พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 318
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 318 ร่วมมือสู้ปีศาจจิ้งจอก
กลางคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เปิดม่านที่แต่งแต้มด้วยดวงดาราขึ้น พื้นหิมะสะท้อนแสงดาวเย็นกระจ่าง ทำให้ยิ่งดูหนาวเย็นจับใจ
วังกว่างหานตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว แสงจันทราสาดเต็มกำแพง เมฆดำก้อนหนึ่งบดบังจันทรา มีครึ่งหนึ่งถูกคลุมอยู่ในเงามืด ต้นอบเชยจีนที่อยู่ข้างๆ กิ่งก้านแน่นหนา สะท้อนเงาตะคุ่มๆ บนกำแพงวัง ดูแล้วให้ความรู้สึกวิเวกวังเวงเล็กน้อย
“สหายเต๋ามั่ว เราแยกกันทำงานใช่หรือไม่?” หลัวเตี๋ยจวินใช้จิตตระหนักส่งเสียงทางจิต
มั่วชิงเฉินลากหลัวเตี๋ยจวินไว้ ส่ายศีรษะว่า “ทางที่ดีที่สุดเราอาศัยทีเผลอกำราบคนหนึ่งก่อน ต่อให้อีกคนหนึ่งต้องปะทะซึ่งหน้า สองคนรวมพลังกันก็มีโอกาส”
หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้าว่า “ได้ จัดการคนไหนก่อน?”
“จิ่วเย่ว์” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่ลังเล
หลัวอวี้จวินไม่ค่อยเข้าใจ มั่วชิงเฉินอธิบายว่า “จิ่วเย่ว์ชอบดื่มสุรา วันนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางต้องยืมสุราดับทุกข์แน่ ที่ข้านี่พอดีมียาชนิดหนึ่งชื่อว่าโค่นเซียน ไร้สีไร้กลิ่น ใส่ลงในสุราต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่เกินชั่วครู่ก็ต้องเมาหลับ ส่วนชีซีแม้สุขุม เทียบกับจิ่วเย่ว์แล้วพลังกลับด้อยกว่าเล็กน้อย…”
มองดูสีหน้าแน่วแน่มีความมั่นใจของมั่วชิงเฉิน หลัวเตี๋ยจวินคิดขึ้นได้ทันที ที่แท้สิบปีมานี้นางคอยสังเกตไปเสียทุกที่ ก็เพื่อรอคอยโอกาสที่ดีที่สุดใช่หรือไม่?
คิดถึงตรงนี้อดนึกไม่ได้ว่า หากคนที่ตกระกำลำบากมาอยู่ที่นี่พร้อมตนคือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มาจากสำนักเลื่องชื่อที่รู้จักเมื่อก่อนพวกนั้น เหตุการณ์จะเป็นเช่นไรนะ?
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว จู่ๆ ในใจก็รู้สึกโชคดีอย่างหาใดเปรียบไม่ได้
“สหายเต๋าหลัว?” เห็นหลัวเตี๋ยจวินเหม่อลอยเล็กน้อย มั่วชิงเฉินเรียกเตือนสติ
หลัวเตี๋ยจวินได้สติกลับมา ยิ้มให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินนึกว่านางในใจกระสับกระส่าย กลับไม่ได้พูดมาก ตบถุงอสูรวิญญาณเบาๆ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตตัวหนึ่งบินออกมา บินวนปลายนิ้วสองรอบแล้วบินไปทางประตูวัง
หลัวเตี๋ยจวินเบิกตาโตอย่างอัศจรรย์ใจ กลับไม่ได้ถามมาก
รออยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ก็ไม่เห็นผึ้งวิญญาณเลือดมรกตวนกลับมา พวกมั่วชิงเฉินสองคนกังวลใจขึ้นมา
“สหายเต๋ามั่ว ทำเช่นไรดี?”
มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “เราลองเข้าไปดูสถานการณ์”
กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวปรากฏขึ้นในมือ ทั้งสองคนเข้าไปในวังกว่างหานอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
หลายปีมานี้มั่วชิงเฉินคอยสังเกตทุกที่ รู้ว่าเขากว่างหานที่กว้างใหญ่นี้มีเพียงนายบ่าวสามคนนั่นนานแล้ว คงเพราะเหตุตั้งค่ายกลเข้าได้ออกไม่ได้ไว้ ทั่วทั้งวังกว่างหานจึงไม่มีการป้องกันอะไร กลับสร้างความสะดวกให้พวกนางทีเดียว
นี่ยังเป็นครั้งที่สองที่ทั้งสองคนย่างเข้าวังกว่างหาน แม้แต่ที่อยู่ของจิ่วเย่ว์และชีซีก็ไม่รู้ ที่มั่วชิงเฉินส่งผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกไป เพียงเพราะถุงหน้าท้องของผึ้งวิญญาณเก็บโค่นเซียนไว้ สั่งให้มันลงมือตามสถานการณ์เท่านั้น
ทั้งสองคนสำรวจอย่างระมัดระวังในวัง ด้านตะวันตกมีห้องของหญิงสาวสองห้อง คิดว่าน่าจะเป็นของจิ่วเย่ว์และชีซี พวกนางกลับไม่อยู่ในห้องทั้งคู่
“สหายเต๋ามั่ว เจ้าดูด้านนั้น” หลัวเตี๋ยจวินส่งเสียงทางจิตด้วยจิตตระหนัก ชี้ด้านหลังที่ไกลออกไป ที่นั่นน่าจะเป็นสถานที่ตั้งของสวนดอกไม้หลัง มีแสงสว่างขึ้นรำไรอย่างคาดไม่ถึง
“ไปดูกัน”
ทั้งสองคนเข้าใกล้สวนดอกไม้หลัง มองไปเงียบๆ แล้วอดตกตะลึงไม่ได้
เห็นเพียงข้างต้นดอกเหมยสีหยกขาวโน้มกิ่งต้นหนึ่ง จิ้งจอกขาวเหมือนหิมะสูงขนาดครึ่งคนสองตัวคุกเข่าอยู่ พวกมันหรี่ตาครึ่งหนึ่ง ปากบ่นพึมพำ โขกหัวให้พระจันทร์ไม่หยุด
จากนั้นอ้าปาก คายมุกปีศาจที่ขาวสะอาดดุจหิมะออกมา
มุกปีศาจบินอยู่กลางอากาศเปล่งแสงสว่างกระจ่าง แสงที่สาดส่องลงจากพระจันทร์ราวกับจับต้องได้ก็ไม่ปาน กลั่นตัวเป็นผ้าไหมสีเงินเงาวาวร่วงหล่นจากขอบฟ้า กระหวัดมุกปีศาจสองเม็ดนั้น
แสงจันทร์ดุจผ้าไหม มุกปีศาจกระโดดโลดเต้นไม่หยุดเมื่ออาบอยู่ภายใน เริงร่าราวกับมีชีวิต
จิ้งจอกไหว้จันทร์?
ทั้งสองคนกำลังประหลาดใจอยู่ ก็เห็นมุกปีศาจสองเม็ดกลางอากาศหมุนขึ้นมาอย่างรีบร้อน แสงจันทร์ถูกดูดเข้าไปทีละนิดๆ ตามจังหวะการหมุนที่รวดเร็ว รอจนแสงจันทร์หายไปหมด จิ้งจอกสองตัวอ้าปาก มุกปีศาจสองเม็ดก็บินเข้าปากใครปากมัน
มั่วชิงเฉินเห็นอย่างชัดเจนว่าจิ้งจอกสองตัวสั่นสะท้านฟุบลงกับพื้น จำแลงเป็นหญิงสาว คือจิ่วเย่ว์และชีซีนั่นเอง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจมั่วชิงเฉินเกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้น นางไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ ว่าผู้ชายเช่นอาจารย์นั้น จะมอบใจรักกับหญิงสาวที่จำแลงจากจิ้งจอกเช่นนี้ได้อย่างไร
นี่ คือริษยาใช่หรือไม่? มั่วชิงเฉินถามใจตนเอง ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ใจของนางไม่อาจให้คำตอบได้
“พี่ชีซี ในใจข้าอึดอัด และก็ไม่มีอารมณ์บำเพ็ญเพียรแล้ว” จิ่วเย่ว์นอนหงายบนพื้น พึมพำว่า
ชีซียิ้มระทมว่า “ข้าก็ไม่ต่างกัน”
ปกติพวกนางต้องบำเพ็ญเพียรต่อพระจันทร์สองชั่วยาม ทว่าวันนี้เพียงหนึ่งชั่วยามก็ไม่มีกะจิตกะใจบำเพ็ญเพียรแล้ว เมื่อนึกถึงคุณหนูที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ยังมีการลงโทษจากหัวหน้าเผ่าอีก ในใจก็กระวนกระวายไม่สงบ
เผ่าปีศาจจิ้งจอกแม้สามารถจำแลงกายได้เมื่ออยู่ขั้นห้า กลับก็มีข้อห้ามมากมายเช่นกัน ขั้นห้าเช่นจิ่วเย่ว์และชีซีนี้ จำเป็นต้องบำเพ็ญเพียรต่อหน้าดวงจันทร์อย่างน้อยครึ่งชั่วยามทุกวัน ดูดซับแก่นแห่งจันทรา หากว่างเว้นไปสักวัน วันที่สองก็ไม่อาจรักษาร่างคนไว้ได้อีก
แน่นอนตามตบะที่เพิ่มขึ้นข้อห้ามเช่นนี้ก็จะยิ่งน้อยลง จนถึงหลังขั้นแปดก็จะเปลี่ยนจนไม่ต่างกับมนุษย์ที่แท้จริง
จิ่วเย่ว์ลุกขึ้นยืนว่า “พี่ชีซีเจ้ารอนะ ข้าจะไปเอาสุรา ดื่มสุราแล้ว ก็ไม่ต้องคิดมากเช่นนี้แล้ว หึๆ”
มั่วชิงเฉินปีติในใจ เห็นกับตาว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตตามขึ้นไปแล้ว ไม่นานนักจิ่วเย่ว์ก็อุ้มไหสุราไหหนึ่งย้อนกลับมา โบกมือเสกโต๊ะน้ำชาที่ทำจากศิลาหิมะขึ้นตัวหนึ่ง แล้วางไหสุราลงไปอย่างหนัก “พี่ชีซี ดื่มเป็นเพื่อนน้องจอกหนึ่ง”
ชีซีส่ายหน้าว่า “จิ่วเย่ว์ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่แตะสุราแม้แต่หยดเดียว ข้าดื่มเมื่อไร ก็จะคืนร่างเดิม”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร ไหนๆ ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น” จิ่วเย่ว์กล่อมว่า
ความอึดอัดของจิ่วเย่ว์ ชีซีก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วยิ้มระทมว่า “น้องจิ่วเย่ว์เจ้าอย่าให้ข้าต้องลำบากใจเลย ข้าดื่มชาเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?”
จิ่วเย่ว์ไม่เซ้าซี้นางอีก ยื่นจอกสุราที่รินสุราจนเต็มไว้ที่ริมฝีปาก มือกลับไวเหมือนฟ้าแลบจับหมับ
“เป็นอะไรน่ะ?” ชีซีตกใจ
จิ่วเย่ว์แบมือออก ไม่คิดว่าจะเป็นผึ้งสีมรกตตัวหนึ่ง
“เอ๊ะ ไยเขากว่างหานถึงมีผึ้งได้ล่ะ?” ชีซีประหลาดใจ
จิ่วเย่ว์ขมวดคิ้วเพ่งพิศผึ้งในฝ่ามือครู่ใหญ่ เอ่ยปากว่า “นางหนูน้อยที่ชื่อมั่วชิงเฉินคนนั้น มีน้ำผึ้งวิญญาณดอกท้อมิใช่หรือ ผึ้งนี่ นางเป็นคนเลี้ยงไว้กระมัง?”
มั่วชิงเฉินใจบีบรัดคราหนึ่ง หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าดูไม่ดีเช่นกัน ทั้งสองคนถูกกระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวครอบไว้ภายในบดบังกลิ่นอายไว้ ใจกลับเต้นไปถึงคอหอย
“อยู่ดีๆ ผึ้งวิญญาณนี่มาทำอะไรถึงนี่ล่ะ?” ชีซีขมวดคิ้วขึ้น
จิ่วเย่ว์ใช้นิ้วดีดผึ้งวิญญาณเลือดมรกตว่า “หรือว่านางหนูสองคนนั้นไม่อยู่ในโอวาท ส่งผึ้งวิญญาณตัวนี้มาสืบข่าวที่นี่?” พลางพูด พลางจิบสุราไปอึกหนึ่ง
มั่วชิงเฉินโล่งอก ขอเพียงดื่มสุราที่มีโคนเซียนอยู่ในนั้น ต่อให้นางสงสัยก็ไม่เป็นไรแล้ว อย่างไรเสียสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ตรงนี้
ชีซีเป่าใบชาในถ้วยเบาๆ ว่า “ไม่อยู่ในโอวาทแล้วเป็นเช่นไร พวกนางทั้งออกไปไม่ได้และก็เอาชนะพวกเราไม่ได้ หรือว่ายังจะพลิกขึ้นฟ้าไปได้หรือเช่นไร?”
จิ่วเย่ว์สีหน้าเย็นชาขึ้นมาว่า “พี่ชีซี นางหนูสองคนนั้นเหมือนใกล้จะก่อแก่นปราณแล้ว”
มือที่ถือฝาถ้วยของชีซีชะงัก วางถ้วยชาลงว่า “เจ้าหมายความว่า…พวกนางคิดจะก่อแก่นปราณ ถึงมาสืบดูสถานการณ์? หากก่อแก่นปราณจริง คุณหนูก็ไม่อยู่อีก…”
บนใบหน้าจิ่วเย่ว์ปรากฏแววอำมหิตขึ้นสายหนึ่งว่า “ไม่สู้พรุ่งนี้ก็จัดการพวกนางเสียจะได้หมดเรื่อง ไหนๆ คุณหนูก็ไม่อยู่ เวลากลุ้มใจเช่นนี้ยังต้องคอยระแวงพวกนางอีก ใครจะทนได้!”
ชีซีลังเลครู่หนึ่ง เมื่อคิดว่ามนุษย์สองคนนั้นหากก่อแก่นปราณ พวกนางก็ไม่เห็นว่าจะเอาอยู่จริงๆ จึงพยักหน้า
หลัวเตี๋ยจวินอดมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งไม่ได้ ในใจแอบว่าโชคดี หากไม่เพราะนางตัดสินใจเด็ดขาดจะเคลื่อนไหวคืนนี้ ถึงพรุ่งนี้ทั้งสองคนมิต้องยอมแพ้โดยไม่มีทางสู้หรือ
“จิ่วเย่ว์ เจ้าเป็นอะไรน่ะ?” เห็นจู่ๆ จิ่วเย่ว์ก็ฟุบลงบนโต๊ะ ชีซีอุทานขึ้น
พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้า ลงมือพร้อมกัน
“เต๊งๆๆ” เสียงดนตรีอันไพเราะดังขึ้น
ชีซีตัวแข็งทื่อ ในเวลาสำคัญเช่นนี้ กี่หยกอันหนึ่งบินมาถึงตรงหน้า ด้านหนึ่งของกี่หยกแหลมขึ้น แสงวิญญาณร้อยรัดพุ่งสู่หน้าอก
ชีซีขยับตัว หลับออกไปเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วตะโกนอย่างเย็นชาว่า “รนหาที่ตาย!”
เชือกห้าสีในมือบินออก เฆี่ยนลงบนกี่หยกดังผลัวะ
กี่หยกมุนอยู่กลางอากาศ แล้วบินกลับไป
“เต๊งๆๆ” เสียงดนตรียิ่งรีบร้อนขึ้น ราวกับฝนตกลงบนใบกล้วย
ฉวยโอกาสนี้ นิ้วมือมั่วชิงเฉินตีเคล็ดวิชานิ้วที่ซับซ้อนมากออกมาติดๆ กัน เมื่อดีดนิ้วแสงวิญญาณใสหนึ่งก็หายเข้าไปในกี่หยกอย่างว่องไว
กี่หยกที่มืดมนลงในตอนแรกสว่างไสวขึ้นมาทันที เส้นไหมเป็นพันเป็นหมื่นเส้นพุ่งเข้าใส่ชีซี
“ไป!” ชีซีร้องอย่างรีบร้อน เชือกห้าสีแปลงเป็นแส้เทพห้าสีเส้นหนึ่ง เพี้ยะๆ เฆี่ยนเส้นไหมหมื่นเส้นจนขาด จากนั้นสะบัดขึ้นกลางอากาศ เงาแส้มากมายโถมเข้าใส่มั่วชิงเฉินเหมือนเกลียวคลื่น
ไหมเกล็ดน้ำแข็งปรากฏขึ้นกันทั้งสองไว้ภายใน เงาแส้มากมายกระแทกลงบนกำแพงเกล็ดปลาที่แปลงมาจากไหมเกล็ดน้ำแข็งจนร้องวิ้งๆ กำแพงเกล็ดสั่นไหวไม่หยุด
ชีซีหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง มือหนึ่งสะบัดแส้เทพห้าสีหวดเงาแส้ออกมากมาย มือหนึ่งถอดต่างหูปะการังแดงโยนขึ้นฟ้า
ต่างหูปะการังแดงกะพริบแสงวิญญาณ กลายเป็นวงแหวนมหึมาวงหนึ่ง ชนถูกกำแพงเกล็ดปลาวงแหวนสีแดงลุกเปลวไฟน้ำแข็งขึ้น ทั้งสองคนรู้สึกถึงความหนาวเสียดกระดูกในทันที
เปลวไฟน้ำแข็งพวกนั้นทำลายล้างอย่างน่ากลัว กำแพงเกล็ดเหมือนถูกน้ำแข็งผนึก แข็งขึ้นมา ถึงสุดท้ายถึงกับส่งเสียงปริขึ้น
มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นิ้วมือร่ายรำไม่หยุด
“ติ๊ง” เสียงหนึ่ง เสียงพิณดังทะลุชั้นเมฆ พิณสามสายบินไปถึงกลางอากาศ จากนั้นมือมหึมาข้างหนึ่งอยู่ดีๆ ก็ปรากฏขึ้นมา
มือข้างนี้แม้ใหญ่โตมหึมา กลับขาวเนียนละมุน ดูก็รู้ว่าเป็นมือของหญิงสาว
“ติ๊ง…” มือยักษ์ดีดพิณสามสายบนฟ้าเบาๆ ทีหนึ่ง พิณสามสายเปลี่ยนจากไออำมหิตก่อนหน้า เสียงพิณไพเราะล่องลอยไปไกล ราวกับมาจากโบราณกาล
วงแหวนนั้นจู่ๆ ก็สั่นสะท้าน เ**่ยวเฉาลงอย่างไม่คาดคิด
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็จีบเคล็ดวิญญาณเสร็จ กี่หยกฉวัดเฉวียนดุจลม เปล่งเสียงร้องต่ำๆ รางๆ เส้นไหมนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากรูตรงกลางทอเป็นผ้าไหมมันวาวเหลือคณา บนผ้าไหมปักอินทรีทะเลไว้ตัวหนึ่ง ยืนอยู่บนหินโสโครกกลางทะเล
เสียงร้องต่ำๆ เสียงหนึ่ง อินทรีทะเลกางปีกบินขึ้น งอกรงเล็บขึ้นทะยานเข้าหาชีซี
ชีซีหน้าถอดสี เมื่ออ้าปากมุกปีศาจขาวสะอาดเหมือนหิมะก็บินออกมา ชนเข้าตรงๆ บนตัวอินทรีทะเล
อินทรีทะเลร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง กลายเป็นแสงวิญญาณแตกซ่านหายไปทันที
มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะที่มุมปาก นิ้วมือหนีบมุมหนึ่งของผ้าไหมแล้วกระตุกเบาๆ น้ำทะเลมืดฟ้ามัวดินก็พุ่งเข้าหาชีซี
ชีซีสีหน้าซีดเซียว รีบเรียกมุกปีศาจกลับมา คลื่นยักษ์ลูกหนึ่งกลับม้วนขึ้นซัดมุกปีศาจลงในน้ำทะเลที่มืดฟ้ามัวดิน
ชีซีทนไม่ไหวอีกต่อไป หันหน้าวิ่งหนี น้ำทะเลข้างหลังคำรามพลางม้วนทะยานมา ในที่สุดก็ท่วมนางจนมิด ร่างกายผลุบขึ้นผลุบลง
“อาวู้…” ชีซีเผยร่างเดิม ส่งเสียงคำรามอย่างโหยหวน
“แย่แล้ว มันจะระเบิดมุกปีศาจตนเอง!” หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าซีดเผือด