พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 331
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกเล็กน้อย ปกติความรู้สึกพวกนี้และใจเต้นนางจะฝังไว้ลึกๆ ในใจทั้งหมด แม้แต่ต้วนชิงเกอ ก็ไม่มีทางใช้น้ำเสียงรีบร้อนร้ายกาจเช่นนี้พูดกับนาง
เหตุใดวันนี้ ถึงแตกต่างเช่นนี้นะ?
ทว่า ต้วนชิงเกอยังมองนางตรงๆ รอคำตอบของนางอยู่
ไม่คิดว่านางจะมีความรู้สึกเหมือนหนีไม่พ้น
นิ่งเงียบครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ชิงเกอ ในเรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเป็นเรื่องความรักหรือเรื่องอื่น ล้วนไม่กลัวชนจนหัวร้างข้างแตก”
“ชิงเฉิน!” ต้วนชิงเกอสีหน้าเจ็บปวดเสียดายและจำใจ
เสียงของมั่วชิงเฉินดังมาอีกว่า “ทว่า ต่อไปข้าจะไม่ไล่ตามอีกเด็ดขาด”
ต้วนชิงเกอชะงักว่า “นี่เพราะเหตุใดอีก? ข้าไม่เข้าใจ”
สายตาของมั่วชิงเฉินเลื่อนลอยเล็กน้อย ราวกับมองไปถึงสุดขอบฟ้าว่า “ปีนั้น นักพรตจื่อซีบอกข้าว่า อาจารย์มีหญิงที่รักคนหนึ่ง ทว่าดับสูญไปในวิกฤตอสูรครั้งก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้อาจารย์ซึมเศร้าไปพักใหญ่ๆ ชิงเกอ หากเจ้าเป็นข้า จะเลือกเช่นไร?”
ต้วนชิงเกอราวกับไม่เคยได้ยินความลับนี้มาก่อน ได้ยินดังนั้นชะงักงัน กลับเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “ชิงเฉิน อย่าว่าแต่หากข้าเป็นเจ้า มีฐานะเป็นศิษย์อาจารย์กับนักพรตเหอกวง ต่อให้ข้าเป็นหญิงอื่น ก็ต้องยอมแพ้” พูดพลางกุมมือมั่วชิงเฉินไว้ว่า “ชายคนหนึ่ง ไม่กลัวเขามีอดีต ที่กลัวก็คือหญิงสาวในอดีตผู้นั้นตายแล้ว ความรักของพวกเขาจะหยุดอยู่ในยามที่งดงามที่สุด หญิงสาวผู้นี้ในใจเขา ก็จะไม่มีทางผ่านไปได้แล้ว ใครจะสู้กับคนตายได้ล่ะ? ชิงเฉิน ความรักเช่นนี้ทุกข์เกินไป”
มั่วชิงเฉินมือเท้าแก้ม สายตาไม่ได้มองไปที่ต้วนชิงเกอว่า “ชิงเกอ เราไม่เหมือนกัน มีใจให้กับคนคนหนึ่ง ข้าไม่กลัวทุกข์ ไม่หดถอย ข้าอยากได้รักของเขา ทว่าจะไม่คิดว่าในเมื่อข้ารักเขาแล้ว เขาก็ควรรักข้า เช่นนั้น ในใจเขามีคนที่ตายไปแล้วหรือไม่จะเป็นไรไปล่ะ นั่นไม่ใช่ความผิดของเขา และก็ไม่ใช่ความผิดของข้า ข้าหวังเพียงว่าจะทำให้เขามีความสุขยิ่งขึ้นในวันเวลาในอนาคต”
“เช่นนั้นไยเจ้าถึงพูดว่าไม่ไล่ตามแล้วล่ะ?” ต้วนชิงเกอยิ่งฟังยิ่งสับสน
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลง เผยให้เห็นคอขาวสะอาดดั่งหยก เสียงเบาจนราวกับจะหายไปในสายลมได้ตลอดเวลา “เพราะคนที่อยู่ในใจเขาคนนั้นยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ”
ต้วนชิงเกอวางมือไว้บนบ่ามั่วชิงเฉิน ฟังนางพูดต่อว่า “นางยังมีชีวิตอยู่ ในใจอาจารย์มีนาง ในใจนางก็มีอาจารย์ เช่นนั้น ข้าเป็นอะไรล่ะ? ข้าไล่ตามอีก เช่นนั้นก็ไม่ใช่กล้าหาญแล้ว หากแต่เป็นไร้ยางอาย”
ต้วนชิงเกอถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง มีความสงสารเล็กน้อย แต่ก็มีความปิติเล็กน้อยอีกว่า “ชิงเฉิน เช่นนี้แล้ว ความรักที่มีต่อนักพรตเหอกวง เจ้าวางลงได้แล้ว?”
“ข้า…” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ลังเลขึ้นมา “เรื่องในวันนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ข้าต้องคิดดีๆ สักหน่อย”
ต้วนชิงเกอลุกขึ้นยืนช้าๆ ปัดใบไม้ร่วงบนเสื้อผ้าว่า “เช่นนั้นชิงเฉินเจ้าลองคิดดูดีๆ ข้ากลับไปก่อนแล้ว รอเจ้าคิดเข้าใจแล้ว ก็บอกข้าดีหรือไม่?”
มองดูสายตาห่วงใยของต้วนชิงเกอ มั่วชิงเฉินพยักหน้า
นับแต่นั้นเป็นต้นมา มั่วชิงเฉินก็นั่งอยู่เงียบๆ ข้างทะเลสาบ คิดคำถามสุดท้ายของต้วนชิงเกอ
หนึ่งวันผ่านไปแล้ว สองวันผ่านไปแล้ว
พริบตาเดียววันเวลาไม่รู้ผ่านไปเท่าไรแล้ว
ยามเริ่มแรกทุกครั้งที่ต้วนชิงเกอมาก็จะถามคำถามนั้นซ้ำ ทว่าทุกครั้งมั่วชิงเฉินล้วนส่ายศีรษะ ให้คำตอบไม่ได้
นานวันเข้า นางไม่พูดถึงคำถามนั้นอีก หากแต่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นของคนใกล้ตัวไปตามเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของนักพรตเหอกวง
ในวันนี้ ต้วนชิงเกอบอกมั่วชิงเฉินว่านักพรตเหอกวงพาหญิงสาวชุดขาวกลับสำนักแล้ว และขอร้องหลิวซางเจินจวินอนุญาตการวิวาห์ของพวกเขา
ในวันนั้น ต้วนชิงเกอบอกว่าหลิวซางเจินจวินอนุญาตงานวิวาห์ของพวกเขาแล้ว
ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ต้วนชิงเกอบอกว่าในสำนักกำลังจัดพิธีฉลองบำเพ็ญเพียรคู่ให้พวกเขา ครึกครื้นอย่าบอกใคร
ต่อมา ได้ยินว่าพวกเขารักใคร่กันมาก ต่อมาอีก ได้ยินว่าหญิงสาวชุดขาวตั้งครรภ์แล้ว ต่อมาก็ให้กำเนิดบุตร
พริบตาเดียวเป็นเวลาหลายปีให้หลังแล้ว มั่วชิงเฉินแม้ไม่ได้พบกู้หลีอีก กลับราวกับเป็นประจักษ์พยานในความสุขของพวกเขาจากการบอกเล่าของต้วนชิงเกอ
ต้วนชิงเกอเดินเบาๆ มาถึงข้างกายมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน นานหลายปีแล้ว หากไม่ได้คำตอบจริงๆ ก็อย่าทำให้ตนเองลำบากใจอีกเลย กลับไปเถอะ”
มั่วชิงเฉินยืนขึ้น สะบัดฝุ่นดินบนตัวว่า “กลับไปไหน?”
ต้วนชิงเกอยิ้มว่า “แน่นอนกลับสำนักสิ นักพรตเหอกวงให้ข้าบอกเจ้าว่า ระหกระเหินอยู่ข้างนอกนานเกินไปแล้ว ควรกลับบ้านแล้ว เขารอเจ้ากลับไปอยู่ตลอดเวลา”
มั่วชิงเฉินมุมปากอมยิ้ม ก้มเอวเก็บก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งโยนไปในทะเลสาบ กระเด็นออกไปอย่างสวยงาม ทำให้น้ำกระเซ็นขึ้นมา คลื่นกระเพื่อมอยู่พักใหญ่ๆ ถึงกลับมาสงบ
“ชิงเกอ เมื่อวานเจ้าไม่มา ทางนี้ฝนตกแล้ว หลังจากฝนหยุด ไม่คิดว่าเหนือทะเลสาบจะปรากฏรุ้งขึ้นสายหนึ่ง สะท้อนลงในทะเลสาบ ฟ้าและน้ำราวกับเชื่อมไว้ด้วยสะพานวิญญาณ งามดุจแดนสวรรค์ ถึงวันนี้เมื่อเห็นทะเลสาบธรรมดาๆ นี่ ข้ายังคงนึกถึงหน้าตาของมันเมื่อวาน เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นแล้ว คนที่ผ่านมันมาก่อน จะลืมได้เช่นไรกัน?”
ต้วนชิงเกอหุบยิ้มที่มุมปากว่า “พูดเช่นนี้ เจ้ายังวางไม่ลง?”
“ไยต้องวางลงล่ะ?” มั่วชิงเฉินยิ้มหวานแล้วถามกลับ
“เรานักบำเพ็ญเพียร ไม่ควรยึดติด สิ่งที่ไล่ตามคือบำเพ็ญใจบำเพ็ญนิสัย ไท่ซ่างลืมรัก” ต้วนชิงเกอเอ่ยอย่างจริงจัง
รอยยิ้มของมั่วชิงเฉินสะอาดบริสุทธิ์มาก ทำให้นางดูแล้วผ่อนคลายลงมากมายว่า “เห็นทิวทัศน์เช่นนั้นเมื่อวาน ข้าคิดว่า ไท่ซ่างลืมรักไม่ใช่ลืมจริงๆ และก็ไม่ใช่วางลง วางลง ลองเปลี่ยนมุมมอง ก็เป็นการหนีชนิดหนึ่งมิใช่หรือ?”
ต้วนชิงเกอเบิกตาโพรงคอยฟัง
“ทุกก้าวที่ข้าเดินผ่าน อันตรายแต่ละครั้งที่เจอกัน ความรู้สึกแต่ละชนิดที่เคยประสบ ล้วนทำให้ข้าเติบโตขึ้นทีละนิดๆ และกลายเป็นข้าในบัดนี้ เรื่องเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว ก็คือเกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่ยามที่เกิดขึ้นก็ทำให้ข้ามีการเปลี่ยนแปลงและเติบโต ปล่อยวาง นั่นก็เท่ากับหยิบส่วนหนึ่งไปจากความทรงจำที่สมบูรณ์ นี่ไม่ใช่ไท่ซ่างลืมรักที่ข้าเข้าใจ” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา
“เช่นนั้น ไท่ซ่างลืมรักที่เจ้าเข้าใจคือสิ่งใด?” ต้วนชิงเกอถามอีก
เสียงของมั่วชิงเฉินราวกับดังมาจากขอบฟ้า กังวานอัศจรรย์ว่า “ไม่ปล่อยวาง ไม่หยิบขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่ยังจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา อาจมีวันหนึ่ง เขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เพียงแต่ข้าไม่สังเกตเห็นเท่านั้น”
คำสุดท้ายพูดจบ บนฟ้าราวกับมีลำนานเซียนขับขาน สายรุ้งปรากฏขึ้นเหนือทะเลสาบในบัดดล นกวิญญาณโบยบิน
ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ชื่นชมทัศนียภาพงดงามดังกล่าว ทุกอย่างรอบๆ ก็กลายเป็นแสงวิญญาณในทันใด ถาโถมมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
อัสนีสายหนึ่งระเบิดขึ้นเหนือเขาชิงมู่ จากนั้นลมกระหน่ำเมฆก่อตัวขึ้น ฟ้าร้องดังสนั่น ลำแสงสีทองอันเจิดจรัสร่ายรำล้อมเหนือเขาชิงมู่ ราวกับดอกไม้ไฟมหึมาสะพรั่งบาน
ปราณวิญญาณจากฟ้าดินเหลือคณานับเริ่มพุ่งไปที่ที่เขาชิงมู่ตั้งอยู่อย่างบ้าคลั่ง พลางพุ่งไปพลางควบแน่นเป็นเมฆมงคลมายมาย ท่ามกลางเมฆมงคล มีเสียงลำนานสวรรค์รางๆ ลอยมา
ศิษย์พรรคเหยากวงต่างตื่นตระหนก
“รีบดูที่เขาชิงมู่ ด้านนั้นเกิดอะไรขึ้น?” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งแหงนหน้า อ้าปากเสียกว้าง
ข้างๆ พอดีมีศิษย์ระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งเหยียบกระบี่บินบินไปที่ทิศทางที่เขาชิงมู่ตั้งอยู่ดุจดาวตก กลับทิ้งคำพูดไว้ว่า “ก่อแก่นปราณ มีคนก่อแก่นปราณแล้ว!”
“ก่อ…ก่อแก่นปราณ?” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณชั่วขณะหนึ่งยังไม่ได้สติกลับมา คนมากมายวิ่งผ่านตัวเขา มีศิษย์คนหนึ่งไม่ระวังชนไหล่เขาทีหนึ่ง
เขาถึงได้สติกลับมา แล้วโยนไม้กวาดในมือขึ้นฟ้าโดยพลัน ยกเท้าวิ่งไปว่า “ก่อแก่นปราณ นิมิตฟ้าก่อแก่นปราณ!”
ผ่านไปไม่นาน ศิษย์เหยากวงแทบจะพรั่งพรูไปถึงรอบนอกของเขาชิงมู่แล้วแหงนหน้าชื่นชม
นักพรตฟางเหยาเจ้าสำนักเหยากวงและผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณอีกสองสามคนร่อนลงพื้นตามๆ กัน แหงนมองปรากฏการณ์อัศจรรย์เหนือฟ้าเขาชิงมู่
“เขาชิงมู่? ในยามนี้ ใครกำลังก่อแก่นปราณอยู่ที่เขาชิงมู่?” นักพรตฟางเหยาประหลาดใจเล็กน้อย
นักพรตฝูหมิงเดินขึ้นมาก้าวหนึ่งว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก สามปีก่อน ยามที่หลิวซางเจินจวินกลับมาได้พาศิษย์ของศิษย์พี่เหอกวงมั่วชิงเฉินกลับมา แล้วยังมีนักบำเพ็ญเพียรหญิงท่านหนึ่ง พวกนางสองคนยามนั้นล้วนอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว”
นักพรตฟางเหยาตระหนักขึ้นมาทันทีว่า “ใช่ ใช่ ข้ายังจำได้ว่าสามปีก่อนพวกเขากลับมาไม่นาน ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งที่กักตนนานหลายปีไม่คิดว่าจะเรียกศิษย์หลานมั่วเข้าพบ กลับได้ยินหลิวซางเจินจวินบอกว่าเขาป่าไผ่เปิดค่ายกลผนึกแล้ว เกรงว่าศิษย์หลานมั่วกำลังเตรียมตัวก่อแก่นปราณอยู่”
“นิมิตฟ้าก่อแก่นปราณปรากฏขึ้นแล้ว เช่นนี้แล้ว พรรคเหยากวงเราก็จะมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเพิ่มขึ้นอีกท่านหนึ่งแล้ว” นักพรตเจิ้นผิงที่หน้าบึ้งตลอดเวลาก็มีรอยยิ้มแล้ว
นักพรตฝูหมิงกลับขมวดคิ้วว่า “ไม่ถูก ที่ศิษย์หลานมั่วผู้นั้นบำเพ็ญคือวิชายุทธธาตุไม้ ที่นิมิตฟ้าก่อแก่นปราณนี้แสดงให้เห็นกลับเป็นลักษณะเฉพาะของการบำเพ็ญเพียรวิชายุทธธาตุทอง…”
เขาหลิวหั่ว
บนโต๊ะหินใต้ต้นไทรวางหมากรุกไว้ชุดหนึ่ง หลิงซางเจินจวินและเสวียนหั่วเจินจวินนั่งประจันหน้ากัน ลงหมากอย่างไม่รีบร้อน
ทันใดนั้นปราณวิญญาณบรรจบกันที่ทิศทางของเขาชิงมู่ ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนมองไปด้านนั้นทันที
“ศิษย์พี่หลิวซาง นั่นหน้าบ้านท่านนี่นา เด็กคนไหนก่อแก่นปราณแล้วล่ะ?” เสวียนหั่วเจินจวินตื่นเต้นเล็กน้อย จู่ๆ ก็นึกถึงความน่าจะเป็นเรื่องหนึ่งรีบโยนหมากรุกทิ้ง “อ้าว คือภรรยาของเทียนหยวนบ้านข้า!”
“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว!” หลิวซางเจินจวินกระแอมดังๆ ทีหนึ่ง มีคนแก่ที่ทำตัวไม่นับน่าถือเช่นนี้ที่ไหน ทั้งสองคนยังไม่มีทีท่าเลย
“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูหน่อย” เสวียนหั่วเจินจวินไม่สนใจหลิวซางเจินจวิน สะบัดแขนเสื้อแล้วก็จะบินข้ามไป
หลิวซางเจินจวินนั่งลงช้าๆ ว่า “ศิษย์น้องเสวียนหั่ว ไม่ต้องไปแล้ว คนที่ก่อแก่นปราณสำเร็จไม่ใช่นางหนูชิงเฉิน”
“หา เป็นไปได้เช่นไรกัน เขาชิงมู่บัดนี้คนที่มีหวังก่อแก่นปราณ นอกจากนางหนูชิงเฉินแล้วยังมีใครอีก?” เสวียนหั่วเจินจวินโยนพัดกกขาดๆ ขึ้นฟ้า แล้วกระโดดขึ้นไป
“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว เจ้าเห็นหมากกระดานนี้จะแพ้อยู่แล้ว ฉวยโอกาสหนีสินะ?” หลิวซางเจินจวินเปิดโปงอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เสวียนหั่วเจินจวินนั่งกลับลงมาอย่างเจี๋ยมเจี้ยมว่า “ข้าก็แค่ไปร่วมสนุกนี่นา ศิษย์พี่ท่านคิดมากไปแล้ว”
“เดินหมาก” หลิวซางเจินจวินเปลือกตาก็ไม่ยกสักที
สามวันให้หลัง ปรากฏการณ์อัศจรรย์เหนือฟ้าเขาชิงมู่ในทีสุดก็ค่อยๆ ซ่านหายไป ศิษย์เหยากวางตามองเขาชิงมู่ด้วยความอิจฉา แล้วแยกย้ายกันไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ทว่าในยามนี้เอง ฟ้าเหนือเขาชิงมู่จู่ๆ ก็ลมพัดเมฆก่อตัวขึ้นอีก ปราณวิญญาณในฟ้าดินที่เพิ่งสงบลงราวกับถูกอัสนีรบกวน พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง และควบแน่เป็นเมฆมงคลมายมายอย่างรวดเร็วขึ้นอีกครั้ง
เหนือเขาชิงมู่ ต้นไม้นับไม่ถ้วนโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง แทบจะสูงทะลุเมฆ บุปผาดอกใหญ่บานสะพรั่งขึ้นมากมาย