พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 311
อสูรปีศาจที่เฝ้าอยู่นอกถ้ำยังพุ่งชนไปทั่วอยู่ นานๆ ทีก็ชนถูกค่ายกล ค่ายกลก็จะเปล่งแสงวิญญาณที่สั่นไหว ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยรีบใช้เคล็ดวิญญาณระงับไว้ สามารถดูออกจากแววตางงงันของอสูรปีศาจพวกนั้น ว่าพวกมันไม่พบเงื่อนงำใดๆ
มั่วชิงเฉินแอบตะลึงในใจ นี่คือค่ายกลอะไร พลังป้องกันแข็งแกร่งหรือไม่มิพูดถึง เฉพาะคุณสมบัติการปกปิดร่องรอยก็เพียงพอให้อิจฉาแล้ว
“หัวหน้ากลุ่ม…” เห็นมั่วชิงเฉินวกกลับมา มีคนเรียกขึ้น ในน้ำเสียงเผยให้เห็นความกังวล
มั่วชิงเฉินกวาดมองทุกคนปราดหนึ่งว่า “เวลาเช่นนี้ พวกเราได้แต่รอ”
“รอ?”
“ถูกต้อง” มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ในเมื่ออสูรปีศาจฝูงนี้เพิ่งมาเขาหลางหยา กำลังฮึกเหิม เราหลบความกระเ**้ยนกระหือรือของพวกมันก่อน อยู่ในถ้ำสักระยะ รอพวกมันหาไม่พบเสียที ย่อมจะยอมแพ้ไปเอง ถึงเวลาไม่แน่ก็มีโอกาสแล้ว”
หลิวต้าฝานลังเลครู่หนึ่งว่า “ทว่า หากอสูรปีศาจพวกนี้ยอมทิ้งพวกเราไป ทำลายล้างเมืองหลางหยาจะทำเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินสีหน้าสงบ ราวกับพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนว่า “อสูรปีศาจฝูงนั้น ผู้นำคืออสูรปีศาจขั้นหก สติปัญญาไม่ต่ำไปกว่าพวกเรา มันเห็นกับตาว่าเราหลบเข้ามาที่นี่ ก็จะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด ต้องรู้ว่าที่อสูรปีศาจฆ่าคนธรรมดา เพียงเพราะหาผู้บำเพ็ญเพียรไม่พบแล้วระบายความโกรธเท่านั้น”
“อ้อ พวกเราก็คือเหยื่อหรือนี่?” ซุนอาหนิวตบศีรษะทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินยิ้มขึ้นมานิ่งเรียบว่า “ใช่ ใช้ตัวเป็นเหยื่อ ค่อยๆ กำจัด”
ใช้ตัวเป็นเหยื่อ ค่อยๆ กำจัด? ทุกคนสะดุ้ง ในใจกลับถูกปลุกปั่นขึ้นมา
“ได้ หัวหน้ากลุ่ม เราฟังเจ้า พวกเราจะคอยดูว่า ตกลงเดรัจฉานพวกนั้นร้ายกาจ หรือว่าพวกเราร้ายกาจ!” ทุกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
สามปีต่อมา
“รีบเปิดค่ายกล!” นอกถ้ำ เสียงตะโกนอย่างร้อนรนดังขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยซัดเคล็ดวิญญาณสายหนึ่งออกจากมือ ศูนย์กลางผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่ซ้อนกันปั่นป่วนขึ้นดุจดั่งน้ำแข็งละลาย จากนั้นปากถ้ำถ้ำหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
หกคนที่อยู่นอกถ้ำแวบเข้ามา ปากถ้ำหายไปอย่างรวดเร็ว การโจมตีอย่างรุนแรงที่ตามมาติดๆ ซัดลงบนค่ายกล ผนังทองแดงกำแพงเหล็กส่งเสียงดังวิ้งๆ
“เกิดอะไรขึ้น?” มั่วชิงเฉินที่อยู่ในถ้ำหรี่ตาลง
สามปีมานี้ ทุกคนพัวพันกับอสูรปีศาจฝูงนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทำให้พลังของพวกมันหมดไปทีละนิดๆ จนถึงบัดนี้ยิ่งร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจขึ้น หาน้อยที่จะมีเวลาทุลักทุเลเช่นนี้แล้ว
“หัวหน้ากลุ่ม สถานการณ์ค่อนข้างผิดปกติ” หลิวต้าฝานที่เข้ามาจากข้างนอกคิ้วขมวดแน่น หอบแฮ่กๆ ว่า
“ผิดปกติ?” มั่วชิงเฉินซักไซ้ สายตาตกลงไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัว
อยู่ด้วยกันเช้าเย็นมาสามปีแล้ว นางรู้แล้วว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หลัวชื่อหลัวเตี๋ยจวิน ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เนี่ยชื่อเนี่ยชิงอี ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวนิกายเจิ้นโซ่วชื่อว่าโจวเหิง
หลัวเตี๋ยอีแม้เย็นชาทะนงเช่นเดิม ท่าทีที่มีต่อมั่วชิงเฉินกลับไม่เย็นชาเหมือนเมื่อเริ่มแรกแล้ว อย่างน้อยที่สุดเมื่อมั่วชิงเฉินมองมา ก็ตอบว่า “อสูรปีศาจมากขึ้นมาก”
“มากขึ้นมาก?” มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พวกเขาต่อกรกับแมงมุมไฟพิษอสูรปีศาจขั้นหกมาสามปี ทุกครั้งล้วนกำจัดตัวที่แต่ออกจากลุ่มหลังฝูงอสูรนั้นได้สองสามตัว จากนั้นก็รีบหนีภายใต้การไล่ฆ่าของแมงมุมไฟพิษ ถึงบัดนี้กว่าจะเก็บลูกสมุนพวกนั้นจนพอสมควร กลับมีอสูรปีศาจตัวใหม่ปรากฏขึ้นมาอีก?
“ไม่เพียงเท่านี้ อสูรปีศาจพวกนั้นผิดปกติเล็กน้อย พวกนั้นต่างไปรวมตัวกันที่เชิงเขาทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเราไปก่อกวน เริ่มแรกไม่แม้แต่จะสนใจ จนกระทั่งฆ่าอสูรปีศาจไปสี่ห้าตัว ถึงแหย่อสูรปีศาจขั้นห้าตัวหนึ่งโกรธ ไล่ฆ่ามาตลอดทางถึงที่นี่ หัวหน้ากลุ่มเจ้าดู พวกมันไปแล้ว ถ้าเป็นยามปกติ ไม่ง่ายดายเช่นนี้หรอกนะ!” หลิวต้าฝานเสริมว่า
ทุกคนยกตามองไป พบว่าข้างนอกไม่มีความเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ
เรื่องผิดปกติต้องมีอะไรแน่ๆ นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินก็อยู่นิ่งไม่ไหวอีกแล้ว เอ่ยกับทุกคนว่า “ทุกคนอย่าเพิ่งร้อนรน ข้าออกไปดูหน่อย”
มั่วชิงเฉินแวบตัวออกไป เก็บงำกลิ่นอายแล้วเข้าไปใกล้เชิงเขาทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาหลางหยาอย่างระมัดระวัง
ที่นั่น อสูรปีศาจฝูงหนึ่งรวมตัวกันมืดครึ้มไปหมด แอบประมาณการไว้ว่าอย่างน้อยมีนับร้อยตัว
ที่สะดุดตาที่สุดคือ แมงมุมไฟพิษขั้นหกและอินทรียักษ์ปีกทองตัวหนึ่ง
ไม่คิดว่าจะมีอสูรปีศาจขั้นหกเพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
มั่วชิงเฉินหนักใจขึ้นมา สังเกตอสูรปีศาจฝูงนี้อย่างไม่ให้เห็นร่องรอย
อสูรปีศาจพวกนั้นล้อมเชิงเขาไว้วนไปวนมา แล้วย่นจมูกเหมือนดมอะไรอยู่
ลมแรงพัดมาระลอกหนึ่ง พัดจนมั่วชิงเฉินเกือบเผยร่องรอย แล้วก็เห็นอินทรียักษ์ปีกทองตัวนั้นกางปีกยาวหลายลี้ออก บินขึ้นฟ้าสูงไปช้าๆ
ผ่านไปชั่วครู่ อินทรียักษ์ปีกทองร่อนลงมาอีก เปล่งเสียงเหมือนร้องโหยหวน ปีกตบลงบนหินภูเขาที่หนึ่ง
อสูรปีศาจพวกนั้นกรูเข้ามา ต่างโจมตีหินภูเขาตรงนั้นขึ้นมา
ตรงนั้นมีอะไรกันแน่?
มั่วชิงเฉินรู้สึกสงสัย จึงแอบอ้อมไปข้างหนึ่ง แล้วบินขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ ไม่มีความปั่นป่วนของแรงวิญญาณแม้แต่น้อย
ถึงฟ้าสูง ทะเลเมฆเวิ้งว้าง ลมเหมือนคมมีด มั่วชิงเฉินหมอบลงมองลงไปข้างล่าง
เทือกเขาหลางหยาที่ทอดยาวหมื่นลี้ ขุนเขาสูงๆ ต่ำๆ คดเคี้ยวเลี้ยวลด ดุจดั่งมังกรเขียวยึดครองอยู่บนผืนแผ่นดิน
ตำแหน่งที่อสูรปีศาจพวกนั้นโจมตี…คือตำแหน่งหัวใจของมังกรพอดี!
มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง สำหรับฮวงจุ้ย ที่มงคลพวกนี้นางรู้ไม่มาก ทว่าในฐานะคนนอกวง ก็สามารถเดาได้ว่าพฤติกรรมของอสูรปีศาจพวกนี้มีปัญหา
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางย้อนกลับถ้ำอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
“หัวหน้ากลุ่ม เป็นเช่นไรบ้าง?” ทุกคนล้อมขึ้นมา
มั่วชิงเฉินสีหน้าหนักหน่วงว่า “ยังไม่แน่ใจ” พูดพลางมองไปที่เนี่ยชิงอีว่า “สหายเต๋าเนี่ย เชิญตามข้าออกไปดูด้วยกัน”
เนี่ยชิงอีชะงัก ดูเหมือนคิดไม่ถึงว่ามั่วชิงเฉินจะหาเขา กลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้านิ่งเรียบ แล้วตามนางออกไปพร้อมกัน
ทุกคนที่เหลืออยู่ในถ้ำมองหน้ากันปราดหนึ่ง ในใจรู้สึกกังวลขึ้นมา
“สหายเต๋าเนี่ย” มั่วชิงเฉินยื่นมือออก
เนี่ยชิงอีชะงักงันอีกครั้ง
“ยื่นมือเจ้าออกมา” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจริงจัง
เนี่ยชิงอีไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาสามปีแล้ว เชื่อใจการกระทำของมั่วชิงเฉิน จึงยื่นมือออกไปตามที่บอก
มั่วชิงเฉินกุมมือเนี่ยชิงอีไว้
ปลายนิ้วเย็นเล็กน้อย เนี่ยชิงอีอดตะลึงงันไม่ได้ เสียงที่สงบของมั่วชิงเฉินกลับดังขึ้นข้างหูว่า “จำไว้ อย่าโคจรพลังวิญญาณเด็ดขาด หากอสูรปีศาจฝูงนั้นรู้ตัว เรื่องก็ใหญ่แล้ว”
เพิ่งสิ้นเสียง เนี่ยชิงอีก็พบด้วยความตระหนกว่าร่างกายลอยขึ้นฟ้าไป ไม่คิดว่าจะถูกมั่วชิงเฉินพาบินขึ้นฟ้าสูงไปอย่างช้าๆ
เนี่ยชิงอีไม่ได้พูด กลับหันหน้ามองมั่วชิงเฉินโดยพลัน
มั่วชิงเฉินรู้ถึงความตกตะลึงในใจของเขา อธิบายว่า “ข้าเคยกินผลไม้เซียนผลหนึ่งด้วยโอกาสวาสนา”
เนี่ยชิงอีเข้าใจในฉับพลัน สีหน้ากลับประหลาดใจยิ่งขึ้น
บินถึงกลางฟ้าสูง มั่วชิงเฉินหยุดลง นิ้วมือชี้ข้างล่างพูดเสียงเบาว่า “สหายเต๋าเนี่ย เจ้าดูเทือกเขาหลางหยาด้านล่าง และอสูรปีศาจฝูงนั้นอีก สถานการณ์ไม่ค่อยปกติใช่หรือไม่?”
เนี่ยชิงอีก้มหน้ามองไป ทันใดนั้นม่านตาขยายใหญ่ สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความหวาดผวา
มั่วชิงเฉินไม่กล้าผลีผลามส่งเสียง ใจกลับเต้นเร็วขึ้นมา จากร่างกายที่ตึงเกร็งของเนี่ยชิงอี นางสังเกตได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวแทบสิ้นสติของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ผ่านไปพักใหญ่ เนี่ยชิงอีถึงถอนสายตากลับมามองไปที่มั่วชิงเฉิน
ความหวาดผวาในดวงตาทำให้มั่วชิงเฉินใจเต้นโครมคราม “เป็นอันใดหรือ?”
พูดออกมาถึงพบว่าเสียงแห้งแหบเล็กน้อยแล้ว
เนี่ยชิงอีสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง แล้วพ่นลมหายใจออกมาอีก สีหน้าถึงสงบลงเล็กน้อยว่า “สหายเต๋ามั่ว ที่นี่จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“หมายความว่าเช่นไร?” มั่วชิงเฉินไล่ถามไม่ลดละ
เนี่ยชิงอียื่นนิ้วมือออกว่า “เจ้าดูเทือกเขาหลางหยานี่เหมือนอะไร?”
ไม่ต้องดูมั่วชิงเฉินก็พูดออกมาแล้วว่า “เหมือนมังกรเขียวที่ขดอยู่ สหายเต๋าเนี่ย ที่ที่อสูรปีศาจพวกนี้โจมตีดูเหมือนคือตำแหน่งหัวใจของมังกรเขียว นี่พวกมันจะทำลายปราณมังกร?”
เนี่ยชิงอีส่ายศีรษะช้าๆ
มั่วชิงเฉินงงงัน หรือว่านางเดาผิด?
“ที่พวกมันจะทำไม่ใช่ทำลายปราณมังกร หากแต่คือการทำลายค่ายกลพิชิตมังกรที่สะกดหัวใจมังกรไว้ ทำให้มังกรร้ายตัวนี้แหกค่ายกลออกมา!” เนี่ยชิงอีเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“มังกรร้าย?” มั่วชิงเฉินตะลึง ในใจยิ่งสับสนขึ้น
“สหายเต๋ามั่วเจ้าดูทางนั้น ขาดอะไรไปใช่หรือไม่?” เนี่ยชิงอียื่นมือชี้ออกไปไกล
มั่วชิงเฉินมองตามไป มังกรเขียวขดวนคดเคี้ยว ไปถึงส่วนหางกลับเอียงอยู่ ราวกับถูกตัดขาดท่อนหนึ่ง
“ดูเหมือนหางมังกรหายไปท่อนหนึ่ง”
เนี่ยชิงอีพยักหน้าว่า “ถูกต้อง นี่คือมังกรร้ายหางขาดตัวหนึ่ง ดังนั้นที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่มงคลตามที่คนธรรมดาคิด หากแต่เป็นที่อัปมงคลยิ่งนัก!”
“ค่ายกลพิชิตมังกรนั่นมันเรื่องอะไรกัน หรือว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรสะกดอยู่?” มั่วชิงเฉินถามขึ้น
มังกรที่ทั้งสองคนพูดถึงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายที่จับต้องได้และชีวิต หากแต่เป็นภูมิประเทศชนิดหนึ่งเท่านั้น ทว่าเรื่องที่เกี่ยวพันถึงฮวงจุ้ย มักลึกลับยิ่งนัก
“ค่ายพิชิตมังกรที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้หากมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ความสามารถล้นเหลือแล้วไม่สามารถตั้งได้ คาดว่าอย่างน้อยต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมากกว่าสี่ท่านร่วมมือกัน ถึงสะกดมังกรร้ายหางขาดนี่ได้” เนี่ยชิงอีถอนใจว่า
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลงว่า “สหายเต๋าเนี่ย เจ้าว่าหากค่ายพิชิตมังกรแตก จะเกิดอะไรตามมา?”
ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ข้า ใจย่อมเป็นอื่น อสูรปีศาจพวกนี้ ใจอำมหิตตามคาด
เนี่ยชิงอีสีหน้าหนักใจยิ่งขึ้นว่า “ผลที่ตามมา…ถึงเวลาแผ่นดินสะเทือนภูเขาเลื่อนลั่น ภูเขาถล่มแผ่นดินแยกออกจากกัน ที่นี่ ทางนั้น ยังมีรัศมีภายในพันลี้นี้ เกรงว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนต้องถูกทำลายในภัยพิบัติครั้งนี้”
มั่วชิงเฉินฟังจนเหงื่อเย็นโทรมกาย กลับได้ยินเสียงเนี่ยชิงอีสั่นว่า “ไม่ถูก! ไม่เพียงเท่านี้!”
“อะไร!” มั่วชิงเฉินอุทานออกมา
เหงื่อเย็นเนี่ยชิงอีไหลลงมาแล้วว่า “มังกรร้ายหางขาด เดิมทีสภาพแวดล้อมธรรมชาติน่าจะย่ำแย่มาก ทว่าเทือกเขาหลางหยากลับเขียวขจี สิ่งมีชีวิตอุดมสมบูรณ์ เจ้าดู มันคดเคี้ยวขดวน มีเศียรมังกรเป็นศูนย์กลาง เศียรมังกรของมังกรร้ายนี้ต้องหนุนอยู่บนปราณไฟสายหนึ่งแน่”
“เช่นนั้น…เป็นเช่นไรอีก?” มั่วชิงเฉินมีลางสังหรณ์ว่าคำตอบต้องน่าตกใจแน่ๆ
เสียงของเนี่ยชิงอีราวกับดังมาจากขอบฟ้าว่า “มังกรร้ายแหกค่าย ปราณไฟคอยหนุน ถึงเวลาภายในหมื่นลี้จะถูกไฟโหมกระหน่ำแผดเผา กลายเป็นนรกอเวจี! ถึงเวลา ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรต่ำกว่าระดับก่อแก่นปราณภายในหมื่นลี้ จะต้องฝังร่างในนรกบรรลัยกัลป์”
มั่วชิงเฉินร่างกายส่ายไปมา จากนั้นสงบลงมา ก้มหน้าดูปราดหนึ่งแล้วว่า “เรากลับกันเถอะ”
กลับถึงถ้ำ นางเล่าสถานการณ์รอบหนึ่ง
ทุกคนตะลึงกับข่าวน่าตกใจนี้ ผ่านไปพักใหญ่แล้วยังไม่ได้สติกลับมา
ผ่านไปเนิ่นนาน หลิวต้าฝานถึงถามเสียงแหบพร่าว่า “เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไร?”
ทุกคนนิ่งเงียบไม่มีคำพูด
ยังคงเป็นมั่วชิงเฉินที่ทำลายความสงบนี้ว่า “ข้าคิดว่า ยามนี้มีเพียงวิธีเดียวแล้ว”