจับแขนของอาซเอาไว้
“อยู่ๆ ฉันก็มีความทรงจำที่เคยเห็นบลิสในอดีตขึ้นมาค่ะ…! ”
“ผมก็เหมือนกันครับ ผมจำได้ว่าบลิสมายังอดีตเพราะเป็นห่วงสุขภาพของอาเรียและบอกกับผมว่าอย่าให้กำเนิด…เธอครับ”
อะไรนะ ลิเป้ตกใจและหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างไว้
อาเรียเองก็อึ้งจนลืมกะพริบตาไปชั่วขณะ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่นึกเลยว่าจะสามารถย้อนกลับไปยังอดีตที่ผ่านมานานขนาดนั้นได้…ฉันไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าความทรงจำของตัวเองกำลังเปลี่ยนไป…! ”
แม้ว่าบลิสจะเคยย้อนอดีตที่ผ่านมาได้ไม่นานอยู่บ่อยๆ จนทำให้อาเรียสับสนวุ่นวายก็เถอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอย้อนกลับไปยังอดีตที่แสนไกลแบบนี้
“ดูเหมือนลูกจะย้อนกลับไปเพื่อโน้มน้าวใจฉันแน่ๆ เลยค่ะ ฉันคงไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม…! ”
อาเรียวิตกขึ้นมาจนไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ เธอกัดริมฝีปากของตนเองเอาไว้
หากเป็นตัวเธอในอดีตแล้วละก็ มีความเป็นไปได้ว่าจะทำเช่นนั้น
แม้ว่าอาซอยากจะพูดปลอบใจเธอว่าทุกอย่างต้องไม่เป็นอะไรก็ตาม แต่สำหรับตัวเขาในอดีตนั้นมองว่าอาเรียสำคัญกว่าบลิสที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างกะทันหัน จึงทำให้เขาไม่สามารถพูดออกไปแบบนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่อาเรียเกือบจะต้องสิ้นใจเพราะคลอดบลิสกับลิเป้ออกมา จนสุขภาพของเธอทรุดโทรมลง อาซเองก็เคยรู้สึกเสียใจและโทษลูกๆ ที่ทำให้อาเรียเป็นแบบนั้นอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว
บางทีหากตัวเขาในอดีตได้ยินเรื่องในอนาคตแบบนี้เข้าละก็ คงจะไม่ยอมให้อาเรียตั้งท้องและให้กำเนิดเด็กๆ ออกมาอย่างแน่นอน
อาซโอบกอดอาเรียเอาไว้และครุ่นคิดว่าจะตอบเธออย่างไรดี ลิเป้เฝ้ามองภาพนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือดอยู่ในมุมหนึ่งของสวนเรือนกระจก ขาของเธอไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาจนต้องทรุดนั่งลงกับพื้น
‘เป็นไปไม่ได้! ถึงจะรู้ว่าบลิสงี่เง่าก็เถอะ แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้! ’
จะอยู่เฉยๆ และปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ในเมื่อมีพลังเหมือนกัน แสดงว่าตนเองก็สามารถกลับไปยังอดีตนั่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
‘หากเป็นวันที่ไล่รูบี้ออกไปและเลื่อนงานเทศกาลเข้ามาละก็ อาจจะยังไม่สายไปก็ได้…! ’
เมื่อลองทบทวนความทรงจำอันใหม่ที่ถูกบลิสเปลี่ยนไปแล้วก็สามารถถึงรู้วันเวลาที่แน่ชัดขึ้นมาได้ จะมัวแต่ชักช้าไม่ได้แล้วสิ
สีหน้าของลิเป้ดูแน่วแน่ขึ้นมา เธอยันกระจกเอาไว้และลุกขึ้นมา
จากนั้นก็ใช้พลังมุ่งหน้ากลับไปยังอดีตที่บลิสก่อความเสียหายไว้ในทันที
***
“ด้วยเหตุนี้ หนูเลยย้อนมายังอดีตเพื่อหยุดบลิสเอาไว้ค่ะท่านพ่อ”
อาซเอามือกุมหน้าผากเมื่อได้ยินลิเป้อธิบายพร้อมกับหวนนึกถึงเรื่องราวนั้นขึ้นมา
เขาคิดไม่ออกว่าต้องเริ่มตำหนิจากตรงไหนและต้องถามอะไรออกไปดี
ท่ามกลางข้อมูลมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในหัว มีอยู่เพียงอย่างเดียวที่สามารถเข้าใจได้อย่างแน่ชัด นั่นก็คือบลิสกับลิเป้เป็นฝาแฝดที่มีพลังอย่างเดียวกัน
ลิเป้พูดต่อไปอย่างชัดถ้อยชัดคำต่อหน้าอาซที่ยังคงรู้สึกสับสนอยู่
“ตัวของท่านแม่และท่านพ่อในอนาคตไม่ได้หวังให้เป็นเช่นนี้เลยค่ะ”
แม้จะไม่รู้ว่าพวกเขาในตอนนี้คิดเช่นไรก็ตาม แต่ลิเป้ก็ไม่ได้พูดประโยคนั้นออกไป เธอจ้องมองอาซตรงๆ
แววตาของเธอกำลังรอคำตอบอย่างมุ่งมั่น ดูต่างจากบลิสที่เอาแต่ร้องไห้อยู่ตลอด
ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเด็กอายุเจ็ดขวบจริงๆ อาซไม่อยากจะเชื่อต่อสิ่งที่ได้เห็น
บลิสก็นิสัยอย่างหนึ่ง ลิเป้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ลูกของอาเรียกับเขานิสัยสุดโต่ง ไม่มีคำว่าตรงกลางเลยสักคน
“ไม่ใช่นะ! พอท่านแม่คลอดพี่กับลิเป้ก็เลยป่วยขึ้นมา ทุกคนเลยเกลียดเราต่างหาก! ”
“ไม่ใช่ฉันซะหน่อย คนอื่นเขาเกลียดเธอต่างหาก เพราะเธอเอาแต่ก่อเรื่องได้ทุกวันและยังชอบแกล้งป่วยเรียกร้องความสนใจอีกยังไงล่ะ”
“มะ ไม่ใช่ซะหน่อย! คนอื่นก็เกลียดเธอเหมือนกัน! และฉันก็เป็นพี่เธอด้วย! มาเรียกฉันว่าเธอไม่ได้นะ! “
“ทำตัวไม่สมกับเป็นพี่แล้วจะให้เรียกพี่ได้ยังไงล่ะ แค่เกิดออกมาก่อนไม่กี่นาทีแค่นั้นเอง โธ่เอ๊ย”
เทียบกับอายุเจ็ดขวบแล้วถือว่าเป็นการทะเลาะกันที่ดูรุนแรงมาก
ลิเป้กอดอกและโต้ตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นบลิสก็น้ำตารื้อขึ้นมา
“ฮึก ฮือ ฮืออออ! ”
จากนั้นก็ร้องไห้โฮและวิ่งเข้าหาอ้อมแขนของอาซ
เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว อาซจึงดึงบลิสเข้ามากอดไว้อย่างเป็นธรรมชาติ
ลิเป้ทอดสายตามองอาซใช้มือตบหลังบลิสเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถเดาความหมายได้ ก่อนจะปรับสีหน้าขึ้นมาใหม่และพูดออกมาว่า
“อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องจริงที่ท่านแม่ร่างกายอ่อนแอลงเพราะให้กำเนิดพวกหนู แต่ถึงอย่างนั้นท่านแม่ก็ไม่ได้เสียใจเลยค่ะ กลับกันหากอนาคตเปลี่ยนไปเพราะเหตุนี้ละก็ ท่านแม่คงเศร้าใจเป็นอย่างมากค่ะ เพราะฉะนั้นแล้วหนูเลยอยากพาบลิสกลับไป ก่อนที่เธอจะพูดจาเรื่อยเปื่อยและก่อเรื่องไปมากกว่านี้ค่ะ”
สีหน้าของลิเป้ดูเด็ดเดี่ยวราวกับจะบอกว่าเธอไม่มีทางถอยให้อย่างเด็ดขาด
เพราะอย่างนั้นอาซจึงถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในขณะที่กอดบลิสซึ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งเอาไว้ด้วย
“แล้วอาเรียป่วยได้ยังไงกัน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ที่จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่เขาตั้งใจจะถามบลิส แต่เพราะถูกลิเป้โจมตีอย่างรุนแรงบลิสจึงไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะตอบคำถามนี้ได้
นอกจากนั้นลิเป้ก็ดูฉลาดมากเกินกว่าเด็กอายุเจ็ดขวบ แถมยังพูดจาฉะฉานดูปราดเปรื่องอีกด้วย
และคงจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากกว่าถามเอาความจากบลิสเสียอีก
แต่เพราะลิเป้แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด อาซจึงพูดเสริมเข้าไปอีกว่า
“ไม่แน่ว่าบางทีหากได้รู้เรื่องนั้นแล้วละก็อาจจะหาทางแก้ไขมันได้ก็ได้”
แม้ว่านั่นอาจจะหมายถึงการเลือกไม่ให้กำเนิดบลิสและลิเป้ก็ตาม แต่เพื่อช่วยอาเรียแล้วละก็
อาซไม่พูดประโยคนั้นออกไป และอาจเป็นเพราะเช่นนั้นหรือไม่ก็เป็นเพราะอาซคือพ่อของตนแม้ว่าจะอยู่ในอดีตก็ตาม
ลิเป้จึงเชื่อใจอาซและเริ่มเล่าทุกอย่างที่ตนรู้ออกมา
“ที่จริงแล้วก่อนที่ท่านแม่จะคลอดพวกหนูออกมา ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงวันกำหนดคลอด แต่อยู่ๆ หัวใจของบลิสก็เกือบจะหยุดเต้นขึ้นมาค่ะ”
เพราะเหตุนั้นพลังของบลิสจึงตื่นขึ้นมา และนั้นก็คือปัญหา
สัญชาตญาณของบลิสที่รู้ว่าตนเองกำลังหมดจะลมหายใจไปนั้น ทำให้บลิสใช้พลังที่มีดิ้นรนเพื่อออกมาจากครรภ์ของอาเรีย
“เพราะอย่างนั้นหนูเลยพลอยตกอยู่ในสภาพที่เสี่ยงตายไปด้วยค่ะ และเพราะว่านั่นเป็นพลังที่ตื่นขึ้นมา เลยทำให้ท่านแม่ไม่ปลอดภัยตามไปด้วยค่ะ”
โชคดีที่ทั้งสามคนไม่มีใครได้รับอันตรายจนถึงชีวิต แต่ก็ไม่สามารถป้องกันผลเสียที่ตามมาได้
เพราะต้องคลอดเด็กสองคนที่พลังได้ตื่นขึ้นมา ทำให้อาเรียสลบไม่ได้สติอยู่นาน และแม้จะฟื้นขึ้นมาก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตปกติได้เหมือนกับเมื่อก่อน
บลิสที่หัวใจเกือบจะหยุดเต้นก็เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอ
“คงเป็นเพราะมันน่าตกใจและน่ากลัวเอามากๆ หนูเลยจำเรื่องตอนนั้นได้รางๆ ค่ะ แต่คนงี่เง่าอย่างบลิสกลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
ท่าทางนี่จะเป็นเรื่องที่บลิสไม่อยากได้ยิน เธอจึงเอาแต่มุดหน้าลงบนอกของอาซอย่างเงียบๆ
เพราะความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมา ลิเป้จึงหันหน้าไปทางอื่นและเบ้ปากขึ้นมา
มันร้ายแรงถึงขนาดนั้นเลยหรือนี่ แม้ว่าลิเป้จะพูดจบแล้วแต่อาซก็ไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย
นี่เป็นปัญหาที่รุนแรงพอๆ กับความรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้ฟัง แค่คิดก็รู้สึกเหมือนใจจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆ
และนอกประตูนั้น
‘เพราะเหตุผลแบบนี้…เนี่ยนะ เพราะว่าฉันป่วย เลยย้อนเวลามาเพื่อห้ามไม่ให้คลอดตัวเองออกมางั้นเหรอ…’
อาเรียตรวจทานเอกสารอย่างรวดเร็วและกลับมาที่ห้องทำงาน แต่ก็ไม่พบอาซอยู่ที่นั่น เธอจึงถามข้ารับใช้และเดินมาถึงหน้าห้องของบลิส
และก่อนที่จะเคาะประตูเข้าไปเธอก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังมาจากข้างใน และเมื่อได้ฟังบทสนทนานั้นอย่างเงียบๆ ก็ทำให้อาเรียถึงกับต้องกลั้นหายใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
…………………….