พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 277
นกแร้งสีดำร้องเสียงแหลมทีหนึ่ง กางปีกมหึมาออกอย่างเจ็บปวด จากนั้นกลายเป็นหมอกดำคละคลุ้งสลายไปในอากาศ
ยายแก่ตัวแข็งทื่อ สีหน้าซีดเซียว หนังหน้าสั่นเทิ้ม เศษหนังสีขาวร่วงกราวลงมาอย่างไม่คาดคิด
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าซีดเผือด ไม่อาจบังคับสมบัติวิเศษเหินหาวที่เหยียบอยู่ได้อีกต่อไป จึงแปลงเป็นแสงวิญญาณสายหนึ่งหายเข้าร่างไป จากนั้นคนทั้งคนร่วงลงล่างไป
สายตายายแก่ทะลุหมอกดำที่คละคลุ้งกวาดมองข้างล่าง จากนั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากกระตุกทีหนึ่งเลือดสดๆ พุ่งออกมาสายหนึ่ง นางเช็ดอย่างไม่แยแส แล้วหันหลังไล่ตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินหนีไป
เยี่ยเทียนหยวนนับว่าคำนวณผิดพลาดแล้ว เดิมเขานึกว่าด้วยโลหิตบริสุทธิ์เป็นกระสายเคลื่อนพลังวิญญาณทั่วร่างปล่อยกระบวนท่าห่วงตะวันย้อยดาราที่ยากจะสำแดงได้ด้วยตบะระดับนี้ของเขา หากทำร้ายยายแก่นั่นได้ละก็ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ห่างจากสำนักลั่วสยาแล้ว ด้วยระดับการรักชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์โดยเฉพาะที่ห่างจากระดับก่อกำเนิดเพียงก้าวข้ามธรณีประตูแค่ก้าวเดียว ไม่มีทางไล่ตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ อย่างไม่ลดละแน่นอน
กลับไม่รู้ว่ายายแก่คนนั้นเพราะหน้าตาที่อัปลักษณ์อย่างยิ่งยวดนี้ จิตใจได้บิดเบี้ยวถึงขีดสุดแล้ว ไม่สามารถพูดถึงด้วยเหตุผลทั่วไปได้
เยี่ยเทียนหยวนทำร้ายนางบาดเจ็บ กลับยิ่งกระตุ้นนิสัยยึดติดและประหลาดออกมา อย่างไรก็คิดแต่จะจับมั่วชิงเฉินให้ได้ เก็บไว้ชิงเปลือกในภายหลัง!
มั่วชิงเฉินยืนอยู่บนเรือเล็ก คนทั้งคนจะร่วงมิร่วงแหล่ นางฝืนขับเคลื่อนเรือเล็ก มือสั่นไม่หยุดแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ ยัยเด็กบ้า เจ้ายังคิดจะหนีไปไหนอีก?” หมอกดำคละคลุ้งพุ่งเข้ามาอบอวลอยู่รอบๆ เรือเล็ก ยายแก่ที่ขี่แมงป่องสีแดงเพลิงอยู่โผล่ออกมา
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีในทันใด ที่นางกลัวไม่ใช่ยายแก่นี่ไล่ตามมา หากแต่เป็นเยี่ยเทียนหยวนยามนี้เป็นเช่นไรบ้างแล้ว
ยายแก่เดินขึ้นมาก้าวหนึ่ง ใช้นิ้วมือบังคับเชยคางมั่วชิงเฉินขึ้น แล้วหัวเราะเสียงแหลมว่า “ยัยเด็กบ้า ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”
“เจ้า เจ้าทำอะไรเขาแล้ว?” มั่วชิงเฉินจิตใจตึงเครียด ริมฝีปากสั่นเทาแล้วรวบรวมความกล้าถามขึ้น
ยายแก่ชะงัก เพ่งพิศมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าประหลาด จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้พวกเจ้าเป็นคู่รักกัน!”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าเปลี่ยนทันที ดวงตาดูเหมือนมองทะลุได้กวาดมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ถึงโล่งอกว่า “ยังดี ความเป็นหยินยังอยู่!”
มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงก่ำ ด่าอย่างโมโหว่า “ยายแกบ้า เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ตกลงเจ้าทำอะไรเขากันแน่?”
ยายแก่กวาดมองนางอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ข้าไล่ตามเจ้าทัน เจ้าว่าเขาเป็นเช่นไรล่ะ ย่อมต้องตายแล้วเป็นธรรมดา!”
“พรวด!” มั่วชิงเฉินกระอักเลือดออกมาในทันใด น้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ หายใจแผ่วๆ ว่า “ไม่มีทาง เจ้าพูดเหลวไหล…”
พูดถึงตรงนี้ฝืนไม่ไหวอีกแล้ว ร่างกายร่วงลงข้างล่างไป
ยายแก่จับข้อมือของมั่วชิงเฉินไว้ โยนนางไว้บนหลังแมงป่อง ตบแมงป่องสองทีแล้ววาบออกไปไกลเหมือนเปลวไฟสายหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังสนับสนุนจากสำนักลั่วสยารุดมาแล้ว ค้นหาไปทั่วกลับไม่พบร่องรอยของผู้บำเพ็ญเพียรมารและนักพรตลั่วหยาง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่หนีกระจัดกระจายในที่สุดก็กลับถึงสำนักลั่วสยาติดๆ กัน หลังจากนับ กลับพบว่าหายไปเพียงหนึ่งคน ก็คือหัวหน้ากลุ่มชั่วคราวของทีมย่อยเหยากวงมั่วชิงเฉิน
เจ้าโถงโถงปฏิบัติงานสำนักลั่วสยานักพรตผิงชวนเดินไปเดินมาอยู่ในโถง เดินๆ อยู่จู่ๆ ก็หยุดลง หันหน้าพูดกับผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ ว่า “ศิษย์ผู้ดูแลจาง ท่านผู้ดูแลกลับมาหรือยัง?”
ศิษย์ผู้ดูแลจางคารวะว่า “เจ้าโถง ท่านผู้ดูแลยังไม่กลับมาขอรับ”
“นี่จะทำเช่นไรดี ศิษย์น้องลั่วหยางท่านนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของพรรคเหยากวง อีกทั้งยังเป็นลื่อของเสวียนหั่วเจินจวิน บัดนี้เป็นตายเท่ากัน เรื่องนี้เกรงว่าจะอธิบายยากแล้ว” นักพรตผิงชวนขมวดคิ้วบ่นพึมพำคนเดียว
ศิษย์ผู้ดูแลจางปากขยับแล้วขยับอีก อดพูดแทรกไม่ได้ว่า “ท่านเจ้าโถง นักพรตลั่วหยางไม่สนใจความแตกต่างของตบะไปช่วยคนเพียงลำพัง พูดถึงที่สุดที่มีผลลัพธ์เช่นนี้ก็เป็นเพราะตัวเขาเอง ศึกเต๋ามารผู้บำเพ็ญเพียรที่ดับสูญมีนับไม่ถ้วน หากสำนักลั่วสยาของเราต้องรับผิดชอบหมดละก็ จะรับผิดชอบไหวอย่างไรกัน?”
นักพรตผิงชวนถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งว่า “เจ้ารู้ว่านักพรตลั่วหยางไปช่วยใครอย่างนั้นหรือ?”
“ได้ยินว่า เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งของพรรคเหยากวง ใช่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นอยู่ห้องเดียวกับมั่วหลีลั่วศิษย์ของหรูอวี้เจินจวิน ดูเหมือนชื่อมั่วชิงเฉิน” ศิษย์ผู้ดูแลจางเอ่ย
บัดนี้ผู้บำเพ็ญเพียรสำนักต่างๆ อยู่ในสำนักลั่วสยามากเหลือเกิน เขาสามารถจำชื่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นได้ก็ไม่ง่ายแล้ว
แล้วก็ได้ยินนักพรตผิงชวนว่า “ก็คือนางหนูน้อยที่ชื่อมั่วชิงเฉิน ศิษย์ผู้ดูแลจาง เกรงว่าเจ้าจะไม่รู้ นางเป็นศิษย์นักพรตเหอกวง อายุยี่สิบสองสร้างรากฐาน อายุสามสิบเก้าเข้าระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่ถูกคาดหวังมากที่สุดในรุ่นเด็กอายุน้อยของเหยากวง!”
ศิษย์ผู้ดูแลจางเบิกตากว้าง เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “อะไรนะขอรับ อายุสามสิบเก้าปีอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่ายังเร็วกว่าเซียนน้ำแข็งตั้งหลายปี?”
“เจ้าว่า เหยากวงสูญเสียผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะทีเดียวสองคน จะยอมปล่อยไปเช่นนี้หรือ?” นักพรตผิงชวนถอนใจว่า
ศิษย์ผู้ดูแลจางนิ่งเงียบพูดไม่ออก
นักพรตผิงชวนเอ่ยอีกว่า “ยิ่งกว่านั้นมีศิษย์ผู้ดูแลสืบมาได้ นักพรตเหอกวงท่านนั้นรักศิษย์ยิ่งชีวิต เคยท้าประลองกระบี่ลำพังคนเดียวกับนิกายเหอฮวนเพื่อนาง ไม่เสียดายที่สองสำนักต้องร้าวฉาน นักพรตเหอกวงหากรู้ว่าศิษย์ของเขาเป็นตายเท่ากัน เกรงว่าจะไม่ยอมเลิกรา”
“เช่นนั้น เช่นนั้นควรทำเช่นไรดีขอรับ?” ศิษย์ผู้ดูแลจางแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง เจ้าว่าสำนักพวกนั้น อยู่ดีๆ ส่งศิษย์อัจฉริยะพวกนี้มาทำอะไร เกิดสูญเสียขึ้นมาใครจะรับไหวล่ะ
นักพรตผิงชวนนั่งลงว่า “บัดนี้ก็ได้แต่รอท่านผู้ดูแลกลับมาค่อยว่ากันแล้ว ศิษย์ผู้ดูแลจาง ท่านผู้ดูแลกลับมาแล้ว รีบแจ้งข้าทันที”
ในใจกลับถอนใจว่า ท่านผู้ดูแลกลับมาหรูอวี้เจินจวินและนักพรตเหอกวงของพรรคเหยากวงก็ต้องกลับมาพร้อมกันด้วย ช่างปวดศีรษะจริงๆ เลย
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น พบว่าตนอยู่ในถ้ำมืดมิดแห่งหนึ่ง มีเพียงบนหลังคาถ้ำแขวนโคมเขาขาวไว้อันหนึ่ง เปล่งแสงสลัวๆ สะท้อนจนในถ้ำดูยิ่งเงียบเชียบวังเวงขึ้นอีก
ติ๋ง ติ๋ง
เสียงน้ำหยดไม่รู้ดังมาจากไหน
“ที่นี่ที่ไหน?” มั่วชิงเฉินคิดพลาง มองภายในร่างกายทีหนึ่ง พบว่าสภาพย่ำแย่มาก
เดิมทีนางก็บาดเจ็บเพราะปราณวิญญาณมารอยู่แล้ว ปราณวิญญาณมารคือสภาพสูงสุดของปราณมาร แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรมารถูกปราณวิญญาณมารทะลวง ยังบาดเจ็บได้เพราะรับไม่ไหว สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าแล้วยิ่งผีซ้ำด้ำพลอย
ปราณวิญญาณมารที่ทำลายล้างอยู่ในเส้นลมปราณภายในนางยามทะลวงไปถึงตันเถียนที่ปราณวิญญาณเซียนอยู่ก็จะถูกบีบถอย ก็เพราะเช่นนี้ นางถึงฝืนทนเดินทางได้
กลับถาดไม่ถึงว่าตลอดทางถูกยายแก่ตามฆ่า อีกทั้งได้ยินข่าวการดับสูญของเยี่ยเทียนหยวน เมื่อดวงจิตได้รับความกระทบกระเทือนอาการบาดเจ็บก็รุนแรงขึ้น
มั่วชิงเฉินลองทีหนึ่ง ยามนี้แม้แต่พลังวิญญาณก็ยากจะโคจรแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรักษาอาการบาดเจ็บเลย
ในยามนี้เองเสียงดังพรึบๆ ลอยมา นางจับระเบิดสะท้านฟ้าไว้เตรียมตัว กลับพบว่าคือค้างคาวไม่กี่ตัวบินผ่านเหนือศีรษะ
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
“ยัยเด็กบ้า เจ้าก็รู้จักกลัวหรือ?” คนที่เดินเข้ามาคือยายแก่ประหลาดคนนั้นจริงๆ เห็นมั่วชิงเฉินหลังพิงกำแพงถ้ำสีหน้าซีดเซียว จึงหัวเราะเสียงแหลมว่า
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่นไม่ตอบโต้
“ไม่พูด?” ยายแก่พูดพลางยื่นมืออันอ่อนช้อยออก จับแขนของมั่วชิงเฉินไว้ จากนั้นสายตาเป็นประกาย ชมว่า “ดีนี่นางหนู ที่แท้เจ้าเพิ่งจะสี่สิบสามปี!”
ที่แท้การกระทำของนางเมื่อครู่ คือกำลังทดสอบอายุของกระดูกมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินอายุสามสิบเก้าเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย อายุสี่สิบกลับพรรคเหยากวง หลังจากบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักสองปีก็ออกศึกสำนักลั่วสยา บัดนี้เวลาผ่านไปครึ่งปี อายุสี่สิบสามปีพอดี
ยายแก่เผยสีหน้าพอใจมาก ปากจิ๊ๆ ว่า “ดีนี่นางหนู เจ้าช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ” พูดถึงตรงนี้แสงแห่งความอิจฉาวาบผ่านตา แล้วหยิบจานทดสอบวิญญาณออกมาอันหนึ่งใช้กำลังบังคับมั่วชิงเฉินวางมือไว้ข้างบน
จานทดสอบวิญญาณเปล่งแสงสี่สีออกมาในชั่วพริบตา ยากแก่พูดเสียงหลงว่า “เป็นไปได้อย่างไร!”
พูดถึงตรงนี้จ้องมั่วชิงเฉินไว้เขม็ง เสียงแหลมว่า “ยัยเด็กบ้า เจ้ามีสี่รากวิญญาณ?”
มั่วชิงเฉินเกลียดยายแก่บ้านี่มาก หลังจากนางฟื้นขึ้นมาก็ไม่กล้าไปนึกถึงเรื่องของเยี่ยเทียนหยวนอีก ทว่าต่อหน้าใบหน้าอัปลักษณ์นี้ หน้าตาของเยี่ยเทียนหยวนก็ลอยขึ้นในสมองอีกครั้ง
“ชิงเฉิน รีบหนีไป” นี่คือคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับนาง
นางไม่กล้าคิด เยี่ยเทียนหยวนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้รัศมีของอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็กต้องมาดับสูญเช่นนี้ อีกทั้งยังตายเพราะช่วยนาง หนี้น้ำใจเช่นนี้ นางควรจะตอบแทนเช่นไร?
นึกถึงตรงนี้ น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
เพี้ยะเสียงหนึ่ง มั่วชิงเฉินรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แล้วก็ได้ยินยายแก่เอ่ยเสียงแหลมว่า “ยัยเด็กบ้า ข้าถามเจ้าอยู่ ไยเจ้าถึงมีสี่รากวิญญาณ?”
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา สองมือกำหมัดแน่น ปล่อยให้เล็บจิกเข้าเนื้อข่วนจนฝ่ามือแผลเต็มไปหมด แล้วก้มมองยายแก่หัวเราะว่า “ข้าก็มีสี่รากวิญญาณนี่แหละ เป็นอะไร เจ้าผิดหวังหรือ?”
หากต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยละก็ สามารถทำให้ยายแก่บ้านี่ตกจากก้อนเมฆลงพื้นก็ยังดี
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” ยายแก่สีหน้าผิดหวังอย่างถึงที่สุด ส่ายศีรษะไม่หยุด จากนั้นจู่ๆ ก็จับมือของมั่วชิงเฉินขึ้น ยื่นจิตตระหนักเข้าไป
ผ่านไปเนิ่นนาน นางถึงคลายมืออย่างงงงัน บ่นพึมพำคนเดียวว่า “แปลก ในร่างไม่มีสิ่งผิดปกติ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ ไม่มีเหตุผลนี่นา คุณสมบัติด้อยเช่นนี้เหตุใดถึงสามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลายด้วยอายุเช่นนี้ได้นะ?”
มั่วชิงเฉินใบหน้าไม่กระโตกกระตาก ในใจกลับประหลาดใจมาก นางไม่พบปราณเซียนมารที่อยู่ในตันเถียนตนหรือ?
นางกลับไม่รู้ว่า นี่ก็คือคุณสมบัติที่มีเหมือนกันของสามไฟอัศจรรย์แล้ว
สามไฟอัศจรรย์ขอเพียงไม่ปล่อยออก คนอื่นสำรวจขึ้นมาจะไม่มีทางพบ ยิ่งกว่านั้นเพราะแหล่งกำเนิดไฟอัศจรรย์อยู่บนตันเถียน ต่อให้มีความประหลาดในตันเถียน ก็ถูกไฟอัศจรรย์บดบังไว้
มองจากบางแง่มุม “นี่ก็เป็นความสมดุลของทางสวรรค์ชนิดหนึ่ง ไฟอัศจรรย์ดึงคนที่จ้องมันตาเป็นมันมาหาผู้บำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วน กลับก็ให้การปกป้องแก่พวกเขาอย่างสุดความสามารถ
สายตาที่เหมือนวิญญาณแค้นของยายแก่ตกลงบนหน้ามั่วชิงเฉิน ตกตะลึง จากนั้นสำรวจอีกครั้งอย่างไม่ตายใจ แล้วหน้าถอดสีว่า “ไม่ถูก ยัยเด็กบ้า คาดไม่ถึงว่าที่เจ้าบาดเจ็บจะเพราะปราณวิญญาณมาร!”
มั่วชิงเฉินใจตกไปอยู่ตาตุ่ม แย่แล้ว ไม่ต้องสนว่าเพราะเหตุใดนางถึงไม่พบปราณเซียนมารที่อยู่ในตันเถียนตน ทว่าอาการบาดเจ็บนี้กลับปิดไม่ได้แล้ว
“พูด เหตุใดเจ้าถูกปราณวิญญาณมารทำร้ายแล้วยังมีชีวิตรอดอยู่ได้?” ยายแก่ถามเสียงแหลม นางไม่สนใจว่านางหนูนี่เจอปราณวิญญาณมารที่ไหน ประเด็นคือเพราะเหตุใดนางแตะถูกปราณวิญญาณมารแล้วยังรอดมาได้ถึงบัดนี้ ต้องรู้ว่า นางในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์หากพบปราณวิญญาณยังต้องหลีกทางให้
หากพูดว่านางหนูนี่ด้วยคุณสมบัติรากวิญญาณเทียมกลับสามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ไม่แน่นี่ก็คือสาเหตุ!