พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 286
“ศิษย์น้องเล็ก…” เห็นฮวาเชียนซู่ไล่ตามอสูรเขาเดียวไป ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผมดกดำชุดงามดุจเซียนคนหนึ่งสีหน้าซีดลงทันที จะร่อนลงไป
กลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรมารที่อยู่ข้างๆ รั้งไว้ “ศิษย์น้องสาม เจ้าอย่าวู่วาม”
“ศิษย์พี่รอง เจ้าขวางข้าไปไย อสูรเขาเดียวนั่นเป็นอสูรปีศาจขั้นห้าเชียวนะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงร้อนใจว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่อยู่ข้างๆ ว่า “ศิษย์น้องสามเจ้าเป็นห่วงจนรนจริงๆ ด้วยพลังความสามารถของศิษย์น้องเล็ก รับมืออสูรปีศาจขั้นห้าก็ไม่คณนามือ แต่พวกเรานี่สิ ไปแล้วกลับจะสร้างความวุ่นวายเปล่าๆ! อีกอย่างศิษย์น้องเล็กเป็นหัวหน้ากลุ่ม เขาไม่ได้สั่ง อย่างไรเราก็ย้อนกลับตามแผนการเดิมดีกว่า”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกัดปาก แล้วบินไปทางทิศตะวันตกตามผู้บำเพ็ญเพียรมารทั้งหมดไปอย่างไม่เต็มใจ
อสูรเขาเดียวมองดูชายที่ร่อนลงหน้ามัน แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างระแวง ผู้ชายคนนี้แม้มีตบะเพียงระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ ทว่ามันกลับรู้สึกถูกการคุกคามโดยสัญชาตญาณ
ฮวาเชียนซู่กวาดมองหญิงสาวที่หมอบอยู่บนหลังอสูรเขาเดียวปราดหนึ่ง หญิงผู้นั้นไม่ขยับเขยื้อน ผมสยายออกบังโฉมหน้าไว้ ชุดเขียวที่ใส่เรียบง่ายไม่มีอะไรโดดเด่น ดูสัญลักษณ์ของสำนักใดๆ ไม่ออก
หญิงสาวหมดสติที่หมอบอยู่บนหลังอสูรเขาเดียว น่าสนใจ! ในตาฮวาเชียนซู่ฉายแววพินิจพิเคราะห์ แล้วเดินเข้าใกล้มาก้าวหนึ่ง
“เจ้าตัวเล็ก ตามข้ากลับนิกายมารแดงเป็นเช่นไร?” ฮวาเชียนซู่มองอสูรเขาเดียวที่หวาดหวั่นแล้วถามอย่างเอื่อยเฉื่อย
อสูรเขาเดียวร้องยาวเสียงหนึ่ง แล้วหันหลังวิ่งไป
ฮวาเชียนซู่หัวเราะ แสงสีดำบนเท้าวาบขึ้น ร่างกายบินขึ้นร่อนลงหน้าอสูรเขาเดียวในชั่วพริบตา ที่แท้อาวุธเวทเหินหาวของเขาก็คือรองเท้าที่ใส่อยู่
อาวุธเวทเหินหาวประเภทรองเท้าเป็นของที่ล้ำค่าเป็นพิเศษ เพราะในบรรดาอาวุธเวทเหินหาวระดับเดียวกันอาวุธเวทเหินหาวประเภทรองเท้าต้องเร็วกว่าอย่างอื่นสามส่วน!
อสูรเขาเดียวร้องเสียงหนึ่ง ยกขาหน้าขึ้นสูง มั่วชิงเฉินที่อยู่บนหลังถูกสะบัดลงพื้นทันที กลิ้งรอบหนึ่ง แล้วหลับตาแน่นร้องครางทีหนึ่ง
อสูรเขาเดียวรีบวิ่งไปหามั่วชิงเฉิน ขลุ่ยมรกตในมือของฮว่าเชียนซู่ขวางไว้
แม้อสูรเขาเดียวเป็นอสูรปีศาจที่อ่อนโยนมากชนิดหนึ่ง กลับถูกฮวาเชียนซู่แหย่โกรธในที่สุด ขาหลังกระทืบพื้น เตะไปที่ฮวาเชียนซู่ทันที
ในชั่วขณะหนึ่งหินทรายปลิวว่อน พลานุภาพของอสูรปีศาจขั้นห้าปรากฏออกมา
ฮวาเชียนซู่กลับไม่รีบร้อน เขยิบขลุ่ยมรกตในมือไปไว้ที่ริมฝีปาก แสงมรกตเป็นสายๆ ร่ายรำวนรอบอสูรเขาเดียวพร้อมบทเพลงที่ไพเราะ แผ่การจู่โจมที่บ้าคลั่งออกมา
อสูรเขาเดียวสะบัดหาง ตีแสงมรกตที่วนรอบตัวมันกระจาย จากนั้นขาหน้าถีบพื้นร้องเสียงต่ำเสียงหนึ่ง เขาทองบนหัวเปล่งแสงออกทันที ลำแสงสีทองสายหนึ่งยิงไปที่ฮวาเชียนซู่
ฮวาเชียนซู่กระโดดตัวขึ้นหลบลำแสงสีทอง กลับไม่คาดว่าลำแสงสายนั้นจะเลี้ยวโค้งกลางอากาศ บินมาหาเขาอีก
เสียงขลุ่ยรีบร้อนขึ้นมา ตัวดนตรีกะพริบแสงสีมรกตนับไม่ถ้วนบินไปที่ลำแสงสีทอง กลับถูกลำแสงสีทองนั่นกลืนกินจนหมด
ลำแสงสีทองใหญ่ขึ้น ลากแสงสีทองยาวๆ ออกบนฟ้า กลายเป็นธนูสีทองยาวๆ อันหนึ่ง แล้วบินพุ่งไปหาฮวาเชียนซู่พร้อมด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง
ฮวาเชียนซู่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ขลุ่ยมรกตพลิกหมุนตกลงในมือ จ้องธนูยาวสีทองที่บินมาพลางขยับมือขวากะทันหัน เปลวไฟสีดำช่อหนึ่งปรากฏขึ้นบนปลายนิ้ว
เมื่อดีดนิ้ว เปลวไฟสีดำช่อนั้นก็บินออกจากปลายนิ้ว หายเข้าไปในธนูยาวสีทองที่บินมาพอดี
ในเวลานี้สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงเกิดขึ้นแล้ว เดิมทีธนูทองที่ดุดันระเบิดออกดังเปรี้ยง แสงวิญญาณกระเซ็นไปทั่วเหมือนดอกไม้ไฟ เปลวไฟสีดำที่หายเข้าไปกลับไม่เสียหายแม้แต่น้อย บินไปหาอสูรเขาเดียวต่อ
อสูรเขาเดียวสีหน้าหวาดกลัว มันไม่รู้ว่าไยเปลวไฟที่บินมาถึงเป็นสีนี้ กลับสัมผัสได้ว่าเปลวไฟแผ่กลิ่นอายที่ทำให้มันไม่สบายตัวมากออกมา
เปลวไฟสีดำไล่ตามอสูรเขาเดียว บีบจนมันไม่มีที่ถอย หวาดกลัวจนเหมือนเด็กที่ไร้ทางสู้
ฮวาเชียนซู่เดินไปหน้ามั่วชิงเฉินช้าๆ เพ่งพิศครู่หนึ่งแล้วก้มตัวลงจับไปที่ข้อมือนาง
“ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า!” ในตาฮวาเชียนซู่ฉายแววพินิจพิเคราะห์ แล้วมองอสูรเขาเดียวที่ถูกเปลวไฟบีบจนไม่มีที่ถอยอีกปราดหนึ่ง ยื่นมืออุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นมา
“เจ้าตัวเล็ก หากเจ้าไม่อยากตามข้าไป ข้าก็ไม่บังคับเจ้า ข้าเอานางไปแล้วนะ” ฮวาเชียนซู่โบกมือเรียกเปลวไฟสีดำกลับมา แล้วยิ้มให้อสูรเขาเดียว
อสูรเขาเดียวชะงัก จากนั้นก้มหัวลงต่ำ เล็งเขาทองใส่ฮวาเชียนซู่แล้วพุ่งเข้าหาเขา
“เจ้าตัวเล็ก อย่าขยับส่งเดช” ฮวาเชียนซู่อุ้มมั่วชิงเฉินไว้เล็งให้ตรงกับเขาทองของอสูรเขาเดียวพอดี
อสูรเขาเดียวหยุดร่างกายอย่างรีบร้อน ตาโตฉ่ำเยิ้มคู่หนึ่งจ้องฮวาเชียนซู่ไว้ จู่ๆ อ้าปากว่า “คนเลว ปล่อยนางนะ!” ไม่คิดว่าเสียงจะเหมือนเด็กผู้ชายไร้เดียงสาอายุเจ็ดแปดขวบ
ฮวาเชียนซู่เม้มปากยิ้มว่า “เป็นเด็กจริงๆ ด้วย” พูดจบบินขึ้นตรงๆ อุ้มมั่วชิงเฉินบินไปข้างหน้า
“ปล่อยนาง ปล่อยนาง!” อสูรเขาเดียวไล่ตามอยู่ข้างล่าง หากฟังเพียงเสียง ยังนึกว่าเป็นเด็กเล็กๆ ร้องเรียกอยู่
ตุ๊บเสียงหนึ่ง อสูรเขาเดียวเหยียบลงไปในหลุม ขาหน้างอนั่งคุกเข่าลงกับพื้น แหงนหน้ามองดูฮวาเชียนซู่ที่ยิ่งบินยิ่งสูงแล้วอ้าปากกว้าง ร้องไห้แงๆ ขึ้นมา
“เจ้าตัวเล็ก ไม่ต้องร้องแล้ว ตกลงเจ้าจะตามข้าไปหรือไม่?” ฮวาเชียนซู่ไม่รู้ย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไร
อสูรเขาเดียวลุกขึ้นมา พยักหน้าโดยพลัน แล้วมองมั่วชิงเฉินที่อยู่ในอ้อมกอดของฮวาเชียนซู่ตาปริบๆ
ฮวาเชียนซู่หัวเราะ กระโดดตัวพลิกขึ้นหลังอสูรเขาเดียว อสูรเขาเดียวส่ายตัวอย่างต่อต้าน ทว่าต่อจากนั้นนึกถึงมั่วชิงเฉิน จึงได้แต่เชื่องขึ้นมา แบกฮวาเชียนซู่เดินหน้าไปด้วยความโมโห
“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินสะลึมสะลือ กลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ทำให้นางต่อต้านจากสัญชาตญาณใกล้เข้ามา ส่วนอ้อมกอดที่คุ้นเคยอุ่นใจนั้นกลับหายไปแล้ว ในใจกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จึงพึมพำออกมา
ฮวาเชียนซู่ขมวดคิ้ว เดินทางต่ออย่างไม่แยแส
ผู้บำเพ็ญเพียรมารกลุ่มหนึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ข้างทาง จู่ๆ ได้ยินเสียงกีบม้าดังมา มองไป ก็เห็นผู้ชายในชุดขาวดุจหิมะขี่อสูรเขาเดียวตัวหนึ่งรุดมาอย่างไม่รีบร้อน
“รีบดูเร็ว นั่นหัวหน้ากลุ่มฮวา!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่งร้องว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผมดกดำชุดงามดุจเซียนลุกขึ้นยืนทันที วิ่งมาข้างหน้าสองก้าวร้องเรียกว่า “ศิษย์น้องเล็ก…”
เพียงชั่วครู่ฮวาเชียนซู่ก็มาถึงตรงหน้าแล้ว พลิกตัวลงจากอสูรเขาเดียวมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วทักว่า “ศิษย์พี่สาม”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยิ้มกว้าง เมื่อสายตาตกลงบนตัวมั่วชิงเฉินที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาสีหน้ากลับบึ้งตึงว่า “ศิษย์น้องเล็ก นางเป็นใคร?”
ความหึงในน้ำเสียง ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรมารสองสามคนแอบขยิบตากัน
ฮวาเชียนซู่ชี้อสูรเขาเดียวที่อยู่ข้างๆ ว่า “เก็บได้พร้อมเจ้าตัวเล็กนี่ ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ดูแล้วน่าสนใจดี จะพากลับสำนักศึกษาเสียหน่อย”
“ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงขมวดคิ้ว “ฆ่าทิ้งก็สิ้นเรื่องมิใช่หรือ พากลับสำนักยุ่งยากจะตาย?”
“ศิษย์พี่สาม ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋านี่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เจ้าไม่รู้สึกว่าประหลาดหรือ?” ฮวาเชียนซู่แย้มยิ้มที่มุมปาก
ยิ้มนี้กลับทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นใจเต้นตึกตัก เผยอปากพูดคำพูดคัดค้านไม่ออกอีก
“เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางเถอะ กลับนิกายมารแดงเร็วหน่อย” ฮวาเชียนซู่กวาดมองทุกคนปราดหนึ่ง
“ขอรับ” ทุกคนรับคำ
คนทั้งขบวนบินไปทางทิศตะวันตกต่อ
“แค่กๆ” มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นไม่คิดว่าจะเป็นเสาเตียงที่แกะสลักลายมังกรและหงส์ ม่านบางๆ สีเขียวควันแหวกออกสองข้าง สามารถมองเห็นแจกันดอกไม้สีฟ้าครามท้องกลมที่วางอยู่บนโต๊ะหยกที่อยู่ข้างหน้าต่างพอดี ข้างในเสียบดอกเหมยขาวไว้สองสามกิ่ง
ที่นี่ที่ไหน?
มั่วชิงเฉินตกใจ พรรคเหยากวงแต่ไหนแต่ไรมานิยมความอิสระไม่มีกฎเกณฑ์ ต่อให้เป็นห้องของผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ก็ไม่งดงามหรูหราเช่นนี้ ส่วนที่พักที่สำนักลั่วสยา ยิ่งเป็นหนึ่งห้องอยู่ร่วมกันสองสามคน งดงามอะไรกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
อาจารย์ล่ะ?
ในใจมั่วชิงเฉินยิ่งคิดยิ่งสงสัย หรือว่าอาจารย์หาที่พักไว้ จัดแจงให้ตัวเองพักที่นี่?
จะรนไม่ได้!
มั่วชิงเฉินแอบเตือนตนเอง จากนั้นตรวจสภาพร่างกายขึ้นมา
เมื่อตรวจสอบดู ก็อดชะงักไม่ได้ ร่างกายของตน ไม่คิดว่าจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องเป็นอาจารย์หาสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บให้ตนแน่?
ไม่ถูก ที่นี่ยังคงเป็นแดนไท่เป๋า! ตามการโคจรพลังวิญญาณ ปราณมารที่เข้มข้นรอบๆ พุ่งขึ้นมา มั่วชิงเฉินอดหน้าถอดสีไม่ได้
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ หรือว่าอาจารย์ยังมีสหายที่รู้จักอยู่ที่แดนไท่ไป๋อีก?
หากนางลืมตาขึ้นสิ่งที่เห็นคือถ้ำภูเขากลับไม่รู้สึกกระวนกระวาย ทว่าอยู่ในสถานที่ที่งดงามเช่นนี้ ในใจกลับตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมา
มีคนมาแล้ว!
มั่วชิงเฉินรีบเก็บงำกลิ่นอายขึ้นหลับตา แล้วก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยด หญิงสาวที่แต่งตัวเป็นสาวใช้สองคนเดินเข้ามาเงียบๆ
“พี่ลั่วเหมย เจ้าว่าคุณหนูท่านนี้ เมื่อไรถึงจะฟื้นขึ้นมานะ นางนอนหมดสติไปเช่นนี้ ได้ครึ่งค่อนปีแล้ว” สาวใช้ชุดเขียวที่รูปร่างค่อนข้างเตี้ยคนหนึ่งพูดพลางวางกะละมังน้ำไว้บนโต๊ะ น้ำในกะละมังกลับเป็นสีน้ำเงิน
สาวใช้ชุดขาวนวลอีกคนหนึ่งชุบผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือลงในกะละมัง จากนั้นย่อตัวนั่งลงบนขอบเตียง เช็ดตัวให้มั่วชิงเฉินเบาๆ ปากก็ว่า “ลวี่เอ้อร์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรกังวล เราเพียงแค่ทำตามคำสั่งของคุณชาย เช็ดตัวให้คุณหนูท่านนี้วันละครั้งก็พอแล้ว”
สาวใช้ที่ชื่อลวี่เอ้อร์หัวเราะคิกคัก เสียงต่ำลงว่า “พี่ลั่วเหมย เจ้าว่าคุณหนูท่านนี้เป็นใครน่ะ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคุณชายพาแม่นางกลับมาบ้าน ข้าเดาว่า…ไม่แน่นางอาจเป็นคนรักของคุณชาย!”
“ลวี่เอ้อร์ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!” สาวใช้ที่ชื่อลั่วเหมยตะโกนห้ามว่า
ลวี่เอ้อร์เบ้ปากว่า “พี่ลั่วเหมยเจ้าใจร้อนไปไย ลวี่เอ้อร์เพียงแค่คุยกันเป็นการส่วนตัวนี่นา อีกอย่างข้าไม่ได้พูดเหลวไหลนะ ศึกเต๋ามารอะไรนั่นสู้กันมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ คุณหนูท่านนี้ต้องบาดเจ็บเป็นแน่ คุณชายกลัวในสำนักดูแลไม่ดี ถึงพากลับมาสั่งให้พวกเราดูแลให้ดี”
“ลวี่เอ้อร์ เจ้าลืมอีกแล้ว บัดนี้สถานที่ที่ทั้งตระกูลฮวาเราอยู่ก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของสำนักคุณชายนะ เอาล่ะ พวกเราอย่าพูดเรื่องพวกนี้กันเลย รอคุณหนูท่านนี้ตื่นแล้วแจ้งคุณชายก็แล้วกัน” ลั่วเหมยเตือนว่า
นิ้วมือของมั่วชิงเฉินสั่นแผ่วเบาทีหนึ่ง สาวใช้สองคนกลับไม่สังเกต
รอพวกนั้นเช็ดตัวอย่างคล่องแคล่วเสร็จ เก็บกวาดเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินออกไป ขนตายาวๆ ของมั่วชิงเฉินสั่นทีหนึ่ง ผ่านไปพักหนึ่งถึงลืมตาขึ้น ความตื่นตระหนกในแววตากลับไม่อาจปิดบังได้
ตระกูลฮวา ตระกูลฮวา หรือว่าจะเป็นตระกูลฮวานั้นที่ตนคิด?
เช่นนั้นคุณชายที่พานางกลับมาคือใคร?
ความคิดนับไม่ถ้วนม้วนทะยานอยู่ในใจมั่วชิงเฉิน ถึงสุดท้ายคำตอบกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
แดนไท่เป๋า ตระกูลฮวา คุณชาย
หากนางเดาไม่ผิด คุณชายที่สาวใช้สองคนนั้นพูดถึง ต้องเป็นฮวาเชียนซู่แน่!
เมื่อนึกถึงสามคำนี้ มั่วชิงเฉินอดกัดฟันไม่ได้ ความเกลียดชังมหาศาลพุ่งขึ้นมา
มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง ค่อยๆ นั่งขึ้นมา
สาวใช้สองคนนั้นบอกว่าขอเพียงตนฟื้นแล้วก็รายงานคุณชาย เช่นนั้น ต่อจากนี้ตนควรทำเช่นไรนะ?