พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 320
พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 320 บัวหิมะจันทราบาน
ราตรีเย็นดุจสายน้ำ ในสระหมื่นเหมันต์คลื่นกระเพื่อม บนใบบัวมรกต ดอกตูมสีฟ้าน้ำแข็งพลิ้วไหวรับลม เปล่งแสงรัศมีสีฟ้าออกเป็นวง
ลมหนาวพัดมา เมฆดำบังจันทร์ ยามที่ค่อยๆ เคลื่อนออกอีกครั้ง จันทร์กระจ่างบนฟ้าได้กลายเป็นสีฟ้าสดใสอย่างประหลาด
แสงจันทร์สาดส่องลงมาดุจสายน้ำ ก็เหมือนกับผ้าไหมเป็นเงาลื่นที่มิมีสิ่งได้เทียบได้พับหนึ่ง ไล้โลมดอกบัวสีฟ้าน้ำแข็ง
บัวหิมะจันทราพลิ้วไหวรุนแรงยิ่งขึ้น ในดอกตูมที่หุบสนิทจู่ๆ ก็ยิงแสงสีฟ้าออกสายหนึ่ง
อากาศรอบๆ สัมผัสถูกแสงสีฟ้า ควบแน่นเป็นก้อนเมฆในทันใด เกล็ดหิมะสีฟ้ามากมายปลิวละลิ่วร่วงหล่นลงมา
ในทัศนียภาพน่าอัศจรรย์ดั่งฝันนี้ ราวกับการขับกล่อมแสนวิเศษที่ลอยมาจากวังจันทรา แล้วก็เหมือนสาวน้อยมากรักกำลังพึมพำ
ดั่งมีดั่งไม่มี ฟังไม่ชัดเจน
บัวหิมะจันทราหยุดพลิ้วไหวช้าๆ ยามที่มันสงบนิ่งโดยสมบูรณ์ ทันใดนั้นแสงวิญญาณวาบขึ้น กลีบดอกที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ก็บานสะพรั่งออกช้าๆ
บัวหิมะจันทราสีฟ้าน้ำแข็งบานสะพรั่ง เผยให้เห็นเกสรสีฟ้าเข้ม เปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งช่อหนึ่งกระโดดโลดเต้นอยู่บนเกสร สภาพแวดล้อมรอบๆ เย็นลงทันที
ไอเย็นแผ่ซ่านออกจากใจกลางบัวหิมะจันทรา เริ่มแข็งเป็นน้ำแข็งอย่างไม่คาดคิด เพียงชั่วอึดใจสระหมื่นเหมันต์ก็ถูกน้ำแข็งผนึกจนหมด
“สหายเต๋ามั่ว บัวหิมะจันทราบานแล้ว!” หลัวเตี๋ยจวินสายตาพร่ามัว ราวกับอยู่ในความฝัน
มั่วชิงเฉินกลับตาสว่างขึ้นมาว่า “สหายเต๋าหลัว บัวหิมะจันทราเป็นสมบัติล้ำค่าของโลกมนุษย์ สวรรค์ประทานโอกาสดี เรารีบไปกำหราบเร็ว”
หลัวเตี๋ยจวินได้สติกลับมาทันที
ทั้งสองคนเหยียบลงบนน้ำแข็ง ปราณเย็นเฉียบสายหนึ่งไหลพุ่งขึ้นบนตามฝ่าเท้า ขาหนาวจนแข็งไปหมดแล้ว
“สหายเต๋ามั่ว ข้าขยับไม่ได้แล้ว เจ้าล่ะ?” หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
พวกนางอยู่ที่นี่มาสิบปี ชินกับสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นอย่างไม่รู้สึกตัวนานแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงว่าพื้นผิวที่แข็งเป็นน้ำแข็งของสระหมื่นเหมันต์จะทำให้ขาหนาวจนแข็งในพริบตา
ขาสองข้างของมั่วชิงเฉินสูญเสียความรู้สึกไปเช่นกัน นางไม่มีเวลาตอบ โอสถขวดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ แล้วเทออกเม็ดหนึ่งกลืนลงอย่างรวดเร็ว ที่เหลือยื่นให้หลัวเตี๋ยจวินว่า “โอสถอุ่นใจ สหายเต๋าหลัวรีบกินเข้าไป”
โอสถอุ่นใจเป็นโอสถธาตุไฟที่หลอมขึ้นโดยใช้หญ้าเปลวไฟเป็นหลัก ยามที่นักบำเพ็ญเพียรไปสำรวจในสถานที่ที่หนาวเย็นอย่างยิ่งยวด พลังวิญญาณของตนยากจะต้านความหนาวอันร้ายกาจได้ ก็จะกินโอสถนี้
โอสถอุ่นใจไม่นับว่าล้ำค่าเป็นพิเศษ กลับจัดอยู่ในโอสถนอกรีต เห็นมั่วชิงเฉินมีโอสถชนิดนี้อย่างคาดไม่ถึง ในตาหลัวเตี๋ยจวินฉายแววประหลาดใจขึ้นสายหนึ่ง เมื่อนึกถึงว่ายามอยู่ที่เขาหลางหยาบังเอิญได้ยินนักบำเพ็ญเพียรของพรรคเหยากวงพูดถึงเรื่องที่สหายเต๋ามั่วผู้นี้เชี่ยวชาญการหลอมโอสถ ก็ไม่แปลกใจแล้ว กลับนับถือที่นางความรู้กว้างขวาง ไม่ใช่คนที่นักบำเพ็ญเพียรหญิงในสำนักเลื่องชื่อที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมพวกนั้นจะเทียบได้
ทั้งสองคนกินโอสถอุ่นใจลงไป กระแสความอุ่นสายหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมาจากใจ สองเท้าที่แข็งทื่อทุเลาขึ้นทันที หลังจากนั้นชั่วครู่ก็ขยับเขยื้อได้แล้ว
ทั้งสองคนเขยิบฝีเท้าอย่างช้าๆ ปราณเย็นใต้ฝ่าเท้าพุ่งขึ้นไม่ได้หยุด แม้มีฤทธิ์ของโอสถอุ่นใจร่างกายไม่ถึงกับหนาวจนแข็ง กลับยังคงหนาวเสียดกระดูก เส้นผม ขนคิ้วและผิวหนังที่โผล่อยู่ข้างนอกล้วนมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะแล้ว
ในที่สุดก็มาถึงหน้าบัวหิมะจันทรา ปราณเย็นยิ่งหนักขึ้น พวกมั่วชิงเฉินสองคนได้แต่กลืนโอสถอุ่นใจไม่หยุดเพื่อต้านความหนาว ลมหายใจที่พ่นออกมากลายเป็นเศษน้ำแข็งโดยตรงร่วงกราวลงมา
“สหายเต๋าหลัว โอสถอุ่นใจต้านปราณเย็นในนี้ไม่ไหว เราต้องรีบ กำหราบเปลวน้ำแข็งบนเกสรดอกไม้ก่อน!” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างลำบาก ความชุ่มชื่นระหว่างริมฝีปากทั้งสองได้แข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว พออ้าปากริมฝีปากก็ถูกเศษน้ำแข็งบาดเป็นรอยเลือดนับไม่ถ้วน
“ได้ ข้ารู้แล้ว สหายเต๋ามั่ว เจ้าใส่สิ่งนี้ไว้” หลัวเตี๋ยจวินพูดพลางยื่นถุงมือสีขาวข้างหนึ่งให้ ตนใส่อีกข้างหนึ่งไว้บนมือ “ถุงมือไหมฟ้านี้น้ำไฟไม่เข้า แม้ไม่ใช่สำหรับป้องกันความเย็นโดยเฉพาะ ทว่าจะมากจะน้อยก็ต้านปราณเย็นได้บางส่วน”
มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมาใส่ไว้ ทั้งสองคนลงมือเร็วปานสายฟ้า ปลายนิ้วยังไม่ทันแตะถูกเปลวน้ำแข็งก็หดกลับโดยพลัน ทั้งฝ่ามือเคลือบไปด้วยน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะหลัวเตี๋ยจวิน แขนขวาทั้งแขนแข็งเป็นน้ำแข็งไปหมด
“สหายเต๋ามั่ว ข้าไม่มีรากวิญญาณไฟ…” สีหน้าหลัวเตี๋ยจวินขาวจนน่ากลัว เสียงสั่น
ปัญจธาตุส่งเสริมและข่มกัน เปลวน้ำแข็งเหมันต์หนาวเย็นขั้นสุด สำหรับนักบำเพ็ญเพียรที่ไม่มีรากวิญญาณไฟแล้วเป็นการทำร้ายอย่างยิ่งยวดอย่างไม่ต้องสงสัย
“สหายเต๋าหลัว เจ้ารีบคิดวิธีฟันรากของบัวหิมะจันทราให้ขาด ข้ากำหราบเปลวน้ำแข็งเอง” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเร่งรีบ
พลังวิญญาณในกายแทบจะโคจรอย่างบ้าคลั่งมาต้านปราณเย็นด้วยตัวเอง อยู่ที่นี่ยิ่งนานยิ่งไม่ดี
ใช้ปากถอดถุงมือไหมฟ้าที่ใส่อยู่ที่มือขวาลงมาใส่ไว้บนมือซ้าย มั่วชิงเฉินจ้องเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่เต้นระริกอยู่บนเกสรดอกไม้แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นปล่อยเพลิงแก้วใจกระจ่างออกมา ครอบมือซ้ายไว้ทั้งมือ
มือซ้ายที่เป็นประกายแสงสีฟ้าระยิบระยับเข้าใกล้เกสรดอกไม้ช้าๆ
เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่เต้นระริกอยู่ข้างบนไม่เพียงไม่หลบ ตรงกันข้ามกลับโถมเข้ามา
มั่วชิงเฉินกัดฟันแน่น ฟันเจาะลึกเข้าไปในริมฝีปาก พลังวิญญาณในกายโคจรอย่างบ้าคลั่งโหมไฟจริงให้ลุกไหม้โชติช่วง มือซ้ายแสงสีฟ้าสว่างไสว
เปลวน้ำแข็งเหมันต์ราวกับเด็กที่ไม่ยอมแพ้ พุ่งสูงขึ้นสามชุ่นทันที กลืนกินเพลิงแก้วใจกระจ่างอย่างฮึกเหิม
ในชั่วอึดใจ เพลิงแก้วใจกระจ่างก็ถูกกลืนกินหมดเกลี้ยง
มั่วชิงเฉินสีหน้าเคร่งเครียด พลังวิญญาณในกายแปรเปลี่ยนเป็นไฟจริงปล่อยออกมาไม่หยุด สะท้อนจนสีหน้าประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด
“สหาย…เต๋าหลัว ทางเจ้า…เป็นเช่นไรแล้ว?” มั่วชิงเฉินถามติดๆ ขาดๆ
เปลวน้ำแข็งเหมันต์เกิดจากการฟูมฟักของบัวหิมะจันทรา หากฟันรากของบัวหิมะจันทราขาด เปลวน้ำแข็งเหมันต์กลายเป็นของไร้รากคิดจะกำหราบก็ง่ายขึ้นมากแล้ว
เสียงของหลัวเตี๋ยจินติดๆ ขาดๆ เช่นกันว่า “ทางด้านข้านี่ยัง…ยังไม่ได้…”
มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียว เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ พลังวิญญาณในกายกำลังจะใช้หมดแล้ว ถึงเวลาที่ทำมาทั้งหมดก็จะเสียเปล่า เมื่อคิดเช่นนี้จึงเอาโอสถระเบิดวิญญาณออกมา
กำลังจะกินโอสถระเบิดวิญญาณลงไป กลับเกิดคิดอะไรได้ จึงเก็บโอสถระเบิดวิญญาณขึ้นใหม่
เหตุใดนางถึงลืมมุกปีศาจที่ยังดูดซับไม่หมดที่อยู่ในร่างตลอดเม็ดนั้นได้นะ!
มุกปีศาจเม็ดนี้ได้มาจากร่างอสูรทะเลขั้นห้าตัวนั้นยามที่ระหกระเหินไปถึงทะเลขนาบใจ ยามนั้นอาศัยมุกปีศาจเม็ดนี้ทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะกลางในครั้งเดียว ไม่กล้าปล่อยให้ตบะเพิ่มเร็วเกินไปจึงใช้เพลิงแก้วใจกระจ่างห่อที่เหลือไว้ คิดจะเก็บไว้ใช้ยามทะลวงก่อแก่นปราณ บัดนี้กลับเอามาใช้ได้พอดี
เพลิงแก้วใจกระจ่างที่ห่อมุกปีศาจไว้กระจายออกอย่างรวดเร็ว มุกปีศาจที่ได้รับการกระตุ้นจากพลังวิญญาณโคจรขึ้นมาทันที ปราณวิญญาณมหาศาลเติมเต็มร่างกายอย่างรวดเร็ว แล้วแปรเปลี่ยนเป็นไฟจริงพันตูกับเปลวน้ำแข็งเหมันต์ขึ้นมา
ด้านหนึ่งคือเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่ฮึกเหิมหนาวเย็น ด้านหนึ่งคือเพลิงแก้วใจกระจ่างที่สงบเสงี่ยมอ่อนโยนกลับลุกไม่ขาดสาย สู้กันนานแล้ว พลังของเปลวน้ำแข็งเหมันต์ก็ค่อยๆ อ่อนแอลง
มั่วชิงเฉินรู้สึกปิติ
ในยามนี้เอง บนฟ้าแสงจันทร์สีฟ้ากะพริบ ละอองแสงจันทร์สาดส่องลงบนเปลวน้ำแข็งเหมันต์ ทันใดนั้นเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ เปลวน้ำแข็งเหมันต์ลุกไหม้ขึ้นโดยพลัน ทำให้พลังวิญญาณในกายมั่วชิงเฉินใช้หมดในทันที
มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดเซียว เพลิงแก้วใจกระจ่างในมือสั่นไหว ดูท่ากำลังจะมอดแล้ว!
“เจ้านาย ข้ามาแล้ว!” อีกาไฟพุ่งออกจากถุงอสูรวิญญาณ อ้าปากพ่นไฟแรงกล้าออกช่อหนึ่งซัดไปทางเปลวน้ำแข็งเหมันต์
ได้การหน่วงนี้ มุกปีศาจในร่างมั่วชิงเฉินโคจรปราณวิญญาณมหาศาลออกมาอีกครั้ง กลายเป็นไฟจริงพุ่งออกนอกกาย
มั่วชิงเฉินสีหน้าเคร่งเครียด ด้านหนึ่งใช้เพลิงแก้วใจกระจ่างต่อต้านต่อ ด้านหนึ่งใช้ปากกัดเส้นผมออกมาเส้นหนึ่ง
ง้างคันศรกลางอากาศ กระบี่ชิงมู่ที่มีเพลิงแก้วใจกระจ่างลุกโชติช่วงยิงตรงออกไปสู่ฟ้าสูง
กระบี่ชิงมู่ทะลวงชั้นเมฆ หายเข้าไปกลางจันทร์กระจ่างพร้อมเสียงหวีดร้อง
จันทร์กระจ่างสีฟ้าส่ายไปมา แตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วนกระจายออกรอบทิศ ละอองแสงกระจายหายไปในอากาศ
ทว่าต่อจากนั้น แสงเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาใหญ่รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ ดูท่าทางจะประกอบเป็นจันทราดวงใหม่
มั่วชิงเฉินพบอย่างเฉียบแหลมว่า ในเวลาที่เศษแตกหักของจันทราสีฟ้ายังประกอบกันไม่เสร็จ สีของเปลวน้ำแข็งเหมันต์จางลง
นางเข้าใจทันทีว่าคิดจะกำหราบเปลวน้ำแข็งเหมันต์นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดและก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียว!
“อู๋เย่ว์ ใช้ไฟโจมตีต่อ” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงดัง หันฝ่ามือเข้าหากันโคจรพลังวิญญาณในกายอย่างบ้าคลั่ง มุกปีศาจในร่างในที่สุดก็กระจายหายไป กลายเป็นคลื่นปราณวิญญาณอันบ้าคลั่งทะลวงสู่ตันเถียนและทั่วทั้งร่าง
ด้วยความบังเอิญ ปลายคลื่นของปราณวิญญาณซัดลงบนปราณวิญญาณเซียนที่ลอยอยู่เงียบๆ ในตันเถียนพอดี
ปราณวิญญาณเซียนที่สงบเสงี่ยมในตอนแรกสั่นด้วยความไม่พอใจ แบ่งปราณวิญญาณเซียนขนาดเท่าเส้นผมออกช่อหนึ่งพุ่งมาตามปราณวิญญาณที่ไหลอยู่มาถึงปลายนิ้ว
มั่วชิงเฉินทุบหม้อจมเรือ เดิมนึกว่าที่ปรากฏขึ้นระหว่างฝ่ามือสองข้างจะเป็นลูกไฟสีฟ้าลูกมหึมา ใครจะไปรู้ว่ากลับปรากฏนกไฟขนฟ้าปากขาวขึ้นตัวหนึ่ง
นกไฟสีฟ้าราวกับมีชีวิตก็ไม่ปาน ส่งเสียงร้องไพเราะเสนาะหูขึ้น จากนั้นกระพือปีกบุกขึ้นไป
เปลวน้ำแข็งเหมันต์หดไปข้างหลังด้วยสัญชาตญาณ
นกไฟสีฟ้ากลับไม่สนใจ อ้าปากสีขาวออกจิกไปที่เปลวน้ำแข็งเหมันต์
เปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่แยกเขี้ยวยิงฟันในทีแรกแสงมืดลง เปลวไฟเล็กลงทันที
มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงยื่นมือเข้าไป
เปลวน้ำแข็งเหมันต์เล็กลงเรื่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ ภายใต้การจิกกินของนกไฟสีฟ้า เมื่อยามที่มั่วชิงเฉินยื่นมือมา ไม่คิดว่าจะเปล่งเสียงร้องกังวานเหมือนยกภูเขาออกจากอก ลอยขึ้นออกจากเกสรดอกไม้ของบัวหิมะจันทรา หายเข้าไปกลางฝ่ามือ
นกไฟสีฟ้าเห็นดังนั้นร้องอย่างเริงร่าเสียงหนึ่ง หายเข้ากลางฝ่ามือเช่นกัน
เปลวน้ำแข็งเหมันต์เข้าสู่ร่างกายมั่วชิงเฉินแล้วก็ทะยานตรงไปตันเถียน ปราณเย็นที่เกิดขึ้นเทียบกับเมื่อก่อนแล้วรุนแรงกว่าสิบกว่าเท่า ที่ประหลาดคือมั่วชิงเฉินสามารถรับรู้ความหนาวเย็นเช่นนี้ได้อย่างชัดเจน กลับไม่มีความเจ็บปวดใดๆ
นางรู้ เปลวน้ำแข็งเหมันต์ในที่สุดก็ถูกกำหราบแล้ว
ไฟอัศจรรย์ตามธรรมชาติที่ฟูมฟักโดยฟ้าดินประเภทนี้ล้วนมีจิตวิญญาณ ในยามที่ได้รับการคุกคามอย่างใหญ่หลวงมีอันตรายที่จะสลาย ย่อมเลือกที่จะศิโรราบเป็นธรรมดา
ในยามที่เปลวน้ำแข็งเหมันต์บินออกจากเกสรดอกไม้นั่นเอง บัวหิมะจันทราส่ายไปมาทั้งดอก แล้วล้มลงเงียบๆ หลัวเตี๋ยจวินจับไว้ทันที เก็บเข้ากล่องหยก
ทั้งสองคนไม่มีเวลาพูดมาก รีบกลับไปถึงข้างทะเลสาบฟื้นฟูพลังวิญญาณ รอพลังวิญญาณในกายฟื้นคืน ถึงลืมตาขึ้น
มั่วชิงเฉินมองหลัวเตี๋ยจวินปราดหนึ่ง สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
สีของไฟจริงที่ปล่อยออกเพื่อเก็บเปลวน้ำแข็งเหมันต์แตกต่างจากผู้อื่น ย่อมปิดหลัวเตี๋ยจวินไม่ได้
ไม่รู้ว่าหลัวเตี๋ยจวินรู้จักสามไฟอัศจรรย์ของนักบำเพ็ญเพียรหรือไม่ ต่อให้ไม่รู้ ในใจก็ต้องสงสัยเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยว่าต้องเป็นภัยแฝงอันใหญ่หลวงสำหรับตน
ทว่าให้เลือกใหม่ นางยังคงจะทำเช่นนี้ เปลวน้ำแข็งเหมันต์ล้ำค่าเหลือเกินจริงๆ วันหลังใช้รับมือศัตรูจะมีอานุภาพมหาศาล เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเลิกกินเพราะสำลัก[1]เพื่อเพลิงแก้วใจกระจ่าง พูดถึงที่สุดมีเพียงพลังยิ่งแข็งแกร่งถึงสามารถปกป้องตนเองได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ได้เพียงทำลับๆ ล่อๆ ตลอดไป
ในโลกนี้ ไม่มีความลับที่เป็นนิรันดร์
เสียงของหลัวเตี๋ยจวินดังขึ้นมากะทันหันว่า “สหายเต๋ามั่ว ไฟจริงของเจ้า…คือหนึ่งในสามไฟอัศจรรย์เพลิงแก้วใจกระจ่างสินะ?”
——
[1] เลิกกินเพราะสำลัก เป็นการเปรียบเปรยว่า หยุดทำงานบางอย่างเนื่องจากเกิดความผิดหวังในบางครั้ง หรือเกรงเกิดปัญหาจึงเลิกทำเสียดื้อๆ