พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 334
ลองก่อแก่นปราณที่จัดขึ้นเพื่อมั่วชิงเฉิน กำหนดไว้ที่แท่นบูชาของลานกว้างที่เขาโฮ่วเต๋อเช่นเดิม ที่นั่นตั้งเทพสามองค์อวี้ชิงหยวนสื่อเทียนจุน ซ่างชิงหลินเป่าเทียนจุน ไท่ชิงเต้าเต๋อเทียนจุนไว้
ในวันนี้ ศิษย์เหยากวงกลุ่มหนึ่งที่มีกู้หลีเป็นผู้นำร่อนลงช้าๆ หน้าประตูสำนัก เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
ประตูสำนักเปิดออก ศิษย์ที่รักษาประตูเห็นกู้หลี รอยยิ้มสดใสว่า “ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้เฒ่าเหอกวงขอรับ”
กู้หลีหยุดฝีเท้า ก็ได้ยินศิษย์ผู้นั้นพูดต่อว่า “อาจารย์อามั่ว เอ่อ ไม่สิ อาจารย์ปู่มั่วก่อแก่นปราณแล้ว วันนี้เป็นวันจัดพิธีฉลองก่อแก่นปราณพอดี!”
กู้หลีสีหน้านิ่งเรียบ ได้ยินดังนั้นมุมปากกลับมีรอยยิ้มหลั่งออกมา น้ำเสียงละมุนว่า “ขอบใจ” พูดพลางเดินไปทางลานกว้างเขาโฮ่วเต๋อ ฝีเท้าไม่เห็นเร่งรีบ ความเร็วกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ศิษย์ที่เหลืออยู่ได้ยินข่าวอันน่าตกใจนี้ ต่างมองหน้ากัน ชั่วขณะหนึ่งไม่ได้สติขึ้นมา
“อ่ะ ศิษย์พี่มั่ว เอ่อ อาจารย์อามั่วยังมีวิตอยู่! ดีเหลือเกิน!” นักบำเพ็ญเพียรที่รูปร่างท้วมตบศีรษะทีหนึ่ง แล้วตะโกนโหวกเหวกวิ่งเข้าข้างใน
ทีนี้ทุกคนถึงเหมือนตื่นจากฝัน คนกลุ่มใหญ่วิ่งพรวดไปที่ลานกว้าง หากไม่เพราะที่นี่ห้ามเหินหาว เกรงว่าคงแทบทนไม่ไหวนั่งกระบี่บินไปแล้ว
กลับมีคนผู้หนึ่งก้าวอย่างมั่นคง เดินทีละก้าวๆ ไปสู่ลานกว้างเขาโฮ่วเต๋อ สะดุดตาเป็นพิเศษในบรรดานักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่กระโตกกระตากกลุ่มนี้
เห็นเพียงเขารูปร่างสูงสง่า บุคลิกเย็นชา ดวงตาดำดุจหมึก ราวกับทะเลสาบ กลับดันมีแสงดาวพร่างพราวสะท้อนอยู่ภายใน คือเยี่ยเทียนหยวนนั่นเอง
เพียงแต่แม้เขาเดินอย่างมั่นคง ความเร็วกลับเร็วกว่าศิษย์ที่วิ่งทะยานพวกนั้นเสียอีก เพียงครู่เดียวก็ไล่ทันกู้หลีที่ก้าวย่างอย่าใจเย็น ท่วงท่าสง่างามเช่นกัน
พิธียังไม่เริ่ม เขาโฮ่วเต๋อก็ตกแต่งอย่างโอ่อ่ายิ่งใหญ่ ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามไปทั่วทุกแห่งหน บนลานกว้างเบียดเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์ ส่วนศิษย์เขาชิงมู่ ล้วนแต่งตัวเต็มยศ ความได้ใจบนใบหน้าไม่อาจปิดบังได้ ดึงสายตาอิจฉาของศิษย์จากเขาลูกอื่นมานับไม่ถ้วน
กู้หลีกลับไม่แม้แต่จะมองสิ่งเหล่านี้ นำพาทุกคนเดินตรงเข้าตำหนักหลักเขาโฮ่วเต๋อ
ยังไม่ถึงฤกษ์ยาม นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงของเหยากวงต่างยังรออยู่ในตำหนัก
ประสานสายตาเข้ากับนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่บนที่ประธานในตำหนัก กู้หลีชะงักแผ่วเบา ไม่คิดว่าจะเป็นโส่วเต๋อเจินจวิน
ในฐานะนักบำเพ็ญเพียรเสาหลักของเหยากวง เขาย่อมรู้ว่าอายุขัยของโส่วเต๋อเจินจวินใกล้เข้ามาแล้ว ต่อมายิ่งรู้จากเสวียนหั่วเจินจวินเรื่องที่มั่วชิงเฉินมอบโอสถอายุวัฒนะ ทว่าพิธีฉลองก่อแก่นปราณในวันนี้โส่วเต๋อเจินจวินสามารถปรากฏตัวได้ อย่างไรก็เกินความคาดหมาย
ต่อให้เป็นเช่นนี้ กู้หลียังคงสีหน้านิ่งเรียบ คารวะต่อทุกคนว่า “เหอกวงกราบคารวะท่านเจินจวินทั้งสาม”
เยี่ยเทียนหยวนที่อยู่ข้างๆ คารวะเช่นเดียวกัน กลับไม่ได้เอ่ยปาก ผู้คนข้างหลังเอ่ยพร้อมกันว่า “กราบคารวะท่านเจินจวินทั้งสาม และท่านผู้เฒ่าทุกท่าน”
บัดนี้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เหลืออยู่ที่เหยากวงนอกจากโส่วเต๋อเจินจวิน ก็คือหลิวซางเจินจวินแห่งเขาชิงมู่และเสวียนหั่วเจินจวินแห่งเขาหลิวหั่ว
ส่วนหรูอวี้เจินจวินและเหิงตั๋วเจินจวินกำลังยุ่งอยู่กับการรับมือวิกฤตอสูร
หลิวซางเจินจวินเห็นกู้หลีสีหน้าสดชื่น ไม่อิดโรยเหมือนแต่ก่อน จึงพยักหน้าอย่างพอใจ
ส่วนเสวียนหั่วเจินจวินเห็นเยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นชา กลับปิดบังความปิติในดวงตาไว้ไม่มิด จึงแอบส่ายหน้า ใจคิดว่าเจ้าเด็กนี่หมดทางเยียวยาแล้ว ยังดันปากแข็งอยู่อีก
โส่วเต๋อเจินจวินเอ่ยปากเนิบนาบว่า “เหอกวงเอ๊ย งานพิธีกำหนดไว้วันนี้ ก็เพื่อรอเจ้ากลับมา ฮ่าๆ เจ้ารับศิษย์ดีไว้คนหนึ่ง”
“เหอกวงขอขอบคุณคำชมเชยจากท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่ง” กู้หลียืนวางมือไว้ข้างตัวอย่างนอบน้อม ให้ความรู้สึกอ่อนโยนทั่วทั้งตัวทำให้เขาดูเยือกเย็น ไม่ได้ได้ใจเพราะศิษย์ได้เลื่อนขั้น ราวกับเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างที่สุด
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เริ่มพิธีเถอะ” โส่วเต๋อเจินจวินพูดพลางมองไปที่นักพรตฟางเหยา “ศิษย์หลานเจ้าสำนัก เรื่องนี้ก็ขอมอบให้เจ้าจัดการแล้ว”
เจ้าสำนักของพรรคเหยากวงเป็นประธานงานพิธีฉลองก่อแก่นปราณของศิษย์ที่เลื่อนขั้น เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ย่อมต่างจากยามที่หลิวซางเจินจวินเลื่อนขั้นเมื่อก่อนเป็นธรรมดา
นักพรตฟางเหยาเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ได้ยินดังนั้นโค้งตัวคารวะว่า “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง”
จากนั้นเชิญท่านผู้เฒ่าทุกท่านออกไป แล้วพยักหน้าให้ศิษย์ผู้ดูแลที่ยืนอยู่หน้าประตู
หลังจากนั้นชั่วครู่ ก็มีเสียงดนตรีขึงขังไพเราะลอยมา
นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงทั้งหลายของเหยากวงเดินสู่แท่นพิธีกลางลานอย่างช้าๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีนี้
ศิษย์นับหมื่นพันที่ล้อมดูอยู่ข้างนอกก็สงบลงมา เพียงแต่สีหน้าของพวกเขายิ่งตื่นเต้นขึ้น แม้เงียบกริบไร้เสียง กลับมีความเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูกอบอวลไปทั่วเขาโฮ่วเต๋อ
ผู้คนเดินขึ้นแท่นพิธีแล้วนั่งลงตามกัน นักพรตฟางเหยาประกาศพิธีฉลองก่อแก่นปราณเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
มั่วชิงเฉินอาบน้ำอบควันหอมในตำหนักข้างเขาโฮ่วเต๋อเสร็จ รออย่างเงียบๆ นานแล้ว
เห็นมีศิษย์ผู้ดูแลมาเรียก จึงเดินออกมาช้าๆ โดยมีเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเป็นเพื่อน
“มาแล้ว มาแล้ว” ฝูงชนที่สงบเห็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณในชุดคลุมเต๋าสีเขียว ผมข้างหน้าปิดคิ้วเดินออกจากตำหนักข้าง ก็ครึกครื้นขึ้นมาอีก
นักพรตฟางเหยาไม่ได้ห้ามปราม อมยิ้มมองดูมั่วชิงเฉินเดินขึ้นแท่นพิธีด้วยก้าวย่างที่อ่อนช้อยสง่า สีหน้าสงบนิ่ง จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกร้อยแปดพันเก้ายากจะบรรยายได้
เพียงไม่กี่สิบปี นางก็จากศิษย์จิปาถะที่ไม่มีใครรู้จักคนหนึ่งเดินมาถึงวันนี้ กลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่อายุน้อยที่สุดของพรรคเหยากวง
ยามที่เรียกอีกที ก็ไม่ใช่นางหนูมั่ว ศิษย์หลานมั่ว หากแต่เป็นศิษย์น้องมั่วแล้ว
ทางแห่งเซียน ยากคาดเดาที่สุดจริงๆ
มั่วชิงเฉินเดินไปถึงกลางแท่นพิธี เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งที่แต่งตัวเหมือนกันหน้าตาเหมือนกันก็ถอยลงไปเงียบๆ ปรากฏตัวเพียงช่วงสั้นๆ เท่านี้ กลับทำให้ศิษย์นับหมื่นนับพันของเหยากวงโดยเฉพาะศิษย์ผู้ชายจดจำไว้ว่าบนเขาป่าไผ่ยังมีดอกไม้แฝดที่งดงามไม่ธรรมดาคู่หนึ่ง
แน่นอน ต่อมาอีกนานมากศิษย์ที่โดนก้อนอิฐส่วนหนึ่งถึงได้เข้าใจว่า ดอกไม้มากมายที่ดูงดงาม ที่จริงมาพร้อมหนามด้วย คิดจะเด็ด ยังต้องช่างน้ำหนักตนเองเสียก่อน
บัดนี้มั่วชิงแนไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ ยืนก้มหน้าอย่างสำรวมอยู่ตรงนั้น หางตากลับกวาดมองนักพรตฟางเหยาทีหนึ่ง
ในยามนี้ ต้องอาศัยนักพรตฟางเหยานำพิธีให้ดำเนินไป เหตุใดเขาจึงเหม่อลอยขึ้นมาล่ะ
โส่วเต๋อเจินจวินกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
นักพรตฟางเหยาตกใจตื่นในบัดดล บนใบหน้ากลับไม่แสดงอาการ กล่าวแสดงความยินดีก่อน ตามด้วยสั่งศิษย์ผู้ดูแลปูเบาะรอง ให้มั่วชิงเฉินกราบไหว้อาจารย์ผู้มีพระคุณ
พิธีฉลองก่อแก่นปราณเทียบกับพิธีเล็กฉลองระดับก่อกำเนิดแล้วขั้นตอนต้องยุ่งยากกว่าสักหน่อย ทว่าการกราบไหว้อาจารย์ผู้มีพระคุณต้องทำเพียงหนึ่งกราบสามคำนับ ไม่ใช่สามกราบเก้าคำนับในพิธีฉลองก่อกำเนิด
พิธีฉลองก่อกำเนิดหลังจากสามกราบเก้าคำนับ แม้ฐานะศิษย์อาจารย์ยังอยู่ นับจากนั้นต้องคำนับเพียงครึ่งพิธีเท่านั้น ต่อหน้านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนอื่น ยิ่งโดดออกจากข้อจำกัดทางฐานะของแต่ก่อน คารวะด้วยการคำนับต่อคนรุ่นเดียวกัน
ทว่าการกราบไหว้ในพิธีฉลองก่อแก่นปราณกลับเป็นแค่การแสดงความขอบคุณต่ออาจารย์หลังจากเลื่อนขั้นเท่านั้น
มั่วชิงเฉินมองดูกู้หลีที่ยืนอยู่ด้านหน้า คุกเข่าลงบนเบาะรองด้านหน้าเบาๆ หน้าผากจรดพื้น เอ่ยเสียงกังวานว่า “ศิษย์มั่วชิงเฉิน กราบขอบคุณบุญคุณในการสั่งสอนของซือจุนเจ้าค่ะ”
พูดพลางโขกศีรษะสามครั้งติดกัน
“ชิงเฉิน ลุกขึ้นเถอะ” เสียงของกู้หลีดังขึ้น เสียงทุ้มต่ำใสกระจ่าง ปนด้วยความปลาบปลื้มรางๆ
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืนช้าๆ
“เชิญศิษย์น้องมั่วเปลี่ยนชุด” นักพรตฟางเหยาเอ่ยเสียงดัง
ภายใต้การนำของศิษย์ผู้ดูแลและมีเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเป็นเพื่อน มั่วชิงเฉินเดินไปตำหนักด้านข้าง เปลี่ยนเป็นชุดที่เตรียมไว้นานแล้ว แล้วย้อนกลับมานั่งคุกเข่าลงบนเบาะรองใหม่
ยามนี้นางถอดเครื่องแต่งกายของสำนักออกแล้ว แต่ใส่ชุดคลุมเต๋าสีเข้ม แขนเสื้อกว้างบนชุดใช้ไหมสีทองปักลายเมฆากระเรียนเซียน ด้านหน้าและแผ่นหลังยังปักแผนผังแปดทิศ ดูแล้วงามสง่าดุจเซียน โดดเด่นไม่เหมือนใคร
“ปล่อยผม” นักพรตฟางเหยาพูดเสียงดัง
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งได้รับการสอนมานานแล้ว เหลียงเฉินได้ยินดังนั้นเดินขึ้นหน้าไปสยายเส้นผมมั่วชิงเฉินออก ปล่อยให้ปรกลงบนชุดคลุมเต๋าสีเข้ม
“เกล้าผม” เสียงนักพรตฟางเหยาดังขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้เหม่ยจิ่งเดินหน้าก้าวหนึ่ง กลับไม่ใช่เดินไปที่มั่วชิงเฉิน หากแต่เดินไปยังกู้หลี สองมือยกถาดขึ้นสูง ด้านในวางปิ่นหยกขาวไว้อันหนึ่ง รัดเกล้าดอกบัวอันหนึ่งและหวีเขาวัวอันหนึ่ง
บนปิ่นหยกขาวนี้ไม่มีลวดลายแม้แต่น้อย เพียงแต่สีหยกดีเลิศ เป็นปิ่นหยกรูปแบบมาตรฐานของนักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดใช้เกล้าผมยามก่อแก่นปราณ
พิธีเกล้าผมในพิธีฉลองก่อแก่นปราณ ค่อนข้างคล้ายพิธีจี๋จี[1]ของหญิงสาวและพิธีสวมควาน[2]ของชายหนุ่มในคนธรรมดา
คนธรรมดาเช่นนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้นับจากนี้ไปเป็นผู้ใหญ่แล้วสามารถออกเรือนแต่งงานได้ ส่วนนักบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ กลับเพราะมีเพียงถึงระดับก่อแก่นปราณ ถึงนับว่าเข้าสู่แถวของนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงอย่างเป็นทางการ พูดได้ว่ามีสิทธิ์ออกเสียง ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้ว
หรือก็หมายความว่า นับจากนี้ไปเดินอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ต่อให้พบเจอนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ก็จะไม่เห็นเจ้าเป็นเหมือนมดปลวกอีก หากแต่ให้เกียรติในระดับหนึ่ง
สายตากู้หลีมองไปที่ถาด แล้วหยิบหวีเขาวัวขึ้นเดินเข้าไปใกล้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินรู้ พิธีเกล้าผมทั่วไปล้วนมีอาจารย์เป็นผู้ดำเนิน หากคนที่ไม่มีอาจารย์ ก็จะให้เจ้าสำนักออกหน้า
รับรู้ถึงการเข้าใกล้ของกู้หลี กลิ่นอายสดชื่นและคุ้นเคยเช่นนั้นส่งผ่านมา นางกลับเพียงแค่อมยิ้มที่มุมปาก ปล่อยให้กู้หลีใช้หวีเกล้าเส้นผมดกหนาให้นาง
ท่วงท่าของกู้หลีละมุนสง่างาม ใช้ปิ่นหยกขาวเกล้าผมยาวของมั่วชิงเฉินขึ้นอย่างรวดเร็ว ใส่ที่รัดเกล้าดอกบัว เผยให้เห็นหน้าผากอวบอิ่ม
มั่วชิงเฉินคุกเข่าอยู่บนพื้น หลุบตาลงต่ำ เห็นชายเสื้อสีเทาของกู้หลีถอยหลังไป จึงเอ่ยเสียงกังวานว่า “ขอบคุณซือจุนที่เกล้าผมให้ศิษย์”
สายตานักพรตฟางเหยาตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉิน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงพูดเสียงดังว่า “เชิญหลิวซางเจินจวินประทานสมญานามเต๋าขอรับ”
ผู้ที่ประทานสมญานามเต๋าให้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณควรเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ทว่ากู้หลีอยู่เพียงระดับก่อแก่นปราณ จึงให้หลิวซางเจินจวินทำแทน
หลิวซางเจินจวินสะบัดแขนเสื้อกว้างยืนขึ้นมา สีหน้าขึงขังสายตาน่าเกรงขาม ชัดเจนทุกถ้อยคำว่า “ศิษย์เขาชิงมู่มั่วชิงเฉิน อายุสิบสามปีกราบเข้าเหยากวง ยี่สิบสองปีสร้างรากฐาน บัดนี้หกสิบสามปีสำเร็จแก่นทอง เจ้าใจแห่งเต๋าแน่วแน่ เฉลียวฉลาด วันหลังยิ่งต้องไม่เย่อหยิ่งไม่ย่อท้อ แสวงหาเต๋า”
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินในใจตื้นตัน หลุบตาคุกเข่า
เสียงของหลิงซางเจินจวินราวกับดังมาจากขอบฟ้าว่า “ดวงจิตคนเดิมสะอาด หากแต่ถูกใจรบกวน ใจคนรักสงบ หากแต่ถูกความโลภชักนำ หากขจัดความโลภได้ ใจก็สงบ ใจใสสะอาด จิตย่อมกระจ่าง หกปรารถนาย่อมไม่เกิด สามพิษดับสลาย ข้าจึงมอบสมญานามเต๋าให้เจ้าว่า ชิงเฉิน[3]”
นับจากนี้ มั่วชิงเฉินก็คือนักพรตชิงเฉินแล้ว
“ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่ที่ประทานชื่อ” มั่วชิงเฉินกราบลงอีกครั้ง
หลิวซางเจินจวินยิ้ม แล้วหันหลังกลับที่นั่ง
ต่อจากนั้น มั่วชิงเฉินไหว้ฟ้าก่อน แล้วไหว้ดิน สุดท้ายคราบไหว้เทพทั้งสามอวี้ชิงหยวนสื่อเทียนจุน ซ่างชิงหลิงเป่าเทียนจัน ไท่ชิงเต้าเต๋อเทียนจุนที่ตั้งตระหง่านอยู่บนลานกว้าง
นักพรตฟางเหยาพูดเสียงดังว่า “เสร็จพิธี เชิญนักพรตชิงเฉินลุกขึ้น”
มั่วชิงเฉินจึงค่อยๆ ยืนขึ้น ยกตาขึ้น มองไปยังทุกคน
——
[1] พิธีจี๋จี คือพิธีฉลองเมื่อเด็กสาวมีอายุ 15 ปี ซึ่งถือเป็นวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว โดยเด็กสาวจะต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ
[2] พิธีสวมควาน คือพิธีฉลองเมื่อชายหนุ่มมีอายุ 20 ปี เหมือนพิธีบรรลุนิติภาวะ
[3] ชิงเฉิน (清澄) สมญานามเต๋าของมั่วชิงเฉิน (清尘) พ้องเสียงไม่พ้องรูป