พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 313
หญิงสาวนั่นถูกห่ออยู่ในผ้าไหมขาวสะอาดดุจหิมะหลายชั้น เส้นผมห้อยลง ระหว่างที่แกว่งไกวเผยให้เห็นใบหน้าสะสวยไม่มีที่ติ
ไม่คิดว่าจะเป็นหลัวเตี๋ยจวิน
มั่วชิงเฉินอดกลั้นหายใจไม่ได้ เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วตกเข้าเงื้อมมือสาวน้อยที่แต่งตัวบางเบาสองคนนี้ได้เช่นไรอีก?
บทสนทนาของสาวน้อยสองคนนี้แวบผ่านสมองมั่วชิงเฉิน ใจเย็นเยียบขึ้นมาทันที หรือว่าของอร่อยที่พวกนางพูดถึงก็คือหลัวเตี๋ยจวิน?
นี่หมายความว่า…พวกนางไม่ใช่มนุษย์!
ไม่ถูก ตบะที่พวกนางเผยออกมาอยู่แค่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้น หากเป็นอสูรปีศาจนั่นก็คือขั้นห้า ไยอสูรปีศาจขั้นห้าถึงจำแลงกายได้!
สาวน้อยสองคนหัวเราะเริงร่า เดินหยอกล้อเล่นกันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ปราณปีศาจ! มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว อสูรปีศาจถึงขั้นแปดก็ถอดรูปเปลี่ยนกระดูกจำแลงเป็นคน หากไม่เสกคาถาแทบจะดูไม่ออกว่าพวกเขาคือต่างเผ่าพันธุ์
ทว่าปราณปีศาจในตัวสาวน้อยสองคนนี้ ต่อให้นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็รู้สึกได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกนางต้องเป็นอสูรปีศาจที่จำแลงกายได้ล่วงหน้าบางประเภทแน่นอน
ระหว่างที่มั่วชิงเฉินรีบใช้ความคิดสาวน้อยสองคนก็มาถึงข้างทะเลสาบแล้ว คนหนึ่งในนั้นยื่นมือออก ดึงผ้าไหมขาวเบาๆ ผ้าไหมสีขาวก็เลื่อนไหลลงมาดั่งสายน้ำ เผยให้เห็นร่างกายอ่อนช้อยงดงามมิอาจเทียบได้
ต่อให้มั่วชิงเฉินเป็นผู้หญิง เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ยังคงอดหน้าร้อนผ่าวไม่ได้ ยามนี้เองก็ได้ยินเสียงจ๋อมเสียงหนึ่ง น้ำกระเซ็นรอบทิศ ไม่คิดว่าหลัวเตี๋ยจวินจะถูกพวกนางโยนลงในทะเลสาบ
“ไอยา จิ่วเย่ว์ เหตุใดเจ้าถึงโยนคนลงไปเลยล่ะ ทะเลสาบนี้ลึกมากนะ” สาวน้อยที่พูดอยู่ใบหน้าเย้ายวน ใส่ต่างหูปะการังสีแดงเพียงข้างเดียวที่หูซ้าย ภายใต้แสงแดดเจิดจ้า ขับให้นางยิ่งพริ้มเพราขึ้น
สาวน้อยที่ชื่อจิ่วเย่ว์ปิดปากหัวเราะขึ้นมาว่า “พี่ชีซี เจ้ากลัวอะไร น้ำพุน้ำแข็งนี้ลึก พอดีจะได้ล้างให้สะอาดสักหน่อยมิใช่หรือ รอนางแช่จนอึดลอยขึ้นมา เช่นนั้นก็ล้างสะอาดทั้งในทั้งนอกแล้ว”
“เจ้าหัวหมอนี่ ยังไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรอกหรือ” ชีซีส่ายศีรษะ ต่างหูปะการังสีแดงที่หูซ้ายแกว่งตาม เสน่ห์เย้ายวนใจ
หลัวเตี๋ยจวินลอยตุ๊บป่องๆ ถูกหญ้าน้ำสีฟ้าน้ำแข็งต้นหนึ่งพันข้อเท้าไว้ ค่อยๆ จมลงก้นทะเลสาบ
มั่วชิงเฉินที่ได้ยินบทสนทนาของสาวน้อยสองคนนั้นแล้วร่างกายเย็นเยียบไปหมด หากนางเดาไม่ผิด สาวน้อยสองคนนี้เห็นหลัวเตี๋ยจวินเป็นอาหารจริงๆ
เห็นหลัวเตี๋ยจวินใกล้อยู่แค่เอื้อม มั่วชิงเฉินยื่นมือจับหญ้าน้ำไว้ลากนางเข้ามา จากนั้นล้วงยันต์ซ่อนวิญญาณที่มีเพียงใบเดียวออกตบไปที่ตัว จากนั้นหยิบกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวออกมา ซ่อนเร้นกลิ่นอายรอบตัว
“แปลกจริง เหตุใดยังไม่ลอยขึ้นมาอีก?” ชีซีเดินอ้อมขอบฝั่งสองสามก้าว ในใจเกิดสงสัยขึ้นมา
จิ่วเย่ว์มองลงไปในทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบขาวขุ่น ผสมปนเปไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งมากมาย เพียงแค่สะท้อนเงาอันเลือนรางของนาง มองก้นทะเลสาบไม่ชัด
“พี่ชีซี หรือไม่…เจ้าลงไปดูหน่อย?” จิ่วเย่ว์ตารูปผลซิ่งเป็นประกาย หัวเราะอย่างเอาใจ
ชีซีค้อนควักเข้าให้ว่า “ความคิดไม่เข้าท่าของเจ้า เจ้าลงไปเอง!”
“พี่ชีซี เจ้าก็รู้ คนเขากลัวหนาว…” จิ่วเย่ว์ดึงแขนเสื้อของชีซีไว้ แล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน
“ได้ ได้ ทนเจ้าไม่ไหวจริงๆ” ชีซีพึมพำพลาง กระโดดลงในทะเลสาบ
จิ่วเย่ว์ยังไม่ถอนสายตากลับมา ชีซีก็กระโดดขึ้นมาอีกแล้วว่า “จิ่วเย่ว์ ผีหลอกแล้ว!”
“อะไร?” จิ่วเย่ว์กะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ
ชีซีกระทืบเท้าว่า “ไอยา คนนั้นที่โยนลงไปเมื่อครู่หายไปแล้ว”
จิ่วเย่ว์ประหลาดใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?” จากนั้นเพ่งพิศสีหน้าของชีซีพลางเอ่ยเสียงอ้อนว่า “พี่ชีซี เจ้าคงไม่ได้จะหลอกน้องลงไปหรอกนะ?”
ชีซีโกรธแล้ว “เจ้าไม่เชื่อก็ช่างเถอะ ข้าไปแล้ว ออกมานานเพียงนี้ คุณหนูรู้เข้าต้องโดนดุอีกแล้ว”
“เอ๊ะ พี่ชีซีอย่าโกรธสิ ข้าจะลงไปดูเดี๋ยวนี้แหละ” จิ่วเย่ว์พูดพลางสูดอากาศเข้าอึดหนึ่ง แล้วกระโดดลงไปในทะเลสาบ
ก้นทะเลสาบปูหินไข่ห่านหลากสีไว้ ใสมีน้ำมีนวล กระจายไปทั่วดั่งดารา หญ้าน้ำสีน้ำเงินและเขียวขึ้นสลับกันพลิ้วไหวล่องลอยตามกระแสน้ำ ทอดสายตามองไปไม่มีสิ่งใดบดบัง ยังมีเงาของคนผู้นั้นเสียที่ไหน!
จิ่วเย่ว์มองไปทั่ว ประหลาดใจยิ่งนัก
หลับตาลงปล่อยจิตตระหนักออก จิตตระหนักก็เหมือนมีหนวดสัมผัสยืดออกในน้ำทะเลสาบที่หนาวเสียดกระดูก กลับไม่พบเงื่อนงำเลยสักนิด
สะบัดแขนเสื้อ ก้อนน้ำแข็งบินออกหลายก้อน ขว้างไปตามที่ต่างๆ ที่ก้นทะเลสาบอย่างแรง น้ำทั้งทะเลสาบราวกับถูกต้มเดือด กระเพื่อมอย่างรุนแรง
“จิ่วเย่ว์ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!” เสียงของชีซีที่ขอบฝั่งดังมาถึงก้นทะเลสาบ ฟังแล้วเลือนรางเล็กน้อย
จิ่วเย่ว์กลับกลั้นหายใจ บินขึ้นไป แขนเสื้อโบกสะบัด สองเท้าแตะพื้น
“แปลกจริงๆ เหตุใดคนถึงหายไปได้นะ ช่างเถอะ พี่ชีซี เราไปกันเถอะ อีกสักครู่คุณหนูคงเรียกหาแล้ว” จิ่วเย่ว์ขมวดคิ้วว่า แล้วกระตุกชีซี
ชีซีไม่ค่อยพอใจว่า “เป็นเพราะความคิดไม่เข้าท่าของเจ้าแท้ๆ เป็ดที่มาถึงปากบินหนีไปแล้ว!”
เห็นทั้งสองคนยิ่งเดินยิ่งไกล มั่วชิงเฉินโล่งอกเล็กน้อย เพิ่งคิดจะขยับกลับชะงักไว้อีก แล้วตั้งสมาธิกลั้นหายใจ
เวลาไม่เคยผ่านไปช้าเช่นนี้มาก่อน มั่วชิงเฉินกลับไม่รีบร้อน ดูเหมือนกำลังรออะไรอยู่
ผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ ไม่คิดว่าสาวน้อยสองคนนั้นจะปรากฏขึ้นที่เดิม
“จิ่วเย่ว์ ดูท่าไม่ได้มีอสูรปีศาจอื่นขโมยคนผู้นั้นไป หากเป็นเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่ออกมานี่นา” ในเสียงชีซียากจะปิดความเสียดายได้มิด เห็นชัดว่ากำลังปวดใจที่ไม่ได้กินของอร่อย
สีหน้าจิ่วเย่ว์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรว่า “ช่างประหลาดจริงๆ เลย คนตัวเป็นๆ ทั้งคนก็หายไปทั้งเช่นนี้แล้ว”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมารดาข้าบอกว่า น้ำพุน้ำแข็งแห่งนี้ภูมิประเทศเฉพาะตัว นานๆ ทีจะมีกระแสอากาศวนเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ กระแสอากาศวนนั่นกลับแฝงไว้ด้วยลักษณะพิเศษของช่องมิติ หากมีวาสนากระตุ้นถูกบังเอิญ ก็คือค่ายเคลื่อนย้ายขนาดย่อมตามธรรมชาตินี่เอง!” ชีซีดูเหมือนึกอะไรขึ้นได้ กระจ่างในฉับพลัน
สายตาจิ่วเย่ว์กลับประหลาดขึ้นมาเล็กน้อยว่า “ไยมารดาเจ้าถึงพูดเรื่องนี้กับเจ้า เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินคนในเผ่าพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน?”
เสียงชีซีเบาลงมาว่า “ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับคุณหนูด้วย ว่ากันว่าก่อนนี้นานแล้ว คุณหนูก็เพราะกระตุ้นถูกอากาศวนโดยไม่ได้ตั้งใจยามที่เล่นสนุกอยู่ในน้ำพุน้ำแข็งนี้ ถูกเคลื่อนย้ายไปข้างนอก ถึงได้รู้จักมนุษย์ผู้นั้น…”
“พี่ชีซี อย่าพูดอีกเลย หากคุณหนูรู้เข้าต้องถลกหนังเราแน่ๆ!” จิ่วเย่ว์ที่สนุกสนานเฮฮามาตลอดเอ่ยเสียงดุ
แล้วทั้งสองคนก็จากไปเงียบๆ
มั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดนี้ จึงพอเข้าใจว่าเหตุใดตนถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่แล้ว และยิ่งทอดถอนใจในความเจ้าเล่ห์ของปีศาจสองตน ครั้งแรกจากไป เห็นชัดว่าซ่อนตัวขึ้นมารอตนปรากฏร่าง
มีหนึ่งก็มีสอง ใครจะรู้ว่าครั้งนี้สาวน้อยสองคนนี้จากไปจริงๆ หรือว่าศึกไม่หน่ายเล่ห์[1]ล่ะ
มั่วชิงเฉินรออีกครึ่งค่อนวัน เห็นไม่มีความเคลื่อนไหวอีก ก็ไม่ออกไป หากแต่ล้วงกริชที่เก็บไว้ในอกตลอดออกมา ขุดถ้ำใต้ดินเอียงๆ ที่สถานที่ใกล้ก้อนหินก้อนหนึ่ง
เสกคาถาเปลี่ยนถ้ำใต้ดินให้เป็นหิน แล้วพาหลัวเตี๋ยจวินหลบเข้าไป
มีมุกกันน้ำอยู่ พวกนางสามารถอยู่ในถ้ำใต้ดินนี้หนึ่งเดือน เช่นนี้คงสามารถปิดบังปีศาจสองตนนั้นได้แล้วกระมัง
แตะข้อมือหลัวเตี๋ยจวินตรวจดู มั่วชิงเฉินป้อนโอสถสองสามเม็ดให้นาง
สามวันให้หลัง ในที่สุดหลัวเตี๋ยจวินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้ว
——
[1] ศึกไม่หน่ายเล่ห์ หมายถึง การทำศึกสงครามย่อมต้องใช้กลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอุบายร้ายกาจก็ต้องทำ เพราะหากเราไม่หลอกเขา เขานั่นแหละจะหลอกเรา ฉะนั้นใครหลอกอีกฝ่ายหนึ่งได้มากกว่า ย่อมเป็นผู้ชนะ