พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 279
“เข้ามา” เสียงนิ่งเรียบของกู้หลีลอยมา กลับฟังออกว่ามีความเหนื่อยล้าเหนือจากความทุ้มต่ำสงบเมื่อเทียบกับยามปกติ
นักพรตจื่อซีชะงักครู่หนึ่ง ถึงผลักประตูเข้าไป แล้วก็เห็นกู้หลีนั่งเงียบๆ อยู่หน้าโต๊ะ นิ้วมือเรียวยาวดุจไม้ไผ่ลูบไล้ขวดน้ำเต้าสีเทาเงินบนใบหนึ่ง บนโต๊ะ วางจอกหยกขาวไว้สองใบ
นักพรตจื่อซีถอนใจในใจ เดินไปถึงข้างโต๊ะในไม่กี่ก้าว สะบัดแขนเสื้อกว้างสีขาว แล้วนั่งลงตรงข้ามกู้หลี
“ศิษย์น้องเล็ก…” นักพรตจื่อซีเรียกเสียงหนึ่ง กลับไม่รู้ว่าพูดอะไรต่อไปดี
กู้หลีเลิกตาขึ้นเบาๆ ดวงตากระจ่างใสอ่อนโยนแต่เก่าก่อนปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดฝอย รู้สึกถึงความอำมหิตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล กลับยังคงอมยิ้มว่า “ศิษย์พี่ใหญ่”
นักพรตจื่อซีถอนใจอีกครั้ง ยื่นมือขาวดั่งหยกตบไหล่เขาเบาๆ ทีหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าก็อย่ากังวลเกินเหตุ ตะเกียงเจ้าชะตาของศิษย์น้องลั่วหยางยังติดอยู่ ในเมื่อเขาไปช่วยนางหนูชิงเฉิน ไม่แน่อาจถูกผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นจับไปด้วยกัน เช่นนั้นนางหนูชิงเฉินต้องไม่เป็นไรแน่นอน”
กู้หลีเสียงยิ่งทุ้มต่ำลงว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เหอกวงไปถามมานานแล้ว ตะเกียงเจ้าชะตาของศิษย์น้องลั่วหยางแม้ยังติดอยู่ กลับมืดมนเหลือแสน อยู่ในสภาพติดๆ ดับๆ นี่หมายความว่าต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ พร้อมจะดับสูญได้ตลอดเวลา จากที่เหอกวงมอง สถานการณ์เช่นนี้ของศิษย์น้องลั่วหยางเหมือนหลังจากประมือกับผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นแล้วบาดเจ็บสาหัสไม่รู้ตกระกำลำบากอยู่ที่ใด ส่วนชิงเฉินน่าจะตกอยู่ในเงื้อมมือผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นแล้ว”
นักพรตจื่อซีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วตบโต๊ะอย่างแรงว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นอยู่ดีๆ จับนางหนูชิงเฉินไปทำอะไร นางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเท่านั้น ไยจึงไปตอแยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ผู้ทรงเกียรติเข้าล่ะ? ตามที่ศิษย์หลานต้วนบอกมา ยามนั้นผู้บำเพ็ญเพียรมารผู้นั้นเหมือนมองไม่เห็นผู้อื่น ก็พุ่งตรงไปที่ชิงเฉินเลย!”
กู้หลีส่ายหน้าช้าๆ “นี่ก็เป็นจุดที่เหอกวงไม่เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นข้าจะบีบให้ฝ่ายตรงข้ามให้คำตอบเรา ต่อให้มอบผู้บำเพ็ญเพียรมารผู้นั้นออกมาไม่ได้ อย่างน้อยต้องบอกที่มาที่ไปของผู้บำเพ็ญเพียรมารผู้นั้นออกมา เช่นนี้ถึงวางแผนก้าวต่อไปได้”
นักพรตจื่อซีใจเต้นแรง มิน่าหลายวันมานี้ศิษย์น้องเล็กเข่นฆ่าอย่างผิดปกติ ที่แท้กำลังสร้างแรงกดดันให้อีกฝ่าย ทว่าต่อจากนั้นนึกอะไรได้กลับสีหน้าเปลี่ยนทันทีว่า “ศิษย์น้องเล็ก วางแผนก้าวต่อไปหมายความว่าเช่นไร? หรือว่า…เจ้าคิดจะบุกแดนไท่เป๋าตามลำพัง!”
กู้หลีมองนักพรตจื่อซีนิ่งเรียบปราดหนึ่ง ไม่ตอบ
นิ่งเงียบ ก็คือยอมรับ นักพรตจื่อซีลุกพรวดขึ้นมา เอ่ยเสียงแหลมว่า “ไม่ได้!”
เห็นกู้หลีตีหน้าตาย นักพรตจื่อซีนั่งลงมาอีก แอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าพรสวรรค์เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครก็จริง โดดเด่นในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็จริง ทว่าแดนไท่เป๋าเป็นสถานที่อะไร? นั่นคือรังของผู้บำเพ็ญเพียรมาร ไม่พูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ หมัวจวินระดับก่อกำเนิดก็มีนับร้อยคนแล้ว เจ้าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าคนเดียววิ่งไปแดนไท่เป๋า มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ?”
กู้หลีเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นห่วง เหอกวงย่อมไม่ทำอะไรโดยพลการ”
นักพรตจื่อซีส่ายศีรษะติดๆ กันว่า “ไม่ได้ ศิษย์น้องเล็ก วันนี้ข้าขอบอกเจ้าในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ จงล้มเลิกความคิดจะไปแดนไท่เป๋าแต่เนิ่นๆเสีย วันนั้นรู้ว่านางหนูชิงเฉินเกิดเรื่อง ข้าก็กลัวเจ้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถึงรีบตามท่านอาจารย์อาเสวียนหั่วมา หากเจ้าไม่ฟังคำเตือน ก็อย่าว่าที่ข้าต้องบอกอาจารย์แล้ว”
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กู้หลีเอ่ยเสียงเบาว่า “หากพวกเรามีภัย อาจารย์ท่านก็ไม่มีทางละเลยไม่สนใจเช่นกัน”
นักพรตจื่อซีกำหมัดแล้วกำหมัดอีก ถึงเอ่ยว่า “ไม่มีทางละเลยไม่สนใจไม่ได้หมายความว่ารู้ว่าเป็นทางตายยังไปรนหาที่ ศิษย์น้องเล็ก พวกเราคนบำเพ็ญเพียร จำได้ว่าเจ้าเคยพูดไว้ทางที่ยิ่งใหญ่ไม่ไร้น้ำใจ หากแต่ไท่ซ่างลืมรัก มีรักไม่ถูกรักนำ ไม่ถูกรักกักขัง ควบคุมเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนาได้ตามใจถึงเป็นสิ่งที่คนบำเพ็ญเพียรเช่นเราปรารถนา นางหนูชิงเฉินเป็นคนดีมาก ข้าก็ชอบนาง ทว่าโอกาสวาสนา เคราะห์กรรมฟ้ากำหนด จะให้เมื่อนางเกิดเรื่องแล้ว เจ้าก็เอาตัวเองไปแลกด้วยคงไม่ได้!”
กู้หลีนั่งเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน สีหน้านิ่งเรียบละมุน กลับส่งความรู้สึกโศกเศร้าเงียบๆ ลึกเข้ากระดูกออกมา
นักพรตจื่อซีตบไหล่เขาเบาๆ ทีหนึ่งว่า “ศิษย์น้องเล็ก บัดนี้เหยากวงเรา ทนสูญเสียผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะเพิ่มอีกคนหนึ่งไม่ไหวแล้ว”
พูดพลางลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็หันหน้ามาว่า “ศิษย์น้องเล็ก ปีนั้นศิษย์น้องลั่วหยางปฏิเสธการแต่งงานกับศิษย์หลานต้วน ศิษย์ในสำนักต่างลือกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังว่าเขาพึงใจต่อนางหนูชิงเฉิน ข้ายังเห็นเป็นเรื่องตลก บัดนี้ดูแล้วศิษย์น้องลั่วหยางกลับมีใจรักนางหนูชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง หากพวกเขาสามารถแคล้วคลาดปลอดภัย ก็เรียกได้ว่าสวรรค์บันดาลให้เป็นคู่ชีวิตจริงๆ ดีไม่ดีถึงเวลาเขาชิงมู่เราจะได้มีเรื่องมงคลที่หายากแล้ว”
พูดจบผลักประตูออกลอยพลิ้วไปแล้ว
มือที่กู้หลีลูบขวดน้ำเต้าสุราสีเทาเงินชะงัก จากนั้นเทสุราเต็มจอก แหงนหน้าดื่มลงไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านหาหมิงจ้าวมีธุระหรือ?” นักพรตหมิงจ้าวรีบร้อนรุดมา
นักพรตจื่อซีปรายตามองไปทางทิศทางห้องของกู้หลี เอ่ยเสียงเบาว่า “สองสามวันนี้เจ้าคอยจับตาศิษย์น้องเล็กไว้ อย่าให้เขาทำอะไรคนเดียวเด็ดขาด”
นักพรตหมิงจ้าวสีหน้าลำบากใจว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าสู้ศิษย์น้องเล็กไม่ได้หรอกนะ…”
นักพรตจื่อซีโกรธจนตบนักพรตหมิงจ้าวไปทีหนึ่ง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าตีกับศิษย์น้องเล็กเสียหน่อย หากศิษย์น้องเล็กมีอะไรผิดปกติ เจ้าไม่รู้จักมาแจ้งข้าหรือไร!”
“เอ่อ รู้แล้ว” นักพรตหมิงจ้าวนวดศีรษะอย่างน้อยใจ
หลังจากนั้นไม่นาน เฮยหมิงหมัวจวินก็ส่งข่าวของอูเย่ว์มา และพูดอย่างชัดเจนว่าทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนการมอบคนออกมา กลับเป็นไปไม่ได้แล้ว หากทางนี้ยังไม่ยอมเลิกรา เช่นนั้นก็ได้แต่คอยรับมือแล้ว
ส่วนวันที่สองที่รู้ข่าวนี้ นักพรตหมิงจ้าวก็ตกใจจนหน้าถอดสีไปหานักพรตจื่อซี ตะโกนว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ แย่แล้ว ศิษย์น้องเล็กหายไปแล้ว”
นักพรตจื่อซีหน้าถอดสี เลิกคิ้วว่า “บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าหากศิษย์น้องเล็กมีอะไรผิดปกติให้รายงานข้า?”
นักพรตหมิงจ้าวปิดศีรษะไว้อย่างไม่รู้ตัวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องเล็กเชิญข้าดื่มสุรา ใครจะรู้ว่าพอข้าตื่นมา ก็ไม่เห็นเขาแล้ว…”
นักพรตจื่อซีโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เคาะมือที่นักพรตหมิงจ้าวปิดศีรษะไว้อย่างแรงทีหนึ่งว่า “ดื่มสุรา เจ้า เจ้าจะให้ข้าว่าอะไรเจ้าดี หากศิษย์น้องเล็กเกิดเรื่อง ดูสิอาจารย์จะละเว้นเจ้าหรือไม่!” พูดจบอัญเชิญดอกบัวหยกขาวออกมากระโดดขึ้นไป
“ศิษย์พี่ใหญ่?” นักพรตหมิงจ้าวเรียก
นักพรตจื่อซีทำตาเหลือกว่า “ยังไม่รีบตามไปอีก!” พูดจบดอกบัวหยกขาวลากลำแสงออกสายหนึ่ง หายลับไปแล้ว
ในถ้ำที่มืดมน ค้างคาวหลายตัวบินพรึบๆ ผ่านไป พัดฝุ่นตลบขึ้นมา
มั่วชิงเฉินนั่งขัดสมาธิอย่างไม่รู้สึกรู้สา หลับตาบำเพ็ญเพียรอยู่
วันเวลาเหล่านี้สงบใจบำเพ็ญเพียร ในใจนางกลับมีความคิดที่ใจกล้าความคิดหนึ่ง
ในเมื่อปราณเซียนมารเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหวาดกลัวหนักหา เช่นนั้นนางก็สามารถใช้ปราณเซียนมารเป็นท่าไม้ตายใช่หรือไม่นะ?
หากชิงเปลือก ถึงเวลาดวงจิตของอีกฝ่ายต้องเข้ามาในร่างตนแน่นอน เพื่อแย่งชิงสิทธิ์การควบคุมร่างกายกับดวงจิตของตน ดังนั้นกฎเหล็กข้อหนึ่งของการชิงเปลือก ก็คือสามารถทำการชิงเปลือกได้เฉพาะกับคนที่ตบะต่ำกว่าตนเท่านั้น ความห่างของตบะยิ่งมาก โอกาสความสำเร็จก็ยิ่งสูง
สำหรับยายแก่นั่นแล้ว นางต้องคิดแน่นอนว่าต่อให้ตนถึงระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ด้วยตบะระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ของนางทำการชิงเปลือกต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรเสียว่ากันตามเหตุผลทั่วไปแล้ว ดวงจิตระดับก่อแก่นปราณระยะต้นและดวงจิตระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์แตกต่างกันมากเหลือเกิน
ทว่านางคำนวณแล้วคำนวณอีกกลับไม่รู้ว่าตนไม่เพียงแต่จิตตระหนักแข็งแกร่งมาแต่กำเนิด ยังฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา บวกกับปราณเซียนมาร ถึงเวลาใครจะชนะยังไม่แน่เลย
นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินรอยยิ้มเยาะที่มุมปาก แต่กลับต้องสีหน้าเปลี่ยนทันที มีคนมาแล้ว!
ไม่ผิดจากที่คาด หลังจากนั้นไม่นานอูเย่ว์ที่ไม่เห็นมาครึ่งปีก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านาง
ระยะนี้มั่วชิงเฉินตั้งใจบำเพ็ญเพียร ปล่อยให้ผมข้างหน้ายาวขึ้นก็ไม่มีกะจิตกะใจดูแล ไหนๆ ไม่ว่าหน้าตาจะเป็นเช่นไรก็ถูกอีกฝ่ายเห็นไปนานแล้ว ไม่มีอะไรน่าปิดบังอีก
จ้องโฉมหน้างามหยดย้อยของคนตรงหน้า แววกระตือรือร้นแวบหนึ่งพาดผ่านตาของอูเย่ว์ ยื่นมือลูบไล้ใบหน้าของมั่วชิงเฉินว่า “อายุน้อยช่างดีจริงๆ…รูปโฉมงามเช่นนี้…นางหนู เจ้าช่างได้รับความโปรดปรานจากฟ้าแต่เพียงผู้เดียวจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าคือร่างฮุ่นตุ้น เป็นร่างฮุ่นตุ้นนะ!” พูดถึงตอนหลังสีหน้ายิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น เขย่าร่างกายของมั่วชิงเฉินไม่หยุด
มั่วชิงเฉินทนรับอย่างไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้นางทำตามใจ ในใจกลับเต้นตึกตักทีหนึ่ง ร่างฮุ่นเต้นคือะไร?
อูเย่ว์กลับไม่ได้แก้ข้อสงสัยให้นาง กลับพึมพำคนเดียวว่า “แปลก แต่โบราณมาร่างฮุ่นตุ้นล้วนมีห้ารากวิญญาณ นางหนูเจ้ากลับมีสี่รากวิญญาณ นี่เป็นเพราะอะไรนะ? ทว่าสภาพเจ้าเช่นนี้ ต้องเป็นร่างฮุ่นตุ้นชัดๆ อย่างไม่ต้องสงสัยนี่นา!”
อูเย่ว์ส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ เดินไปมาสองก้าว สายตาที่ตกลงบนใบหน้างามดุจเซียนของมั่วชิงเฉินกลับหนักหน่วงขึ้นมา “นางหนูน้อย ไม่คิดว่าฐานะเจ้าจะไม่ธรรมดา ครึ่งค่อนปีมานี้ทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าต้องโกลาหลเพราะเรื่องของเจ้า จิ๊ๆ ยังมีเจ้าเด็กบ้านั่นอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นร่างหยางบริสุทธิ์…”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที ใจกลับเต้นแรงขึ้นมา
เนื่องจากการอาละวาดของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของเหยากวง เรื่องที่มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนถูกผู้บำเพ็ญเพียรมารทำร้าย จึงถูกลือกระฉ่อนไปทั่วแล้ว สถานการณ์ของทั้งสองคนรวมทั้งฐานะ ตบะ อาจารย์ กระทั่งข่าวลือระหว่างทั้งสองคนล้วนเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วแล้ว ครึ่งค่อนปีนี้อูเย่ว์ใช้ความสัมพันธ์ไปไม่น้อยเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ประหลาดของมั่วชิงเฉิน เรื่องพวกนี้ย่อมก็เข้าหูนางมาเช่นกัน ในใจกลับเสียดายเล็กน้อยหากรู้เร็วกว่านี้ วันนั้นก็ควรจับเจ้าเด็กบ้านั่นมาด้วยกัน รอหลังจากตนชิงเปลือกแล้วเอาเขามาเป็นหรูติ่ง ดีไม่ดีจะฟื้นฟูตบะได้อย่างรวดเร็ว
“ไยข้าถึงไม่รู้ แหะๆ พวกเจ้าสองคน ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมจริงๆ เลย…” อูเย่ว์เพ่งพิศมั่วชิงเฉินพลางหัวเราะด้วยสีหน้าประหลาด
มั่วชิงเฉินเข้าใจความหมายในคำพูดนางในชั่วพริบตา กลับเพราะในใจมีแผนการเช่นนั้นไว้แล้วจึงไม่หุนหันพลันแล่นเช่นแต่ก่อนอีก เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูด เมื่อนึกถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนไม่ได้ดับสูญ ในใจก็เกิดความดีใจอย่างพูดไม่ออก
อูเย่ว์เห็นมั่วชิงเฉินไม่พูด ยื่นมือออกโยนขวดหยกข้ามไปใบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “นางหนูคนดี ในนี้คือโอสถวิญญาณที่ข้าหามาด้วยความลำบาก เริ่มตั้งแต่วันนี้ เจ้ากินเดือนละหนึ่งเม็ด”
มั่วชิงเฉินกวาดมองขวดหยก แล้วยิ้มเยาะว่า “ข้าไม่กินเสียอย่างเจ้าจะทำเช่นไร?”
หากแสดงออกอย่างว่าง่ายเกินไป ผิดกับเมื่อก่อนเกินไปดีไม่ดีจะทำให้นางสงสัย
“ไม่กิน?” อูเย่ว์เดินเข้าไปก้าวหนึ่งจับคางของมั่วชิงเฉินขึ้นมา เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้ากล้าไม่กิน ข้าก็จะฆ่าคนรักของเจ้า ดูสิเจ้าจะทำใจได้หรือไม่!”
พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงละมุนลง ลูบไล้แก้มของมั่วชิงเฉินว่า “นางหนูคนดี โอสถวิญญาณนี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าละเมอเพ้อหา เจ้าวางใจได้ สำหรับร่างกายของเจ้า ยายยังทะนุถนอมกว่าเจ้าอีก!” พูดจบส่งสายตาเตือนมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วหันหลังจากไป