พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 291
“คุณหนู บ่าวแต่งหน้าให้ท่านนะเจ้าคะ” ลวี่เอ้อร์มองดูสีหน้าซีดเผือดของมั่วชิงเฉิน แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าทำเอง” มั่วชิงเฉินในชุดวิวาห์แดงเข้มนั่งอยู่บนเตียง เอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึก หยิบสีผึ้งปากในกล่องติดมือขึ้นมาเม้มระหว่างริมฝีปาก ริมฝีปากที่ไม่มีสีเลือดสักหยดในตอนแรกก็แดงสดขึ้นมา
“คุณหนู ฤกษ์มงคลใกล้ถึงแล้ว…” ลวี้เอ้อร์เอ่ยอย่างลำบากใจ
ลั่วเหมยแอบกระตุกชายเสื้อลวี่เอ้อร์ทีหนึ่ง ย่อตัวว่า “คุณหนู เช่นนั้นพวกบ่าวขอตัวก่อน”
มั่วชิงเฉินนั่งไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูด
ลั่วเหมยปิดประตูลงเบาๆ
“พี่ลั่วเหมย คุณหนูกู้ดัดจริตอะไรน่ะ คนเช่นคุณชายนั้นยอมแต่งนางเป็นภรรยา แอบหัวเราะยังแทบไม่ทันเลย” ลวี่เอ้อร์บ่นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“ลวี่เอ้อร์ นี่ไม่ใส่เรื่องที่เราควรพูดเหลวไหล คุณหนูก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ย่อมต่างจากพวกเราเป็นธรรมดา” ลั่วเหมยเอ่ยเสียงเบา
“ท่านเซียนที่คอยตามตื๊อคุณชายพวกนั้นน้อยเสียเมื่อไร…”
มั่วชิงเฉินฟังสาวใช้สองคนกระซิบกระซาบพลาง ยิ้มเยาะทีหนึ่ง แล้วตบถุงอสูรวิญญาณว่า “อู๋เย่ว์ รีบออกมาเร็วๆ”
“ทำอะไรน่ะ แต่เช้าเชียว…” อีกาไฟบ่นแล้วมุดออกมาจากถุงอสูรวิญญาณ เหลือกตาขาวครึ่งหนึ่งเหล่มั่วชิงเฉิน ดูรูปร่าง ใหญ่กว่าเมื่อก่อนขึ้นอีกรอบหนึ่ง อ้วนขึ้นรอบหนึ่งอีกแล้ว
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก อู๋เย่ว์ตัวนี้ ตั้งแต่ที่กลืนแก่นทองของยายแก่บ้านั่นแล้ว หลังจากดูดซับเรียบร้อยไม่คิดว่าจะเลื่อนขั้นจากอสูรวิญญาณขั้นสามไปถึงยอดขั้นสี่ทันที อีกาไฟแปรผันขั้นสี่ มีความสามารถใหม่เพิ่มมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการพรางตัว!
ที่ทำให้นางพูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็คือ การพรางตัวของอีกาไฟก็เหมือนการสาปแช่งของมัน เดี๋ยวได้ผลเดี๋ยวไม่ได้ผล
ทว่าบัดนี้ก็ไม่มีเวลาสนใจพวกนี้แล้ว นางจำเป็นต้องช่วยตนเอง ถอยหนึ่งหมื่นก้าว ต่อให้ช่วยตนเองออกไปไม่ได้ อย่างน้อยต้องช่วยเยี่ยเทียนหยวนออกไป ส่วนอู๋เย่ว์ ก็คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของนาง!
“อู๋เย่ว์ เส้นทางในวันนั้นเจ้าจำได้หมดหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามอย่างจริงจัง
อีกาไฟพยักหน้าอย่างรำคาญว่า “จำได้ จำได้ คนเขาบัดนี้เป็นอสูรวิญญาณขั้นสี่เชียวนะ ไม่เหมือนคนโง่ทิศบางคน!”
มั่วชิงเฉินหายากที่ไม่ได้งัดข้อกับอีกาไฟ หากแต่หยิบขวดหยกออกมาใบหนึ่งยื่นให้อีกาไฟว่า “อู๋เย่ว์ รอพบเขาแล้ว เจ้าก็เอาโอสถในขวดนี้ให้เขากิน หากเขาไม่ฟื้นขึ้นมาตลอด เจ้าก็พาเขาไปเลย!”
“ข้า? ข้าจะพาเขาไปอย่างไร?” อีกาไฟหน้าเสีย อย่านึกว่าคนเขาเป็นอสูรวิญญาณแล้วจะไม่รู้นะ นั่นเป็นรังเก่าของผู้บำเพ็ญเพียรมารเชียวนะ!
“อู๋เย่ว์ เจ้าพรางตัวได้มิใช่หรือ วิชาพรางตัวของอสูรปีศาจล้วนมีขอบเขตที่แน่นอนกระมัง?” แม้มั่วชิงเฉินจะสงสัย น้ำเสียงกลับแน่ใจ
“เจ้านาย เจ้าก็รู้ว่าวิชาพรางตัวของคนเขาเดี๋ยวได้ผลเดี๋ยวไม่ได้ผลนี่นา!” อีกาไฟใจตุ้มๆ ต่อมๆ “ว่ากันว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารพวกนั้นล้วนเป็นคนวิปริต ชอบหาอสูรปีศาจเป็นหรูติ่งโดยเฉพาะ…” พูดพลางก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าวางใจได้ ต่อให้เป็นเช่นนี้จริง ก็ไม่มีทางหาเจ้าเด็ดขาด”
“หา?” อีกาไฟอึ้ง จากนั้นได้สติกลับมาว่า “เจ้านาย นี่เจ้ากำลังลบหลู่…”
มั่วชิงเฉินมองอีกาไฟตาไม่กะพริบ จู่ๆ ก็โค้งให้ลึกๆ ทีหนึ่ง
อีกาไฟตกใจจนบินพรึบขึ้นมา “เจ้านาย เจ้าทำอะไร?”
“อู๋เย่ว์ แม้เจ้าเรียกข้าว่าเจ้านายเสมอมา ทว่าที่เราทำคือพันธสัญญาเสมอภาค ในใจชิงเฉิน เห็นเจ้าเป็นสหายเสมอมา ดังนั้นขอไหว้วานเจ้า ต้องพาเขาออกมาให้ได้” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจริงใจ
อีกาไฟตกใจกับท่าทีเช่นนี้ของมั่วชิงเฉิน ครู่ใหญ่ถึงพยักหน้าว่า “เอ่อ เอ่อ ข้ารู้แล้ว ถึงเวลาข้าจะพาเขามา”
“ไม่ อย่าพามา เจ้าพาเขาไป หาสถานที่มิดชิดซ่อนตัวก่อน รอเขาหายแล้ว ก็กลับดินแดนเทียนหยวนไปด้วยกัน” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเข้ม
อีกาไฟชะงักงัน ตาขาวกลอกกลิ้งไปมาเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหยิบขวดน้ำเต้าสุราเจ็ดแปดใบออกมารวดเดียว ต่อจากนั้นหยิบน้ำผึ้งดอกท้อออกมาสี่ห้าขวด กำชับว่า “อู๋เย่ว์ สุรานี่ให้เจ้า น้ำผึ้งวิญญาณให้เขา เจ้ารีบไปเถอะ”
“เช่นนั้นเจ้าล่ะ เจ้าจะทำเช่นไร เจ้าคงไม่วิวาห์กับคนผู้นั้นจริงๆ กระมัง?” อีกาไฟไม่ขยับเขยื้อน มันที่ถึงสุดยอดขั้นสี่แล้ว เฉลียวฉลาดยิ่งกว่าเมื่อก่อนแล้ว
มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่มีทางวิวาห์กับคนผู้นั้นหรอก อู๋เย่ว์ วันนี้เป็นพิธีวิวาห์ฮวาเชียนซู่ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ได้เข้าร่วมศึกเต๋ามารของนิกายมารแดงต้องมาชมพิธีตระกูลฮวาไม่น้อยแน่นอน ดังนั้นวันนี้เป็นเวลาที่นิกายมารแดงพลังความสามารถอ่อนแอที่สุด และก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะช่วยอาจารย์อาเยี่ยได้ ชิงเฉินไหว้วานเจ้าแล้ว!”
“ได้ ได้ เช่นนั้นข้าไปแล้ว เจ้านาย เจ้าเองระวังตัวด้วย” อีกาไฟพยักหน้า กางปีกออกช้าๆ วาดแสงวิญญาณออกมา “เห็นหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินจำใจ “เห็น…”
“มารดาเจ้า ล้มเหลวอีกแล้ว!” อีกาไฟด่ากราดพลางกางปีกออกสองข้างอีกครั้ง ครั้งนี้แสงวิญญาณที่ปรากฏออกมาเป็นดุจงูวิญญาณพันรอบร่างมันไว้เป็นประกายยิบยับ จากนั้นร่างกายของอีกาไฟก็ค่อยๆ หายไปแล้ว
มั่วชิงเฉินมองดูที่ที่อีกาไฟหายไปแล้วถอนใจเบาๆ อึดหนึ่ง จากนั้นตบๆ ถุงอสูรวิญญาณ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวก็บินออกมา
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนี้เป็นตัวที่ศิษย์พี่หวังมอบให้นางในปีนั้น เลี้ยงมาสิบกว่าปีไม่เพียงแต่ออกลูกออกหลานมาไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังเลื่อนขั้นแล้ว ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตหลังจากเลื่อนขั้นน้ำผึ้งที่กลั่นออกมาไม่เพียงแต่คุณภาพสุดยอด ความจุของถุงที่เก็บน้ำผึ้งวิญญาณก็มากขึ้นด้วย
มั่วชิงเฉินเรียกผึ้งวิญญาณเลือดมรกตมาตัวหนึ่ง ในมือปรากฏระเบิดสะท้านฟ้าขึ้นลูกหนึ่งแล้วยัดเข้าไปในถุงของมัน ยัดเช่นนี้รวดเดียวหลายสิบลูกถึงหยุดลง แล้วเรียกผึ้งวิญญาณเลือดมรกตมาอีกตัวหนึ่งทำเช่นเดิมอีก
“ไปเถอะ” รอถุงของผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวใส่ระเบิดสะท้านฟ้าเต็มหมดแล้ว มั่วชิงเฉินโบกมือ
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวบินวนนิ้วมือนางดังหึ่งๆ สองสามรอบ ถึงหันหลังจากไป
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตแม้ไม่มีพลังการโจมตีอะไร สวรรค์กลับมอบพลังในการปกป้องตนเองให้พวกมัน นั่นก็คือการเก็บงำกลิ่นอายวิญญาณ
นอกจากมีคนรู้ว่ามีพวกมันอยู่ ในสถานการณ์ทั่วไปต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแผ่จิตตระหนักออกสำรวจ ก็จะเห็นพวกมันเป็นเพียงแมลงทั่วไปเท่านั้น
จวนฮวานี้มวลหมู่ดอกไม้บานสะพรั่งไปทั่วทุกแห่งหน เดิมก็ดึงดูดแมลงภู่ผึ้งนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว มีผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเพิ่มขึ้นมาไม่กี่ตัวจะมีใครสังเกตได้อีกล่ะ
เสียดายเพียงผึ้งวิญญาณเลือดมรกตขั้นสองปัญญาวิญญาณไม่สูง ก็ไม่รู้ว่าจะรับรู้ความหมายของตนได้หรือไม่
ในใจมั่วชิงเฉินตุ้มๆ ต่อมๆ เล็กน้อย จากนั้นกลับฟื้นคืนความสงบ วางแผนอยู่ที่คน สำเร็จอยู่ที่ฟ้า หากล้มเหลว นั่นคือชะตาของตน!
ตบถุงอสูรวิญญาณอีกที ครั้งนี้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกมาหลายสิบตัว กลับรูปร่างเล็กกว่าไม่กี่ตัวนั้นมาก
มั่วชิงเฉินขยับมือ ขวดหยกขาวเล็กใบหนึ่งปรากฏขึ้น เปิดจุกขวดออกแล้วเทของเหลวใสในนั้นลงในถุงของผึ้งวิญญาณพวกนี้ จากนั้น โบกแขนเสื้อทีหนึ่ง ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตก็มุดออกจากซอกไปอย่างเงียบๆ
มั่วชิงเฉินมองนอกหน้าต่างพลางเม้มปากยิ้ม ของเหลวใสในขวดหยกใบนั้น ก็คือของที่สามวันนี้ตนไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน เก็บมาจากบุปผาวิญญาณชนิดหนึ่งในสวนสมุนไพรพกพา ตั้งชื่อว่า ‘โค่นเซียน’
หวังเพียงผึ้งวิญญาณพวกนั้นจะเท ‘โค่นเซียน’ พวกนี้ลงในที่ที่ตนกำชับ เช่นนั้นก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว
“คุณหนู ท่านเตรียมตัวเรียบร้อยหรือยังเจ้าคะ?” หน้าประตูเสียงของลวี่เอ้อร์ดังมา
มั่วชิงเฉินเหมือนไม่ได้ยิน กริชที่มืดมนไร้แสงเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
หลุบตามองกริชเย็นเยียบในมือ มั่วชิงเฉินเม้มปาก หากถึงขั้นเข้าห้องหอจริง กริชเล่มนี้ก็เก็บไว้ให้ตนและฮวาเชียนซู่!
ยัดกริชเข้าในอก หันหน้าเข้ากระจกแต่งตัวใช้ปิ่นจันทร์เสี้ยวสีน้ำแข็งเกล้าผมขึ้นอย่างคล่องแคล่ว มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “เข้ามาเถอะ”
สาวใช้สองคนผลักประตูเข้ามา
“คุณหนู ท่าน ท่านนี่ช่าง…” ลวี่เอ้อร์กำลังพูดอยู่ กลับต้องตกใจด้วยแววตาเย็นเยียบของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินกวาดมองกล่องเครื่องประดับปราดหนึ่ง หยิบดอกมกำมะหยี่สีแดงขึ้นพวงหนึ่งเสียบลงบนมวยผม จากนั้นเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ได้แล้ว”
ลวี่เอ้อร์ยังจะพูดอีก กลับถูกลั่วเหมยกระตุกทีหนึ่ง
“คุณหนูโฉมหน้างามใต้หล้าไม่มีใครเทียม ประดับดอกไม้แดงนี้แล้วยิ่งสวยสดน่าประทับใจ คุณชายของเรามีบุญวาสนาจริงๆ” ลั่วเหมยพูดพลางขยิบตาให้ลวี่เอ้อร์ หยิบผ้าคลุมศีรษะแดงที่อยู่ข้างๆ คลุมให้มั่วชิงเฉิน สองคนพยุงนางออกไป
จวนฮวาประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม แขกเหรื่อมาเยือน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่อาศัยอยู่ในเมืองไป๋ซิง มีทั้งผู้บำเพ็ญเพียรมารและเต๋า
ฮวาเชียนซู่ใส่ชุดแดง ยืนอยู่หน้าประตู ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาอวยพรเขา เขาขอบคุณด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ดูท่าทางดีอกดีใจของเขาแล้ว ทำให้แขกเหรื่อที่มายิ่งแปลกใจว่าเจ้าสาวเป็นใครกันแน่
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดแดงกลุ่มหนึ่งร่อนลงจากฟ้า
“ดูเร็ว คนของนิกายมารแดง” มีแขกเอ่ยเสียงเบา
“นี่มีอะไรแปลก คุณชายฮวาเป็นศิษย์รักของนักพรตไป๋หมางเจ้าโถงนิกายมารแดง ไม่เห็นหรือไรผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลายในนั้นท่านนั้นก็คือนักพรตไป๋หมาง ข้าว่านะ หากไม่อยู่ระหว่างศึกเต๋ามาร ดีไม่ดีหมัวจวินระดับก่อกำเนิดของนิกายมารแดงก็จะมาชมพิธีด้วยนะ” คนข้างๆ เอ่ย
“ศิษย์คารวะอาจารย์” เห็นนักพรตไป๋หมางนำพาผู้คนมา ฮวาเชียนซู่และหัวหน้าตระกูลฮวาฮวาไป๋เฉิงเข้าไปต้อนรับพร้อมกัน
“เชียนซู่ วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า ไม่ต้องมากพิธี” นักพรตไป๋หมางพูดพลางมองไปที่ฮวาไป่เฉิง “หัวหน้าตระกูลฮวา เชียนซู่เป็นศิษย์หัวกะทิของนิกายมารแดงเรา ยิ่งเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า เดิมทีวันงานพิธีของเขาท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างในสำนักจะมาชมพิธี เพียงแต่พอดีชนเข้ากับศึกเต๋ามาร อีกทั้งงานวิวาห์ของเชียนซู่ก็กำหนดอย่างรีบร้อน อย่างไรก็ต้องขออภัยด้วย”
นักพรตไป๋หมางพูดได้อย่างเกรงใจ ทว่าบนใบหน้ากลับนิ่งเรียบ
ฮวาไป่เฉิงย่อมรู้ว่าที่นักพรตท่านนี้เกรงใจตนเช่นนี้ เพราะเห็นแก่หน้าฮวาเชียนซู่โดยสิ้นเชิง จึงไม่กล้าประมาท เอ่ยติดๆ กันว่า “ท่านนักพรตเกรงใจไปแล้ว เกรงใจไปแล้ว รีบๆ เชิญข้างใน”
นักพรตไป๋หมางเดินนำเข้าไปก่อน
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ตามอยู่ข้างหลังมีสองท่านเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ที่เหลือล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งหมดล้วนหน้าตาบึ้งตึง ยามเดินผ่านฮวาเชียนซู่ยังมองด้วยความคับแค้นใจปราดหนึ่ง
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้า เจ้าจะวิวาห์แล้วจริงหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผมดกดำชุดงามดุจเซียนคนหนึ่งหยุดลง
“จื่อหนี ยังไม่รีบมาอีก!” นักพรตไป๋หมางตะคอกเสียงเข้ม
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกัดปากไว้แน่น แล้วมองฮวาเชียนซู่อย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งถึงเดินเข้าไป ส่วนฮวาเชียนซู่กลับหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ไม่สะทกสะท้าน
หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรของนิกายมารแดงเข้าไปหมดแล้ว ฮวาเชียนซู่ยกมุมปากขึ้น ยกเท้ากำลังจะเข้าไป จู่ๆ ก็เห็นลำแสงสีมรกตสายหนึ่งวาดผ่านขอบฟ้า เพียงพริบตาก็ร่อนลงมาแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนหนึ่งเดินมาทางนี้