พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 293
เป็นเสียงส่งทางจิตของหลัวอวี้เฉิง
มั่วชิงเฉินสะบัดมือ ไหมเกล็ดน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นในมือ เสียงทางจิตของหลัวอวี้เฉิงดังขึ้นในสมองอีกครั้ง “เจ้าอยากกลายเป็นเป้า?”
ความเร็วในการบินของไหมเกล็ดน้ำแข็งแม้เร็วยิ่งนัก ทว่าเมื่อไรที่ใช้ฐานะของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าก็จะปิดบังไม่มิดอีกต่อไป จะกลายเป็นเป้าหมายในการไล่โจมตีที่ชัดเจนที่สุด นี่ก็คือวิธีทุบหม้อข้าวจบเรือ แลกทุกอย่างเพื่อแย่งชิงโอกาสรอดของมั่วชิงเฉินตั้งแต่แรก
ก็ลังเลเพียงเท่านี้ มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าแสงวิญญาณรอบตัวแวบขึ้น จากนั้นรู้สึกหน้ามืด ความวิงเวียนหน้ามืดเช่นนี้ดำเนินต่อไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สภาพแวดล้อมรอบๆ ก็แตกต่างออกไปแล้ว
ภูเขาเขียวสายน้ำหลั่งไหล หญ้าเขียวขจี มีเสียงร้องที่ไพเราะของนกแมลงผสมผสานกันลอยมา
มั่วชิงเฉินตั้งสติแล้ว มองไปที่หลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะว่า “มองอะไร ไม่เจอกันหลายปี สหายเต๋ามั่วนับวันยิ่งใจกล้าขึ้นแล้วนะ ไม่คิดว่าจะกล้าพาคนหนีตามกันต่อหน้าต่อตาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่าน?” พูดพลางมองฮวาเชียนซู่ที่สลบไสลอยู่บนพื้นปราดหนึ่งอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
มั่วชิงเฉินโกรธจนหายใจติดขัด กัดฟันว่า “ไม่พบกันหลายปี เงินที่สหายเต๋าหลัวติดไว้ควรคิดบัญชีแล้วใช่หรือไม่?”
หลัวอวี้เฉิงชะงัก แล้วลูบจมูกอย่างจำใจว่า “สหายเต๋ามั่ว อย่างไรเสียข้าก็เพิ่งช่วยชีวิตเจ้าไว้ พออ้าปากเจ้าก็จะเอาเงิน จะไม่แล้งน้ำใจไปหน่อยหรือ”
มั่วชิงเฉินค้อนตาคว่ำ “ติดหนี้คืนเงินถูกทำนองคลองธรรม อีกอย่าง จดหมายกู้เจ้ายังอยู่ที่ข้านี่เลยนะ”
ว่าไปแล้วก็แปลก เดิมทีไม่เจอกันหลายปี ควรเกรงใจและห่างเหินสักหน่อย ทว่าเมื่อหลัวอวี้เฉิงอ้าปากปุ๊บ นางก็อดไม่ไหวที่จะพูดส่อเสียดเขา จะโทษก็โทษหลายปีที่ทั้งสองคนอยู่หุบเขาไร้วิญญาณนั่นอยู่กันเช่นนี้มาโดยตลอด ชินเสียแล้ว
ค่อยๆ ได้สติมา มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ ถามว่า “สหายเต๋าหลัว นี่พวกเราอยู่ไหน เมื่อครู่ฝีมือของเจ้า ดูเหมือนวิชาล่องหน?”
หลัวอวี้เฉิงดึงไม้วัดที่ขาววาวเหมือนหยกออกมาอันหนึ่งว่า “สหายเต๋ามั่วความรู้กว้างไกล ที่พวกเราสามารถมาถึงนี่ได้ ก็อาศัยไม้วัดดำดินอันนี้แหละ”
ไม้วัดดำดิน? มั่วชิงเฉินแอบอิจฉา นี่ช่างเป็นของดีจริงๆ เลย ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเช่นนางนี้บินในแดนไท่ไป๋สะดุดตาเป็นพิเศษ หากมีไม้วัดเช่นนี้สักอันช่วยในยามฉุกเฉินก็จะดีขึ้นไม่น้อย
กำลังครุ่นคิดอยู่ เสียงของหลัวอวี้เฉิงก็ดังขึ้น “ส่วนที่นี่ คืออารามแห่งหนึ่งในจวนอีกจวนหนึ่งของตระกูลฮวา…”
“อะไรนะ?” มั่วชิงเฉินหน้าซีด มองหลัวอวี้เฉิงว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าคงไม่คิดว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดกระมัง?”
หลัวอวี้เฉิงเอาไม้วัดเคาะฝ่ามือ ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ไม่เช่นนั้นล่ะ สหายเต๋ามั่วนึกว่าสามารถหนีรอดการตามล่าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่านได้หรือ?”
มั่วชิงเฉินชะงัก ถึงเอ่ยอย่างจำใจว่า “สหายเต๋าหลัว ผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณสามท่านนั้นดื่มสุราทิพย์ที่ใส่ ‘โค่นเซียน’ เข้าไปแล้ว แม้อาศัยตบะที่ล้ำลึกไม่ได้ล้มลงทันที ทว่าอีกพักหนึ่งก็ควรออกฤทธิ์แล้ว อย่างไรข้าก็สามารถฉวยโอกาสนั้นหนีได้ไกลสักหน่อย อย่างไรก็ดีกว่ายังอยู่รังเก่าของเขานี่นา”
หลัวอวี้เฉิงกลับไม่ได้รับคำ หากแต่บ่นพึมพำว่า “ ‘โค่นเซียน’ ? ที่แท้ของที่สหายเต๋ามั่วใส่ลงในสุราก็คือสิ่งนี้นี่เอง ไม่รู้ ‘โค่นเซียน’ นี้มีประโยชน์อะไร?”
มั่วชิงเฉินค้อนตาคว่ำ ยังคงอธิบายว่า “ชื่อนี้ข้าตั้งขึ้นส่งเดช ประโยชน์มีไม่มาก ก็แค่ไร้สีไร้กลิ่น คนที่ดื่มมัน สามารถหลับครึ่งค่อนวัน แน่นอนคนที่ตบะต่างกันก็ให้ผลที่ต่างกัน”
“จิ๊ๆ นี่ช่างเป็นของดีจริงๆ เลย” หลัวอวี้เฉิงถอนใจว่า แล้วเหล่ถุงเก็บวัตถุที่มั่วชิงเฉินผูกไว้ที่เอว
มั่วชิงเฉินเบือนหน้าหนีว่า “ใช้หมดแล้ว สหายเต๋าหลัวก็ไม่ต้องคิดแล้ว คิดว่าพวกเราจะออกไปได้อย่างไรดีกว่าเถอะ”
ของพวกนี้นางล้วนเก็บไว้ในกำไลเก็บวัตถุ ในถุงเก็บวัตถุไม่มีจริงๆ
หลัวอวี้เฉิงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ว่า “ดูท่าสหายเต๋ามั่วยังคงโทษที่ข้ายิ่งช่วยยิ่งยุ่ง”
เมื่อพูดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกผิดแล้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “เปล่า ที่สำคัญคือข้าไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกแล้ว”
ตั้งแต่ที่ถูกอูเย่ว์ลักตัวไป ก่อนอื่นคืออาจารย์อาเยี่ย ต่อมาคืออาจารย์ แรงกดดันที่มาจากการที่คนอื่นเกิดเรื่องเพราะช่วยนางมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะแรกสุดที่นึกว่าเยี่ยเทียนหยวนตายแล้ว ความรู้สึกผิดเช่นนั้นทรมานจนนางเหมือนตายทั้งเป็น
บัดนี้ก็หลัวอวี้เฉิงอีก ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะตั้งป้าย ‘ไปให้ห่างตัวปัญญา ไปให้ห่างมั่วชิงเฉิน’ ให้รู้แล้วรู้รอดไป
“สหายเต๋ามั่ว เจ้าพาฮวาเชียนซู่ไปด้วย นึกจริงๆ หรือว่าจะหนีได้ไกล?” หลัวอวี้เฉิงกวาดมองฮวาเชียนซู่ที่สลบไสลปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเอ้อระเหย
มั่วชิงเฉินกัดปาก สุดท้ายถอนใจทีหนึ่ง
หลัวอวี้เฉิงเดินเข้ามาก้าวหนึ่ง “สหายเต๋ามั่ว ฮวาเชียนซู่วางยาพิษหรือลงหนอนให้เจ้า?”
มั่วชิงเฉินถอนใจว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้ายังคงฉลาดดังเดิม”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มนิ่งเรียบขึ้นมา “เช่นนั้นอย่างไรก็ไม่มีทางเพราะสหายเต๋ามั่วรักเขาลึกซึ้งดุจทะเล ถึงไม่ยอมห่างจากกันกระมัง”
มั่วชิงเฉินไม่สนใจความเย้ยหยันในคำพูดของเขา ลังเลทีหนึ่งถึงว่า “คือหนอนมากรัก”
“หนอนมากรัก?” หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว
มั่วชิงเฉินตาเป็นประกายว่า “เป็นอะไร สหายเต๋าหลัวรู้จักหนอนชนิดนี้?”
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าว่า “หนอนมากรักเกิดจากป่ากาลี หนึ่งผู้มากเมีย คนที่ใส่หนอนจำเป็นต้องวางหนอนตัวผู้ไว้ในหัวใจตน ค่อยวางหนอนตัวเมียไว้ในหัวใจเป้าหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ถูกใส่หนอนก็ไม่สามารถออกห่างจากคนใส่หนอนในขอบเขตที่กำหนดไว้ได้ เมื่อใดที่ออกห่างจะต้องรับความเจ็บปวดแสนสาหัส ห่างกันยิ่งไกล ความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรง คนที่ใส่หนอนก็จะรับรู้ได้เช่นกัน นอกจากนั้น หากคนที่ถูกใส่หนอนตายลง หนอนตัวเมียก็จะแหกออกจากร่างกายคลานกลับมือคนที่ใส่หนอน ตรงกันข้าม คนที่ใส่หนอนตัวตายละก็…”
“คนที่ถูกใส่หนอนก็จะตายเช่นกัน?” มั่วชิงเฉินรับคำว่า
รอยยิ้มที่มุมปากหลัวอวี้เฉิงเย็นเยียบ “ไม่ใช่ตายนั่นง่ายดายเกินไป คนที่ถูกใส่หนอนทั้งหมด เมื่อยามที่หนอนตัวผู้ตาย พวกมันก็จะกินหัวใจของพาหะทีละนิดๆ จนหมด จากนั้นค่อยคลานกลับข้างกายหนอนตัวผู้ ป้อนหัวใจที่กินไปกลับให้หนอนตัวผู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ หนอนตัวผู้ก็จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนหนอนตัวเมียกลับตายเพราะใช้กำลังวังชาจนหมดสิ้น
มั่วชิงเฉินขนลุกซู่ สายตาที่มองไปที่ฮวาเชียนซู่ยิ่งชิงชังมากขึ้น คนที่ใช้หนอนมากรัก ไม่ใช่บรรยายได้ด้วยคำว่าไร้ยางอายจริงๆ
“ไม่มีวิธีแก้แล้วหรือ?” มั่วชิงเฉินถามด้วยความคาดหวัง จะให้นางคงพาฮวาเชียนซู่ไปด้วยทุกที่ที่ไปคงไม่ได้กระมัง
หลัวอวี้เฉิงเม้มปาก
“สหายเต๋าหลัว?” มั่วชิงเฉินสงสัยเล็กน้อย
กลับเห็นหลัวอวี้เฉิงยิ้มว่า “สหายเต๋ามั่ว หินวิญญาณที่ติดเจ้าไว้ เจ้าว่า…”
มั่วชิงเฉินโกรธจนหงายหลัง กลับต้องพ่ายแพ้ท่ามกลางสายตาจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของหลัวอวี้เฉิง กัดฟันว่า “ขอเพียงสหายเต๋าหลัวสามารถช่วยข้ากำจัดหนอนมากรักได้ หินวิญญาณที่ติดค้างย่อมถึงว่าหายกัน”
“รวมทั้งดอกเบี้ยด้วย?” หลัวอวี้เฉิงซักไซ้อีกประโยคหนึ่งอย่างไม่ไว้วางใจ
ซ้ำเติม นี่เป็นการซ้ำเติมกันชัดๆ!
มั่วชิงเฉินกำหมดแน่น ฝืนทนความรู้สึกชั่ววูบที่จะอัดหลัวอวี้เฉิงไว้ แล้วเอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “ดอกเบี้ยย่อมไม่เอาแล้วเช่นกัน”
หลัวอวี้เฉิงถึงพยักหน้าอย่างพอใจ สะบัดมือหินหยกรูปร่างยาวๆ สีดำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
และอธิบายท่ามกลางสายตาสงสัยของมั่วชิงเฉินว่า “ฟ้าดินแบ่งเป็นหยินหยาง ฟูมฟักสรรพสิ่งและเป็นปรปักษ์ต่อกัน ปรปักษ์ของหนอนมากรัก ก็คือหินประหลาดที่เกิดในเขาอู๋ฉยงชนิดนี้…หินไร้รัก”
“สหายเต๋าหลัวไม่เพียงแต่รู้มาก ในตัวยังมีของดีไม่น้อย” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างมีความหมายประหลาด
หลัวอวี้เฉิงกลับไม่ตอบ หากแต่หยิบหินประหลาดก้อนนั้นขึ้นกดไปที่หน้าอกมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหน้าแดงทันที ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
หลัวอวี้เฉิงชะงัก จากนั้นยิ้มแห้งๆ เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “ต้องขออภัยด้วย ชั่วขณะหนึ่งลืมไปว่า…”
ไม่ต้องพูดมั่วชิงเฉินก็เดาได้ว่าเขาลืมอะไร จำได้ว่าปีนั้นเขาก็เคยพูด ว่ามักลืมว่าตนเป็นสตรีอย่างควบคุมตนไม่ได้!
“ข้าทำเอง” มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไป
หลัวอวี้เฉิงมองดูสีหน้าอึมครึมของมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “เจ้าทำเองไม่ได้…”
ฟังพูดเข้า เหตุใดเหมือนตนพยายามเสนอหน้าเข้าไปเอาเปรียบอย่างไรอย่างนั้น
มั่วชิงเฉินยังไม่ได้สติมาว่าคำพูดนี้หมายความว่าเช่นไร มือเพิ่งแตะถูกหินไร้รัก หน้าอกก็เจ็บจุกขึ้นมา เจ็บจนนางงอตัวลงไป
เสียงของหลัวอวี้เฉิงลอยมา “ข้าก็บอกแล้วว่าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าถูกใส่หนอนตัวเมีย หินไร้รักนี่เป็นคู่ปรับโดยธรรมชาติของมัน เมื่อเจ้าแตะถูกมันจะไม่ต่อต้านได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินกดหน้าอกไว้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าจะพูดให้จบรวดเดียวไม่ได้หรืออย่างไร?”
มองดูท่าทางเจ็บจนเหงื่อโซมกายของมั่วชิงเฉิน หลัวอวี้เฉิงรู้สึกผิด เขาทำอะไรรอบคอบเสมอมา ทว่าเมื่อนึกถึงว่าต้องใช้หินไร้รักดูดหนอนมากรักออกมาให้นาง แม้ในใจเปิดเผยตรงไปตรงมากลับไม่ค่อยสบายใจ ถึงทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง
“เอาล่ะ เจ้ารีบทำเถอะ” มั่วชิงเฉินกัดฟัน หนอนมากรักนี้ นางไม่อยากให้มันอยู่ในร่างกายแม้เพียงชั่วขณะ
หลัวอวี้เฉิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ขอล่วงเกินแล้ว” ถึงวางหินไร้รักไว้บนหน้าอกมั่วชิงเฉิน โคจรพลังวิญญาณขึ้นมา
ไม่นานนัก เหงื่อก็ออกเต็มหน้าผากเขาไปหมด เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ตาจ้องหินประหลาดในมือไม่กะพริบ
มั่วชิงเฉินจ้องตาไม่กะพริบเช่นกัน หลังจากนั้นชั่วครู่ จู่ๆ ในใจก็เจ็บเสียดขึ้นมาทีหนึ่ง ต่อจากนั้นอีกก็เต้นขึ้นมาอย่างรุนแรง
ใจยิ่งเต้นยิ่งเร็ว ยิ่งเต้นยิ่งเร็ว ราวกับจะกระโดดออกจากช่องอกได้ตลอดเวลา
ในชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองคนต่างสามารถได้ยินเสียงใจเต้นที่ดังเหมือนฟ้าร้องนั่น
ผิวหนังตรงหน้าอก รู้สึกทั้งชาทั้งคัน จากนั้น ก็เห็นหนอนตัวแดงสดทั่วตัวตัวหนึ่งมุดออกจากเสื้อผ้า เกาะอยู่บนหินไร้รัก
หลัวอวี้เฉิงโล่งอก ดีดเปลวไฟช่อหนึ่งออกจากนิ้วมือ เผาหนอนตัวเมียจนเป็นจุณว่า “เสร็จแล้ว”
พูดพลางเช็ดเหงื่อ
มั่วชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้ง เหมือนยกภูเขาออกจากอกว่า “ขอบคุณสหายเต๋าหลัวแล้ว”
พูดจบมองดูฮวาเชียนซู่ที่อยู่บนพื้น สายตาเย็นชา ชักกริชที่อยู่ในอกออกขว้างไปที่หัวใจเขา
เสียงติ๊งเสียงหนึ่ง กริชที่ขว้างออกไปถูกก้อนหินก้อนหนึ่งตีตก
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาว่า “สหายเต๋าหลัว?”
หลัวอวี้เฉิงส่ายหน้า เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ตะเกียงเจ้าชะตา!”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน แล้วมองดูฮวาเชียนซู่อีก ในใจเต็มไปด้วยความยอม กลับต้องเก็บกริชกลับมาอย่างทำอะไรไม่ได้
เมื่อไรที่ตะเกียงเจ้าชะตาของฮวาเชียนซู่ดับ มีสุคนธ์ล่าวิญญาณอยู่พวกเขาติดปีกก็ยากจะหนีได้
คิดๆ ดูแล้วไม่อาจสงบใจได้จริงๆ มั่วชิงเฉินถือกริชเดินไปหาฮวาเชียนซู่
หลัวอวี้เฉิงเตือนแล้ว รู้ว่านางไม่มีทางวู่วาม จึงมีใจดูว่านางจะทำอะไร
เมื่อได้ดูปุ๊บ ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะใช้กริชโกนศีรษะฮวาเชียนซู่จนล้านเลี่ยนอย่างรวดเร็ว
“สหายเต๋ามั่ว เจ้าจะทำไปไย อย่างไรผมก็งอกออกมาใหม่ได้”
มั่วชิงเฉินกลับไม่แม้แต่จะหันกลับไป หยิบขวดเล็กออกมาใบหนึ่ง เทของลักษณะเหนียวข้นที่อยู่ข้างในออกมาทาลงบนศีรษะฮวาเชียนซู่ว่า “ทาสิ่งนี้ลงไป ภายในสามปีเขาอย่าคิดจะมีผมขึ้นเลย!”